สภาพการณ์ที่แท้จริงภายใต้ระบอบการเมืองไทยนั้นเป็นมิจฉาทิฐิ (เผด็จการ) โดยลวงว่าเป็นประชาธิปไตย ซึ่งมีแต่เพียงกฎหมายรัฐธรรมนูญเพียงด้านเดียว โดยปราศจากหลักการปกครองโดยธรรม เรามองเห็นกาลล่วงหน้าชัดเจนว่ารัฐบาลไหนๆ ก็ตามจะไปไม่รอดไม่สามารถบริหารนำพาผ่านพ้นเหตุวิกฤตชาติไปได้
เว้นแต่รัฐบาลนั้นๆ จะได้เชิดชูแนวทางของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสืบทอดแนวทางที่ถูกต้องโดยธรรมของพระองค์ โดยพระองค์ทรงเริ่มต้นด้วยนโยบายทางการเมือง การปกครองที่ยิ่งใหญ่จะเห็นได้จากพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และทรงมีนโยบายทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่สอดคล้องเชื่อมโยงกันอย่างเป็นเหตุเป็นผลคือ “ระบบเศรษฐกิจพอเพียง”
เราขอยืนยันว่า สัมพันธภาพระหว่าง นโยบายโดยธรรม กับ ระบบเศรษฐกิจพอเพียง นั้น เป็นสัมพันธภาพที่ถูกต้องที่สุด เป็นเหตุเป็นผลที่ถูกต้องตามกฎธรรมชาติตาม กฎอิทัปปจจยตา ฝ่ายเจริญก้าวหน้า คือ
(1) เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี (เมื่อพระปฐมบรมราชโองการมี, ระบบเศรษฐกิจพอเพียงก็มี) หรือ พระปฐมบรมราชโองการเป็นเหตุ ระบบเศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นผล
(2) เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น (เพราะพระปฐมบรมราชโองการเกิดขึ้น, ระบบเศรษฐกิจพอเพียงก็เกิดขึ้น)
อีกนัยหนึ่ง คือลักษณะสัมพันธภาพระหว่างปัจจัยเหตุและปัจจัยผล
(1) เมื่อเหตุมี ผลก็มี (เมื่อพระปฐมบรมราชโองการเป็นเหตุ เศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นผล)
(2) เพราะเหตุเกิดขึ้น ผลก็เกิดขึ้น (เพราะพระปฐมบรมราชโองการเกิดขึ้น ระบบเศรษฐกิจพอเพียงก็เกิดขึ้น) ดังนี้
อีกนัยหนึ่ง ที่สำคัญยิ่งคือ สัมพันธภาพโดยธรรมอันเป็นลักษณะเดียวกัน คือ อสังขตธรรม (ธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง) มาก่อนสังขตธรรม (ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง) วิสังขารมาก่อนสังขาร, นิพพานมาก่อนสังขาร, ฉันใด
ดวงอาทิตย์มาก่อนดาวเคราะห์, จิตมาก่อนกาย หรือจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว, พระธรรมมาก่อนพระวินัย, รัฐศาสตร์มาก่อนนิติศาสตร์, รัฐศาสตร์มาก่อนระบบเศรษฐกิจ, ระบอบการเมือง ต้องมาก่อนระบบเศรษฐกิจ, ระบอบ (หลักการปกครอง) ต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ (จึงเห็นได้ชัดเจนว่า พระปฐมบรมราชโองการ มาก่อนระบบเศรษฐกิจพอเพียง ฉันนั้น ผู้เขียนยืนยันว่านี่คือความถูกต้องอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
แต่น่าเสียดายเหลือเกิน คณะรัฐบาลหลายต่อหลายชุดแล้วล้าหลัง ตามพระองค์ไม่ทัน กลับคิดทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับแนวทางของพระองค์ คือ คณะผู้ปกครองยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อไปสร้างระบอบ (อ้างว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย) อันเป็นแนวทางมิจฉาทิฐิ เอาผลมาก่อนเหตุ แต่กลับไม่มีเหตุคือหลักการปกครอง ซึ่งก็ผิดพลาดมาแล้วอย่างซ้ำซาก คือบ่อเกิดของความขัดแย้งแตกแยกของผู้ปกครองกันเองและประชาชนภายในชาติ
จึงทำให้พรรคการเมืองภายใต้ระบอบปัจจุบันกลายเป็นกลุ่มผลประโยชน์ ปล้นชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้นักการเมืองไทยกลายเป็นกลุ่มคนชั่ว หลวกลวง รัฐธรรมนูญทุกฉบับและฉบับปัจจุบันจะเป็นเหตุให้คนในชาติแตกแยก ร้อยคน พันคน แสนคน ล้านคน ล้านจุดมั่งหมาย สิบพรรค ร้อยพรรค ร้อยจุดมุ่งหมาย ไปกันคนละทิศละทาง สับสนไปหมด หาความเป็นเอกภาพไม่ได้ ดังรูป
คุณธรรมจากบุคคล และสถาบันหลักของชาติ แม้จะสูงส่งเพียงใด ก็มิอาจะต้านทานมิจฉาทิฐิจากระบอบการปกครองปัจจุบันนี้ได้ อย่าได้หลงงมงายกันอีกต่อไปเลย “พึงพิจารณาให้มีปัญญาถ่องแท้ ร่วมกันแก้เหตุวิกฤตชาติ ตามวิถีแห่งธรรม ตามแนวทางนโยบายของพระเจ้าอยู่หัวกัน เถิด”
พระอัสสชิกล่าวว่า “เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา” ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิดมาก่อน เพียงเท่านี้ พระสารีบุตร ขณะเป็นปริพาชก ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมและบรรลุเป็นพระอรหันต์ในเวลาต่อมา และเป็นพระอัครสาวกอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาเหตุวิกฤตทั้งปวงของชาติต้องเริ่มต้นแก้ไขที่เหตุ จึงจะสำเร็จลงได้ และในเบื้องต้น การแก้ปัญหาพื้นฐานของชาติหรือการแก้เหตุวิกฤตชาติ คือการสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย ที่เป็นไปโดยธรรมและทันสมัยที่สุด เป็นหลักค้ำประกันความเป็นธรรมให้กับปวงชนไทยอย่างแท้จริง
ในท่ามกลางวิกฤตของประเทศชาติ ไม่เห็นทางว่าจะมีใครแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ในสภาพการณ์เช่นนี้ เมื่อไม่มีสถาบันใด หรือสถาบันทางการเมืองซึ่งดำเนินไปตามระบอบการเมืองปัจจุบันนี้ มิอาจจะใช้ความสามารถแก้เหตุวิกฤตชาติให้ผ่านพ้นไปได้
สำหรับประเทศไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน มีทางเดียว คือ ประชาชนเหล่าพสกนิกรทั้งหลายร่วมมือกับองค์พระมหากษัตริย์ ร่วมสร้างหลักการปกครองธรรมาธิปไตยให้สำเร็จ ทั้งนี้ก็เพื่อการตอบแทนคุณแผ่นดินอย่างถูกต้องยิ่งใหญ่ และ เพื่อให้องค์พระมหากษัตริย์จะได้ทรงพระสำราญเบิกบานพระหฤทัยและหายจากพระประชวรใดๆ ทั้งปวง การเจริญรอยตามในหลวง คือการเจริญรอยตามแนวทางพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” โดย
ข้อหนึ่ง พวกเราขอสัญญาว่าถือ หลักธรรมาธิปไตย เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อสอง เราขอสัญญาว่าถือ หลักพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขแห่งรัฐ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อสาม เราขอสัญญาว่าถือ หลักอำนาจอธิปไตยปวงชน เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อสี่ เราขอสัญญาว่าถือ หลักเสรีภาพบริบูรณ์ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อห้า เราขอสัญญาว่าถือ หลักความเสมอภาคทางโอกาส เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อหก เราขอสัญญาว่าถือ หลักภราดรภาพ การไม่แบ่งชนชั้น เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อเจ็ด เราขอสัญญาว่าถือ หลักเอกภาพ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อแปด เราขอสัญญาว่าถือ หลักดุลยภาพ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อเก้า เราขอสัญญาว่าถือ หลักหลักนิติธรรมเป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
มีวิธีเดียวที่จะเป็นจริงได้ คือวิธีการที่ องค์พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาหลักการปกครอง (Principle of Government) แบบธรรมาธิปไตยดังกล่าวนี้ และจะสำเร็จลงได้ก็ด้วยแรงผลักดันของ เหล่าพสกนิกรร่วมมือกับรัฐบาล ด้วยแรงแห่งความจงรักภักดีอันยิ่งใหญ่ของเหล่าพสกนิกร ที่จะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ในการสร้างชาติอย่างถูกต้อง และเป็น การเชิดชูเกียรติองค์พระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพรักยิ่งให้มั่นคงยืนยาวนานตลอดไป
หลังจากที่พระมหากษัตริย์ ทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ดังกล่าวนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการปรับปรุงรัฐธรรมนูญ และกฎหมายต่างๆ ให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง เพียงเท่านี้ก็สามารถแก้เหตุวิกฤตชาติในทุกด้านให้ตกไปได้ และความขัดแย้งต่างๆ ของคนในชาติจะหมดไป ปวงชนในชาติทั้งนักการเมืองและประชาชนต่างก็ถือหลักการปกครองเป็นจุดศูนย์กลางทางการเมือง ปวงชนในชาติก็จะเกิดการร่วมแรงร่วมใจ ก้าวไปสู่ความรู้สามัคคีธรรมตามพระราชดำรัส เพราะมีหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นศูนย์กลางของความสัมพันธ์ของปวงชนไทยในทุกๆ ด้าน ทั้งการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจพอเพียง การศึกษา วัฒนธรรม เป็นต้น
พลังแห่งความจงรักภักดีของเหล่าพสกนิกร จะพลิกฟื้นประเทศไทยสู่ความมั่นคง รุ่งเรืองยิ่งใหญ่ต่อไป หากไม่ริเริ่มด้วยการสถาปนาหลักการปกครองดังกล่าว เหตุวิกฤตชาติที่สั่งสมมานานก็จะซ้ำเติมประเทศไทยต่อไป ดุจคนป่วยในห้อง I.C.U.
เว้นแต่รัฐบาลนั้นๆ จะได้เชิดชูแนวทางของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสืบทอดแนวทางที่ถูกต้องโดยธรรมของพระองค์ โดยพระองค์ทรงเริ่มต้นด้วยนโยบายทางการเมือง การปกครองที่ยิ่งใหญ่จะเห็นได้จากพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และทรงมีนโยบายทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่สอดคล้องเชื่อมโยงกันอย่างเป็นเหตุเป็นผลคือ “ระบบเศรษฐกิจพอเพียง”
เราขอยืนยันว่า สัมพันธภาพระหว่าง นโยบายโดยธรรม กับ ระบบเศรษฐกิจพอเพียง นั้น เป็นสัมพันธภาพที่ถูกต้องที่สุด เป็นเหตุเป็นผลที่ถูกต้องตามกฎธรรมชาติตาม กฎอิทัปปจจยตา ฝ่ายเจริญก้าวหน้า คือ
(1) เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี (เมื่อพระปฐมบรมราชโองการมี, ระบบเศรษฐกิจพอเพียงก็มี) หรือ พระปฐมบรมราชโองการเป็นเหตุ ระบบเศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นผล
(2) เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น (เพราะพระปฐมบรมราชโองการเกิดขึ้น, ระบบเศรษฐกิจพอเพียงก็เกิดขึ้น)
อีกนัยหนึ่ง คือลักษณะสัมพันธภาพระหว่างปัจจัยเหตุและปัจจัยผล
(1) เมื่อเหตุมี ผลก็มี (เมื่อพระปฐมบรมราชโองการเป็นเหตุ เศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นผล)
(2) เพราะเหตุเกิดขึ้น ผลก็เกิดขึ้น (เพราะพระปฐมบรมราชโองการเกิดขึ้น ระบบเศรษฐกิจพอเพียงก็เกิดขึ้น) ดังนี้
อีกนัยหนึ่ง ที่สำคัญยิ่งคือ สัมพันธภาพโดยธรรมอันเป็นลักษณะเดียวกัน คือ อสังขตธรรม (ธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง) มาก่อนสังขตธรรม (ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง) วิสังขารมาก่อนสังขาร, นิพพานมาก่อนสังขาร, ฉันใด
ดวงอาทิตย์มาก่อนดาวเคราะห์, จิตมาก่อนกาย หรือจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว, พระธรรมมาก่อนพระวินัย, รัฐศาสตร์มาก่อนนิติศาสตร์, รัฐศาสตร์มาก่อนระบบเศรษฐกิจ, ระบอบการเมือง ต้องมาก่อนระบบเศรษฐกิจ, ระบอบ (หลักการปกครอง) ต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ (จึงเห็นได้ชัดเจนว่า พระปฐมบรมราชโองการ มาก่อนระบบเศรษฐกิจพอเพียง ฉันนั้น ผู้เขียนยืนยันว่านี่คือความถูกต้องอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
แต่น่าเสียดายเหลือเกิน คณะรัฐบาลหลายต่อหลายชุดแล้วล้าหลัง ตามพระองค์ไม่ทัน กลับคิดทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับแนวทางของพระองค์ คือ คณะผู้ปกครองยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อไปสร้างระบอบ (อ้างว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย) อันเป็นแนวทางมิจฉาทิฐิ เอาผลมาก่อนเหตุ แต่กลับไม่มีเหตุคือหลักการปกครอง ซึ่งก็ผิดพลาดมาแล้วอย่างซ้ำซาก คือบ่อเกิดของความขัดแย้งแตกแยกของผู้ปกครองกันเองและประชาชนภายในชาติ
จึงทำให้พรรคการเมืองภายใต้ระบอบปัจจุบันกลายเป็นกลุ่มผลประโยชน์ ปล้นชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้นักการเมืองไทยกลายเป็นกลุ่มคนชั่ว หลวกลวง รัฐธรรมนูญทุกฉบับและฉบับปัจจุบันจะเป็นเหตุให้คนในชาติแตกแยก ร้อยคน พันคน แสนคน ล้านคน ล้านจุดมั่งหมาย สิบพรรค ร้อยพรรค ร้อยจุดมุ่งหมาย ไปกันคนละทิศละทาง สับสนไปหมด หาความเป็นเอกภาพไม่ได้ ดังรูป
คุณธรรมจากบุคคล และสถาบันหลักของชาติ แม้จะสูงส่งเพียงใด ก็มิอาจะต้านทานมิจฉาทิฐิจากระบอบการปกครองปัจจุบันนี้ได้ อย่าได้หลงงมงายกันอีกต่อไปเลย “พึงพิจารณาให้มีปัญญาถ่องแท้ ร่วมกันแก้เหตุวิกฤตชาติ ตามวิถีแห่งธรรม ตามแนวทางนโยบายของพระเจ้าอยู่หัวกัน เถิด”
พระอัสสชิกล่าวว่า “เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา” ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิดมาก่อน เพียงเท่านี้ พระสารีบุตร ขณะเป็นปริพาชก ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมและบรรลุเป็นพระอรหันต์ในเวลาต่อมา และเป็นพระอัครสาวกอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาเหตุวิกฤตทั้งปวงของชาติต้องเริ่มต้นแก้ไขที่เหตุ จึงจะสำเร็จลงได้ และในเบื้องต้น การแก้ปัญหาพื้นฐานของชาติหรือการแก้เหตุวิกฤตชาติ คือการสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย ที่เป็นไปโดยธรรมและทันสมัยที่สุด เป็นหลักค้ำประกันความเป็นธรรมให้กับปวงชนไทยอย่างแท้จริง
ในท่ามกลางวิกฤตของประเทศชาติ ไม่เห็นทางว่าจะมีใครแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ในสภาพการณ์เช่นนี้ เมื่อไม่มีสถาบันใด หรือสถาบันทางการเมืองซึ่งดำเนินไปตามระบอบการเมืองปัจจุบันนี้ มิอาจจะใช้ความสามารถแก้เหตุวิกฤตชาติให้ผ่านพ้นไปได้
สำหรับประเทศไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน มีทางเดียว คือ ประชาชนเหล่าพสกนิกรทั้งหลายร่วมมือกับองค์พระมหากษัตริย์ ร่วมสร้างหลักการปกครองธรรมาธิปไตยให้สำเร็จ ทั้งนี้ก็เพื่อการตอบแทนคุณแผ่นดินอย่างถูกต้องยิ่งใหญ่ และ เพื่อให้องค์พระมหากษัตริย์จะได้ทรงพระสำราญเบิกบานพระหฤทัยและหายจากพระประชวรใดๆ ทั้งปวง การเจริญรอยตามในหลวง คือการเจริญรอยตามแนวทางพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” โดย
ข้อหนึ่ง พวกเราขอสัญญาว่าถือ หลักธรรมาธิปไตย เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อสอง เราขอสัญญาว่าถือ หลักพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขแห่งรัฐ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อสาม เราขอสัญญาว่าถือ หลักอำนาจอธิปไตยปวงชน เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อสี่ เราขอสัญญาว่าถือ หลักเสรีภาพบริบูรณ์ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อห้า เราขอสัญญาว่าถือ หลักความเสมอภาคทางโอกาส เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อหก เราขอสัญญาว่าถือ หลักภราดรภาพ การไม่แบ่งชนชั้น เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อเจ็ด เราขอสัญญาว่าถือ หลักเอกภาพ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อแปด เราขอสัญญาว่าถือ หลักดุลยภาพ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
ข้อเก้า เราขอสัญญาว่าถือ หลักหลักนิติธรรมเป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทุกคน
มีวิธีเดียวที่จะเป็นจริงได้ คือวิธีการที่ องค์พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาหลักการปกครอง (Principle of Government) แบบธรรมาธิปไตยดังกล่าวนี้ และจะสำเร็จลงได้ก็ด้วยแรงผลักดันของ เหล่าพสกนิกรร่วมมือกับรัฐบาล ด้วยแรงแห่งความจงรักภักดีอันยิ่งใหญ่ของเหล่าพสกนิกร ที่จะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ในการสร้างชาติอย่างถูกต้อง และเป็น การเชิดชูเกียรติองค์พระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพรักยิ่งให้มั่นคงยืนยาวนานตลอดไป
หลังจากที่พระมหากษัตริย์ ทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ดังกล่าวนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการปรับปรุงรัฐธรรมนูญ และกฎหมายต่างๆ ให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง เพียงเท่านี้ก็สามารถแก้เหตุวิกฤตชาติในทุกด้านให้ตกไปได้ และความขัดแย้งต่างๆ ของคนในชาติจะหมดไป ปวงชนในชาติทั้งนักการเมืองและประชาชนต่างก็ถือหลักการปกครองเป็นจุดศูนย์กลางทางการเมือง ปวงชนในชาติก็จะเกิดการร่วมแรงร่วมใจ ก้าวไปสู่ความรู้สามัคคีธรรมตามพระราชดำรัส เพราะมีหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นศูนย์กลางของความสัมพันธ์ของปวงชนไทยในทุกๆ ด้าน ทั้งการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจพอเพียง การศึกษา วัฒนธรรม เป็นต้น
พลังแห่งความจงรักภักดีของเหล่าพสกนิกร จะพลิกฟื้นประเทศไทยสู่ความมั่นคง รุ่งเรืองยิ่งใหญ่ต่อไป หากไม่ริเริ่มด้วยการสถาปนาหลักการปกครองดังกล่าว เหตุวิกฤตชาติที่สั่งสมมานานก็จะซ้ำเติมประเทศไทยต่อไป ดุจคนป่วยในห้อง I.C.U.