xs
xsm
sm
md
lg

แฉ‘เมกะโปรเจกต์’ฉาว พัวพันทุน-ก๊วนการเมือง-เผือกร้อน‘มาร์ค’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – เอ็กซเรย์เมกะโปรเจกต์มรดกตกค้างยุครัฐบาลนอมีนี “เผือกร้อน” วัดใจรัฐบาล ‘เทพประทาน’ เผยโครงการมีกลุ่มทุนการเมืองพัวพัน ทั้ง“เนวินและเพื่อน” กรณีรถเมล์เอ็นจีวีสุดฉาว ขณะที่ขุมทรัพย์สุวรรณภูมิ ปัญหาของ “คิงส์พาวเวอร์”ที่ผูกขาติดกัน สัมปทานแท็กซ์ รวมถึงคดี ซีทีเอ็กซ์ - แอร์พอร์ตลิงก์ ที่ถูกป.ป.ช. แช่แข็งรอให้สะสาง

ภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลที่มาจากขั้วอำนาจเดิมทำให้เกิดข้อสงสัยว่า โครงการขนาดใหญ่ หรือ เมกะโปรเจกต์ที่เกิดขึ้นอย่างมโหฬารในยุครัฐบาลทักษิณและนอมินีครองเมืองจะมีทิศทางเป็นเช่นใด รัฐบาลชุดนี้จะกล้าเข้าไปเปลี่ยนแปลงหรือไม่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการที่ผู้ผลักดันเป็นกลุ่มก๊วนการเมืองที่มีส่วนสำคัญต่อการจัดตั้งรัฐบาล อาทิ กลุ่มเนวินและเพื่อน หรือ กลุ่มทุนการเมืองที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับแกนนำคนสำคัญในพรรคประชาธิปัตย์เช่น บริษัทคิงส์เพาเวอร์ ซึ่งที่ผ่านมาปฎิเสธไม่ได้ว่า โครงการเหล่านี้มีข้อครหาว่าส่อไปในทางทุจริตคอร์รัปชัน และ พรรคประชาธิปัตย์เมื่อครั้งยังเป็นฝ่ายค้านได้ค้านและแฉข้อมูลที่ไม่ชอบมาพากลเอาไว้เอง

นอกจากนี้ยังมีคดีทุจริตที่คาราคาซังและส่งผลต่อภาพรวมการดำเนินงานของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งนับจากนี้ก้าวย่างการตัดสินใจของรัฐบาลใหม่ต่อเรื่องเหล่านี้จะถูกจับตามองจากสังคมอย่างใกล้ชิด

*** รถเมล์เอ็นจีวี เผือกร้อนจากเนวิน
ทั้งนี้ จากหลายๆโครงการ โครงการที่หลายฝ่ายให้ความสนใจที่สุดขณะนี้คงต้องเริ่มจาก โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวีที่มีปัญหาอื้อฉาวมาตั้งแต่สมัยรัฐบายสมัคร ซึ่งถูกคาดหมายว่าคงได้รับการทบทวนตรวจสอบใหม่ในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน ได้เตรียมเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลสมัครมาแล้ว และ มีการเปิดเผยชื่อนักการเมืองที่ร่วมงาบหัวคิวออกมาให้สังคมได้รับรู้ไปบ้างอีกด้วย

แต่พลันที่นาย เนวิน ชิดชอบ ส่ง นายโสภณ ซารัมย์ เข้ามาครองตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายโสภณ ได้ประกาศก่อนที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาด้วยซ้ำว่า จะเดินหน้าโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน มูลค่า 62,598 ล้านบาท ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยจะไม่มีการทบทวนใหม่แต่อย่างใด เพราะผ่านขั้นตอนดำเนินการมาไกลและควรจะเดินหน้าต่อไป

โครงการดังกล่าว อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ และ ถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้รวบรวบข้อมูลเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลสมัครมาแล้ว โดยตั้งข้อสังเกตถึงความไม่โปร่งใส ไม่คุ้มค่า ซ้ำยังเพลมชื่อมิสเตอร์เอส และมิสเตอร์ที งาบหัวคิวคันละล้านอีกด้วย จึงเป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่งว่า เมื่อพรรคประชาธิปัตย์พลิกขั้วมาเป็นฝ่ายรัฐบาล จะกล้าเบรกโครงการนี้หรือไม่

**เปิดอภิมหาโครงการ-คดีฉาวรอวัดใจ
ถัดมา คือ โครงการใหญ่ที่กลายเป็นคดีในยุคที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ตรวจสอบไว้แล้วแต่กระบวนการยังไม่ส่งขึ้นสู่ชั้นศาล

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปดูสำนวนคดีของ คตส. ที่ส่งต่อให้หน่วยงานต่างๆ ภายหลังหมดวาระเมื่อเดือนมิ.ย. 2551 จะพบว่า คตส. ได้ส่งสำนวนคดีให้อัยการสูงสุด 7 คดี คือ

1) คดีการจัดซื้อจัดจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารและเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดท่าอากาศสุวรรณภูมิ (ซีทีเอ็กซ์)
2) คดีโครงการก่อสร้างระบบจ่ายไฟฟ้าและเครือข่ายท่อร้อยไฟใต้ดินของการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
3) คดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้บริษัทในเครือกฤษดามหานคร
4) คดีเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรตอบข้อหารือภาษีหุ้นชินคอร์ปโดยไม่ชอบ

5) คดีทุจริตจัดซื้อจัดจ้างโครงการบ้านเอื้ออาทรทั้งหมด
6) คดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตเกี่ยวกับกิจการโทรคมนาคม
7) คดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร่ำรวยผิดปกติจากมาตรการเอื้อประโยชน์จากการคงถือหุ้นสัมปทาน 76,000 ล้านบาท

ที่ผ่านมา ใน 7 คดีข้างต้น อัยการสูงสุด ได้ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2 คดี คือ คดีพ.ต.ท.ทักษิณ แปลงค่าสัมปทานฯ และ คดีร่ำรวยผิดปกติ เท่านั้น ส่วนคดีอื่นได้ส่งต่อให้ ป.ป.ช.ไต่สวนเพิ่มเติม ยกเว้นคดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้บริษัทในเครือกฤษดามหานคร ที่อยู่ในมืออัยการสูงสุด และจนบัดนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

นอกเหนือจากการส่งสำนวนคดีให้อัยการสูงสุดแล้ว คตส.ยังได้ส่งคดีให้ ปปช. ดำเนินการต่อ จำนวน 6 คดี คือ 1) คดีการจัดซื้อจัดจ้างเรือและรถดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร โดยสำนวนไต่สวนแล้วเสร็จแต่พิจารณาไม่ทัน

2) คดีโครงการก่อสร้างระบบขนส่งทางรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของการรถไฟแห่งประเทศไทย (แอร์พอร์ตลิงก์) สำนวนไต่สวนแล้วเสร็จ แต่พิจารณาไม่ทัน
3) คดีโครงการบ้านเอื้ออาทรที่เหลือ เช่น ร่มเกล้า, บางพลี, รังสิต, คลอง 9, กบินบุรี, อรัญประเทศ โดยสำนวนไต่สวนแล้วเสร็จแต่พิจารณาไม่ทัน

4) คดีจัดจ้างก่อสร้างและจัดซื้อวัสดุและอุปกรณ์บริษัทห้องปฏิบัติการกลางตรวจสอบผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหาร จำกัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (เซ็นทรัลแล็ป)
5) กรณีซื้อทีมฟุตบอลแมนซิตี้
6) กรณีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน หุ้น บริษัทธนชาติประกันภัย 60 ล้านบาทในชื่อนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์

ส่วนกรณีที่ คตส. ส่งกรมสรรพากรเพื่อประเมินภาษี มี 4 กรณี ซึ่งเวลานี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กรณ์ จาติกวณิช รมว.กระทรงการคลัง คือ

1) กรณี บรรณพจน์ ดามาพงศ์ ที่รับหุ้นจากคุณหญิงพจมาน ชินวัตร มีภาระภาษี 546 ล้านบาทเศษ
2) กรณี พานทองแท้ - พิณทองทา ชินวัตร ซื้อหุ้นแอมเพิลริช ในราคา 1 บาท ขายในราคา 49.25 บาท มีภาระภาษี 11,808 ล้านบาท
3) แอมเพิลริช ขายหุ้น 1 บาท ราคาตลาด 49.25 บาท มีภาระภาษี 20,923 ล้านบาท
4) บริษัทชินแซทเทิลไลท์ รับเงินค่าสินไหมทดแทน มีภาระภาษีจากรายรับ 1,082 ล้านบาท

สำหรับคดีที่ คตส. ทำสำนวนคดีส่งให้กับทางอัยการสูงสุดและป.ป.ช.ไปแล้วก่อนหมดวาระ และจนบัดนี้ยังไม่มีความคืบหน้า คือ คดีซีทีเอ็กซ์ ซึ่งอัยการสูงสุด อ้างว่าสำนวนไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีได้ จึงได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างผู้แทนฝ่ายอัยการสูงสุดและผู้แทนฝ่ายคณะกรรมการป.ป.ช. โดยมี ใจเด็ด พรไชยา กรรมการ ป.ป.ช. เป็นหัวหน้าคณะทำงาน

แต่กระบวนการสอบสวนรวบรวมพยานที่ไม่จำกัดกรอบเวลาของคณะทำงานที่รับผิดชอบคดีซีทีเอ็กซ์ ทำให้มีข้อท้วงติงจากหน่วยงานที่ติดตามคดีนี้ เช่น สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดยมีหนังสือแจ้งไปยัง ป.ป.ช.ว่า สำนวนคดีมีความสมบูรณ์เพียงพอแล้วพร้อมกับแจกแจงรายละเอียดยิบในทุกประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาสอบสวนซ้ำ

นอกจากนั้น อดีตคณะกรรมการ คตส. ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การตั้งคณะทำงานร่วมของอัยการสูงสุด และป.ป.ช. เป็นเทคนิกในการดึงคดี เพราะอัยการสูงสุด ตกเป็นจำเลยในคดีนี้ด้วย และคณะกรรมการป.ป.ช.ไม่มีความชัดเจนว่าจะแยกสำนวนฟ้องอัยการสูงสุด ออกไปต่างหาก ตามข้อเสนอของคณะกรรมการ คตส.

ส่วนคดีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ท่อร้อยไฟใต้ดิน, ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้, แอร์พอร์ตลิงก์, บ้านเอื้ออาทร, เซ็นทรัลแล็ป ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จากคณะกรรมการ ป.ป.ช. และอัยการสูงสุด เช่นกัน

ในบรรดาคดีความต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นนั้น เป็นที่น่าจับตาว่า เมื่อขั้วการเมืองเปลี่ยน คดีความในชั้น ป.ป.ช.และอัยการสูงสุด ที่เกี่ยวข้องกับนายเนวิน ชิดชอบ คือ คดีเซ็นทรัลแล็บ และคดีทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิหลายคดี ซึ่งมีเครือข่ายกลุ่มเพื่อนเนวิน มีเอี่ยวอยู่ด้วย จะได้รับการชำระสะสางหรือไม่

*** ทลายขุมทรัพย์สุวรรณภูมิ
การตรวจสอบโครงการทุจริตสนามบินสุวรรณภูมิ นอกเหนือจากคดีการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000, โครงการแอร์พอร์ตลิงก์, โครงการก่อสร้างระบบจ่ายไฟฟ้าและเครือข่ายท่อร้อยสายไฟ แล้ว ยังมีคดีร้านค้าปลอดอากรและพื้นที่เชิงพาณิชย์ (คิงส์พาวเวอร์), การประมูลงานจ้างเหมาบริการรักษาความปลอดภัย, รถเข็นกระเป๋า, แท็กซี่ลีมูซีน, ระบบไฟฟ้า 400 เมกะเฮิร์ต และระบบพีซีแอร์ (งวงช้าง) อีกด้วย

กล่าวสำหรับ 5 คดีหลัง สุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบคดี ให้สัมภาษณ์ในวันที่ส่งสำนวนต่อ ป.ป.ช. เมื่อเดือน ก.ย. 2550 ว่า หลักฐานเอกสารชัดเจน เป็นคดีที่ไม่ได้ซับซ้อน นั่นหมายความว่า ป.ป.ช. น่าจะสรุปสำนวนเพื่อส่งฟ้องนักการเมืองและข้าราชการที่เกี่ยวข้องได้โดยไม่ชักช้าได้บ้างแล้ว

แต่จนบัดนี้ยังไม่มีคดีที่เกี่ยวข้องกับสนามบินแห่งนี้ถูกส่งฟ้อง กระทั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. บางคนถูกตั้งข้อกังขาว่ามีส่วนเอื้อประโยชน์ด้วยการดองเรื่องการสอบทุจริตสุวรรณภูมิ ซึ่งเกี่ยวพันกับ “ชินวัตร – วงศ์สวัสดิ์” และ พวกพ้องเพื่อนเนวิน ซึ่งเป็นขาใหญ่แห่งสุวรรณภูมิ

กล่าวสำหรับกรณีรถเข็นกระเป๋าในสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ดีเอสไอเข้าตรวจสอบนั้น นับเป็นหนึ่งในสัมปทานที่บริษัทไทยแอร์พอร์ตส กราวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด หรือ แท็กส์ ได้รับการว่าจ้างบริหารจัดการจาก ทอท. ภายหลังจาก แท็กส์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น

การได้งานสัมปทานในสุวรรณภูมิของ แท็กส์ นับสิบสัญญา ทำให้เกิดข้อกังขาว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ในแท็กส์หลังการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ก็คือ “นอมินีเจ๊” ซึ่งได้ใช้อำนาจและอิทธิพล คว้างานในสนามบินสุวรรณภูมิ ช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศเร่งเครื่องก่อสร้างเพื่อเปิดสนามบินสุวรรณภูมิให้ทันในวันที่ 28 ก.ย. 2549

ในบรรดาสัญญาที่ แท็กส์ คว้าสัมปทานในสุวรรณภูมินอกเหนือจากรถเข็นกระเป๋า ที่ยังมีปัญหาจนถึงบัดนี้แล้ว ยังมีกรณีที่นาย อลงกรณ์ พลบุตร และ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นข้อร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในข้อหาร่ำรวยผิดปกติ และอาจพัวพันกับการได้รับงานสัมปทานโครงการบริหารเขตปลอดอากรและศูนย์โลจิสติกส์ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่า 10,000 ล้านบาท ของ แท็กส์ อีกด้วย

ทั้งนี้ แท็กส์ ได้เข้ารับงานบริหารเขตปลอดอากรพื้นที่ 6 แสนตารางเมตร และศูนย์โลจิสติกส์พื้นที่อีก 4 หมื่นตารางเมตร สัญญานี้มีมูลค่างานเป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี ระยะเวลาสัญญา 10 ปี รวมมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท โดยไม่มีการเปิดประมูลแข่งขัน ซึ่งในช่วงที่แท็กส์ได้งานขณะนั้นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการ ทอท. อยู่ด้วย

โครงการอื้อฉาวในสุวรรณภูมิ ยังมีกรณีการประมูลงานจ้างเหมาบริการรักษาความปลอดภัยสนามบินสุวรรณภูมิโดยวิธีพิเศษ และเพิ่มงบประมาณ จากเดิม 3,086 ล้านบาท เป็น 5,400 ล้านบาท

คดีนี้ ป.ป.ช. มีมติเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2550 ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก คือนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล,นายศรีสุข จันทรางศุ รวมถึง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ โดยมอบหมายให้นายใจเด็ด พรไชยา กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวน

นอกจากนี้ ยังมีกรณีกล่าวหานายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกับพวก ซึ่งมีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รวมอยู่ด้วย ร่วมกันทุจริตโครงการจัดตั้งร้านค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานภูมิภาค และการบริหารกิจการเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดย ป.ป.ช. มีมติเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2550 ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน โดยมีนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธาน

แต่ “หลุมดำ” ป.ป.ช. ได้ดองคดีที่เกี่ยวข้องกับสนามบินสุวรรณภูมิดังกล่าวข้างต้นจนกระทั่งสนามบินเปิดบริการไปกว่าสองปีแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้าในการตรวจสอบใดๆ ออกมา

*** ซอฟท์แวร์คอมพ์กฟภ.
คดีสำคัญอีกคดีหนึ่งที่ถูกจับตามองว่าจะมีการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่หรือไม่ ก็คือ โครงการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มูลค่า 3,192 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ และถูกยื่นตรวจสอบจากหลายฝ่ายมากที่สุดโครงการหนึ่ง

นาย อลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานตรวจสอบทุจริตของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นเรื่องต่อคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการสตง.ขอให้ตรวจสอบความไม่โปร่งในการอนุมัติโครงการและขั้นตอนการประมูล รวมทั้งมีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต 5 ประเด็นหลัก คือ

1. การอนุมัติโครงการในคณะกรรมการ กฟภ. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยที่ทำสัญญาส่อพิรุธ เช่น การเปลี่ยนจากการซื้อเป็นเช่า ซึ่งเมื่อเทียบกับการจัดซื้อแล้วรัฐจะได้ประโยชน์มากกว่าการเช่า
2.วงเงินงบประมาณการเช่าจำนวน 3,192 ล้านบาทสูงเกินจริง
3.ขั้นตอนการประมูลไม่โปร่งใส จากผู้ยื่นประกวดราคาทั้งสิ้น 8 ราย แต่กลับมีผู้ผ่านเทคนิคเพียงรายเดียวที่ได้รับการเปิดซองราคา ซึ่งราคาที่ผู้ชนะการประมูลนั้นมีราคาใกล้เคียงกับราคากลางมาก
4.บริษัทในกลุ่มกิจการค้าที่ชนะการประมูลของ กฟภ.เป็นของน้องสาวนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท แต่ชนะการประมูลมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท
และ 5.บริษัทที่ปรึกษาอินทนนท์ ที่ได้รับจ้างให้ดำเนินการศึกษาโครงการดังกล่าว มีผลการศึกษาที่น่าเคลือบแคลง

ดูเหมือนว่า ภารกิจของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในช่วงบ้านเมืองประสบภาวะวิกฤตรอบด้าน จะหนักหนาสาหัส แต่สังคมก็ยังคาดหวังว่าสารพัดโครงการซึ่งถูกตรวจสอบและมีข้อกล่าวหาว่าพัวพันกับการทุจริตจะถูกเชคบิลและกระบวนยุติธรรมนำคดีขึ้นสู่ชั้นศาล หาไม่แล้ว จะกลายเป็นแต่เพียงทีใครทีมันสลับกันขึ้นมาแสวงหาประโยชน์บนข้ออ้างเพื่อประเทศชาติเท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น