นายอำนวย ธันธรา กรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะอนุกรรมการไต่สวนฯได้พิจารณาสำนวนเสร็จสิ้นแล้ว เหลือเพียงการให้อนุกรรมการเซ็นชื่อเพื่อเสนอเข้าสู่ที่ประชุม คตส.ชุดใหญ่ในวันนี้ (21 เม.ย.) ซึ่งผลการไต่สวนปรากฏว่า ผู้ถูกกล่าวหามีจำนวนลดลง 2-3 ราย เป็นคนไทย 1-2 ราย และคนต่างชาติ 1 ราย
อย่างไรก็ตาม คาดว่าที่ประชุมใหญ่ คตส.จะไม่สามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้จบในการประชุมครั้งเดียว อาจต้องมีการประชุมนัดพิเศษเพิ่มเติมอีกครั้ง เนื่องจากมีเอกสารมากกว่า 600 หน้า
ส่วนกรณีที่ คตส.เคยชี้มูล นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาด้วยจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะคดีนี้จะต้องส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาส่งฟ้องต่อศาล นายอำนวย กล่าวว่า คณะอนุกรรมการไต่สวนฯได้เตรียมเสนอทางออกให้ที่ประชุม คตส.พิจารณาแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้พิจารณาคดีนี้ด้วยความเป็นธรรม ชี้ไปตามเอกสารหลักฐาน ทำตามหน้าที่ และตามกฎหมาย ไม่ได้คิดกลั่นแกล้งใครทั้งสิ้น
**เปิดโปงแก๊งงาบซีทีเอ็กซ์
รายงานข่าวจากคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีซีทีเอ็กซ์ฯ เปิดเผยรายละเอียดสำนวนการสอบสวนคดีนี้ว่าเอกสารการสอบสวนดังกล่าวว่า มีการบรรยายความเป็นมาของคดีนี้โดยละเอียด ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงกระบวนการอนุมัติจัดซื้อและการรับเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ ที่ส่งมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในส่วนของกระบวนการจัดซื้อนั้น อนุกรรมการได้มีการบรรยายโดยละเอียดตั้งแต่ต้น เมื่อเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงระบบการตรวจสายพานลำเลียงกระเป๋าและสัมภาระโดยมติของคณะกรรมการบริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ (บทม.) หลายครั้ง ในช่วงปี 46 และมีการเห็นชอบและผลักดันโดยตรงจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (กทภ.) โดยมีการเปลี่ยนจากระบบ STAND ALONE มาเป็นระบบ IN-LINE SCREENING ซึ่งอนุกรรมการเห็นว่ากระบวนการทั้งหมดในการอนุมัติจัดซื้อจัดจ้างเครื่องซีทีเอ็กซ์ มีเงื่อนงำ และส่อพิรุธทำให้เกิดกระบวนการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และทำให้รัฐได้รับความเสียหายจากการจัดซื้อที่มีราคาแพงขึ้นจากเครื่องละ 1.43 พันล้านบาท เป็น 2.6 พันล้านบาท ทำให้สิ้นเปลืองเงินจำนวนมาก
**"แม้ว"ผู้ถูกกล่าวหาลำดับ1
ดังนั้นอนุกรรมการไต่สวนคดีซีทีเอ็กซ์ ของ คตส. จึงมีมติให้ดำเนินคดีและแจ้งข้อกล่าวหากับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน กทภ.เป็นผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ลำดับที่ 1 อีกทั้งอนุกรรมการมีพยานหลักฐานคือ คำให้การของพยานบุคคลซึ่งมาให้การกับ คตส.ว่าในเอกสารการประชุมและสั่งการของกทภ. ที่มีการสั่งให้ใช้จัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้
ทำสัญลักษณ์บางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี โดยใช้ "ปากกาสีดำ" เป็นเครื่องหมายและ พยานได้ระบุกับคตส.ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คือผู้ระบุในที่ประชุมให้เปลี่ยนแปลงระบบสายพานลำเลียง กระเป๋าดังกล่าว
"จากผลการสอบสวนพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธาน กทภ.ที่ได้เข้าประชุม ครม.เมื่อ 3 พ.ค.48 พบว่าไม่ได้มีการตำหนิการทำงานของบอร์ดบทม. และบอร์ดทอท. โดยเฉพาะการไม่แจ้งถึงความเสียหายที่ บทม. และทอท. จะได้รับในการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า และการตัดสินใจซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ รวมถึงการแก้ไขความเสียหายและภาพพจน์ของประเทศไทย ที่ได้รับจากปัญหาที่เกิดขึ้น หลังมีข่าวเรื่องปัญหาสินบนการจัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ซึ่งกระทบกับภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างรุนแรง " ผลการสอบสวนดคีซีทีเอ็กซ์ ของคตส.ระบุ ในตอนหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาคนอื่นๆ ประกอบด้วย ผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาลำดับที่ 2 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคม และอดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นผู้รู้เห็นกระบวนการและขั้นตอนการจัดซื้อทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นผู้เดินทางไปรับเครื่องซีทีเอ็กซ์ ด้วยตัวเองด้วย
ลำดับที่ 3 คือนายธีรวัฒน์ ฉัตราภิมุข ซึ่งเป็นทีมงานฝ่ายการเมืองหน้า
ห้องของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และเป็นเพื่อสนิทของนายสุริยะ เพราะเป็นเพื่อนร่วมสถาบันที่มหาวิทยาลัยเบิร์คเล่ย์ สหรัฐอเมริกา และต่อมาได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการให้เป็นประธานที่ปรึกษา นายสุริยะ สมัยเป็น รมว.คมนาคม โดยพบว่า นายธีรวัฒน์ซึ่งไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ใดๆ แต่กลับไปเข้าร่วมประชุม กับตัวแทนผู้เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจอนุมัติจัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ คือตัวแทนจากบริษัท อินวิชั่น ตัวแทนของกลุ่ม
ITO บริษัท บทม.โดยตลอด เพื่อหาข้อตกลงในการจัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์
ดังนั้นนาย ธีรวัฒน์จึงมีความคผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายในฐานะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามพ.ร.บ. ป.ป.ช. มาตรา 4(5) ซึ่งจากพยานหลักฐานที่อนุกรรมการไต่สวนได้รับ พบว่าทั้ง 3 คน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ นายสุริยะ และนายธีรวัฒน์ ซึ่งเป็นนักการเมืองนั้น ได้แจ้งต่อที่ประชุมผู้เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์หลายครั้งว่า ต้องการให้ได้ข้อสรุปในการซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์โดยเร็วที่สุดและทั้ง 3 คนมีส่วนผลักดันให้มีการซื้อเครื่องดังกล่าวจาก บริษัทอินวิชั่นอย่างสูง
รายงานผลการสอบสวนคดีซีทีเอ็กซ์ ยังระบุผู้ถูกดำเนินคดีในคดีนี้อีกว่ายังมี อดีตคณะกรรมการบริหารบริษัท ทอท.ซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ในองค์กรของรัฐ แต่ไปมีมติหลายครั้งและหลายข้อเพื่อเร่งรัดดำเนินการในการทำสัญญาซื้อขายระหว่าง บทม.กับ อินวิชั่น จึงถือว่ามีความผิดในฐานะร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันมีรายชื่ออดีตบอร์ด ทอท. ที่ถูกคตส.เอาผิด อาทิ นายชัยเกษม นิติศิริ อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน นายศรีสุข จันทรางศุ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม และอดีตประธานบอร์ด ทอท.และบทม. นายอารีพงษ์ พุ่มชะอุ่ม พล.ต.อ.ธวัชชัย ภัยลี้ นายวุฒิพันธ์ วิชัยรัตน์ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ศึกษาธิการ นายปรีชา จรุงกิจอนันต์ นายสมชัย สวัสดิผล อดีต ผอ.สนามบินสุวรรณภูมิ นายอดิเทพ นาคะวิสุทธิ์ นายเทิดศักดิ์ เศรษฐมานพ เป็นต้น
"สำหรับ บริษัทเอกชนที่ถูก คตส.เอาผิดและดำเนินคดีอาญาประกอบด้วยเช่น กลุ่มบริษัทไอทีโอ เพราะถือว่าได้รับผลกำไรขาดทุนจากการดำเนินการให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบสายพานลำเลียง กระเป๋าดังกล่าว บริษัท แพทริออต ในฐานะบริษัทนายหน้า และตัวแทนของ บริษัทอินวิชั่นในประเทศไทย ที่มีนายวรพจน์ ยศทัตต์ หรือเสี่ยเช เป็นเจ้าของ ซึ่งผู้บริหารของกลุ่มบริษัทเอกชนดังกล่าวคือ ไอทีโอ และแพทริออต จะถูกดำเนินคดีทั้งหมด" รายงานข่าวระบุ
เอกสารลับผลการสอบสวนได้ระบุว่า สำหรับบุคคลที่ก่อนหน้านี้ได้ถูกเอาผิดในชั้นอนุกรรมการไต่สวน แต่จะไม่มีชื่อถูกเอาผิดในการส่งสำนวนฟ้องศาล เพราะพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือการดำเนินคดีต้องระงับไปตามกฎหมายประกอบด้วย นายวิชัย จึงรักเกียรติ นายวรวิทย์ วิสูตรชัย เพื่อนร่วมรุ่นคณะวิศวกรรม กับนายวรพจน์ นายโดมินิค แมคเกอดดี้ ชาวต่างชาติ
**"แม้ว-สุริยะ"เจอข้อหาหนัก
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับการเอาผิดตามกฎหมายนั้นจะมีการแยกเขียนบรรยายลักษณะความผิดโดยบางคนจะมีความผิด 2 กระทง แต่บางคนจะมีความผิดแค่ 1 กระทง แต่ที่หนักที่สุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณ และนายสุริยะ ที่พบว่าเป็นแค่ 2 คนเท่านั้นที่โดนเอาผิด 2 กระทง คือ 1.ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,86,90,144,157 รวมทั้งความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม มาตรา 83 และความผิดกระทงที่ 2 คือความผิดตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 70,84,91,97
** อาจแยกฟ้อง"ชัยเกษม"
มีรายงานด้วยว่า ประเด็นสำคัญของการเขียนสรุปผลการสอบสวนพบว่าอนุกรรมการได้มีการถกเถียงกันอย่างมาก ต่อการเอาผิดกับ นายชัยเกษม นิติศิริ อัยการสูงสุด เนื่องจากตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ได้ให้ทุกสำนวนของ คตส.ต้องให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาสำนวนการสั่งฟ้องต่อศาลก่อน แต่หากอัยการสูงสุดไม่สั่งฟ้องถึงค่อยกลับมาให้มีการตั้งกรรมการร่วมสองฝ่ายคือ คตส. กับอัยการ แล้วหากตกลงกันไม่ได้ถึงค่อยให้ คตส.ยื่นฟ้องเอง ซึ่งอนุกรรมการมีความเห็นออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายแรกเห็นว่า คตส. สามารถยื่นฟ้องนายชัยเกษม ต่อศาลได้เลยโดยแยกสำนวนการส่งฟ้องออกมาต่างหาก ตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 97 แต่อีกฝ่ายเห็นว่า ไม่สามารถทำได้เพราะเป็นการลัดขั้นตอน และรูปคดี ไม่เข้ากับกฎหมาย ป.ป.ช.โดยควรส่งฟ้อง นายชัยเกษม พ่วงไปกับบุคคลที่ถูกเอาผิดทั้งหมดแล้วหากอัยการสั่งไม่ฟ้องนายชัยเกษม จากนั้น คตส.ถึงค่อยยื่นฟ้องเอง ทำให้สุดท้ายอนุกรรมการไต่สวนต้องมีการนัดประชุมเพื่อลงมติชี้ขาดในวันนี้ว่าจะดำเนินการอย่างไรกับการเอาผิด นายชัยเกษม
อย่างไรก็ตาม คาดว่าที่ประชุมใหญ่ คตส.จะไม่สามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้จบในการประชุมครั้งเดียว อาจต้องมีการประชุมนัดพิเศษเพิ่มเติมอีกครั้ง เนื่องจากมีเอกสารมากกว่า 600 หน้า
ส่วนกรณีที่ คตส.เคยชี้มูล นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาด้วยจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะคดีนี้จะต้องส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาส่งฟ้องต่อศาล นายอำนวย กล่าวว่า คณะอนุกรรมการไต่สวนฯได้เตรียมเสนอทางออกให้ที่ประชุม คตส.พิจารณาแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้พิจารณาคดีนี้ด้วยความเป็นธรรม ชี้ไปตามเอกสารหลักฐาน ทำตามหน้าที่ และตามกฎหมาย ไม่ได้คิดกลั่นแกล้งใครทั้งสิ้น
**เปิดโปงแก๊งงาบซีทีเอ็กซ์
รายงานข่าวจากคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีซีทีเอ็กซ์ฯ เปิดเผยรายละเอียดสำนวนการสอบสวนคดีนี้ว่าเอกสารการสอบสวนดังกล่าวว่า มีการบรรยายความเป็นมาของคดีนี้โดยละเอียด ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงกระบวนการอนุมัติจัดซื้อและการรับเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ ที่ส่งมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในส่วนของกระบวนการจัดซื้อนั้น อนุกรรมการได้มีการบรรยายโดยละเอียดตั้งแต่ต้น เมื่อเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงระบบการตรวจสายพานลำเลียงกระเป๋าและสัมภาระโดยมติของคณะกรรมการบริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ (บทม.) หลายครั้ง ในช่วงปี 46 และมีการเห็นชอบและผลักดันโดยตรงจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (กทภ.) โดยมีการเปลี่ยนจากระบบ STAND ALONE มาเป็นระบบ IN-LINE SCREENING ซึ่งอนุกรรมการเห็นว่ากระบวนการทั้งหมดในการอนุมัติจัดซื้อจัดจ้างเครื่องซีทีเอ็กซ์ มีเงื่อนงำ และส่อพิรุธทำให้เกิดกระบวนการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และทำให้รัฐได้รับความเสียหายจากการจัดซื้อที่มีราคาแพงขึ้นจากเครื่องละ 1.43 พันล้านบาท เป็น 2.6 พันล้านบาท ทำให้สิ้นเปลืองเงินจำนวนมาก
**"แม้ว"ผู้ถูกกล่าวหาลำดับ1
ดังนั้นอนุกรรมการไต่สวนคดีซีทีเอ็กซ์ ของ คตส. จึงมีมติให้ดำเนินคดีและแจ้งข้อกล่าวหากับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน กทภ.เป็นผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ลำดับที่ 1 อีกทั้งอนุกรรมการมีพยานหลักฐานคือ คำให้การของพยานบุคคลซึ่งมาให้การกับ คตส.ว่าในเอกสารการประชุมและสั่งการของกทภ. ที่มีการสั่งให้ใช้จัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้
ทำสัญลักษณ์บางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี โดยใช้ "ปากกาสีดำ" เป็นเครื่องหมายและ พยานได้ระบุกับคตส.ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คือผู้ระบุในที่ประชุมให้เปลี่ยนแปลงระบบสายพานลำเลียง กระเป๋าดังกล่าว
"จากผลการสอบสวนพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธาน กทภ.ที่ได้เข้าประชุม ครม.เมื่อ 3 พ.ค.48 พบว่าไม่ได้มีการตำหนิการทำงานของบอร์ดบทม. และบอร์ดทอท. โดยเฉพาะการไม่แจ้งถึงความเสียหายที่ บทม. และทอท. จะได้รับในการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า และการตัดสินใจซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ รวมถึงการแก้ไขความเสียหายและภาพพจน์ของประเทศไทย ที่ได้รับจากปัญหาที่เกิดขึ้น หลังมีข่าวเรื่องปัญหาสินบนการจัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ซึ่งกระทบกับภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างรุนแรง " ผลการสอบสวนดคีซีทีเอ็กซ์ ของคตส.ระบุ ในตอนหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาคนอื่นๆ ประกอบด้วย ผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาลำดับที่ 2 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคม และอดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นผู้รู้เห็นกระบวนการและขั้นตอนการจัดซื้อทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นผู้เดินทางไปรับเครื่องซีทีเอ็กซ์ ด้วยตัวเองด้วย
ลำดับที่ 3 คือนายธีรวัฒน์ ฉัตราภิมุข ซึ่งเป็นทีมงานฝ่ายการเมืองหน้า
ห้องของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และเป็นเพื่อสนิทของนายสุริยะ เพราะเป็นเพื่อนร่วมสถาบันที่มหาวิทยาลัยเบิร์คเล่ย์ สหรัฐอเมริกา และต่อมาได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการให้เป็นประธานที่ปรึกษา นายสุริยะ สมัยเป็น รมว.คมนาคม โดยพบว่า นายธีรวัฒน์ซึ่งไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ใดๆ แต่กลับไปเข้าร่วมประชุม กับตัวแทนผู้เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจอนุมัติจัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ คือตัวแทนจากบริษัท อินวิชั่น ตัวแทนของกลุ่ม
ITO บริษัท บทม.โดยตลอด เพื่อหาข้อตกลงในการจัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์
ดังนั้นนาย ธีรวัฒน์จึงมีความคผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายในฐานะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามพ.ร.บ. ป.ป.ช. มาตรา 4(5) ซึ่งจากพยานหลักฐานที่อนุกรรมการไต่สวนได้รับ พบว่าทั้ง 3 คน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ นายสุริยะ และนายธีรวัฒน์ ซึ่งเป็นนักการเมืองนั้น ได้แจ้งต่อที่ประชุมผู้เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์หลายครั้งว่า ต้องการให้ได้ข้อสรุปในการซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์โดยเร็วที่สุดและทั้ง 3 คนมีส่วนผลักดันให้มีการซื้อเครื่องดังกล่าวจาก บริษัทอินวิชั่นอย่างสูง
รายงานผลการสอบสวนคดีซีทีเอ็กซ์ ยังระบุผู้ถูกดำเนินคดีในคดีนี้อีกว่ายังมี อดีตคณะกรรมการบริหารบริษัท ทอท.ซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ในองค์กรของรัฐ แต่ไปมีมติหลายครั้งและหลายข้อเพื่อเร่งรัดดำเนินการในการทำสัญญาซื้อขายระหว่าง บทม.กับ อินวิชั่น จึงถือว่ามีความผิดในฐานะร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันมีรายชื่ออดีตบอร์ด ทอท. ที่ถูกคตส.เอาผิด อาทิ นายชัยเกษม นิติศิริ อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน นายศรีสุข จันทรางศุ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม และอดีตประธานบอร์ด ทอท.และบทม. นายอารีพงษ์ พุ่มชะอุ่ม พล.ต.อ.ธวัชชัย ภัยลี้ นายวุฒิพันธ์ วิชัยรัตน์ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ศึกษาธิการ นายปรีชา จรุงกิจอนันต์ นายสมชัย สวัสดิผล อดีต ผอ.สนามบินสุวรรณภูมิ นายอดิเทพ นาคะวิสุทธิ์ นายเทิดศักดิ์ เศรษฐมานพ เป็นต้น
"สำหรับ บริษัทเอกชนที่ถูก คตส.เอาผิดและดำเนินคดีอาญาประกอบด้วยเช่น กลุ่มบริษัทไอทีโอ เพราะถือว่าได้รับผลกำไรขาดทุนจากการดำเนินการให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบสายพานลำเลียง กระเป๋าดังกล่าว บริษัท แพทริออต ในฐานะบริษัทนายหน้า และตัวแทนของ บริษัทอินวิชั่นในประเทศไทย ที่มีนายวรพจน์ ยศทัตต์ หรือเสี่ยเช เป็นเจ้าของ ซึ่งผู้บริหารของกลุ่มบริษัทเอกชนดังกล่าวคือ ไอทีโอ และแพทริออต จะถูกดำเนินคดีทั้งหมด" รายงานข่าวระบุ
เอกสารลับผลการสอบสวนได้ระบุว่า สำหรับบุคคลที่ก่อนหน้านี้ได้ถูกเอาผิดในชั้นอนุกรรมการไต่สวน แต่จะไม่มีชื่อถูกเอาผิดในการส่งสำนวนฟ้องศาล เพราะพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือการดำเนินคดีต้องระงับไปตามกฎหมายประกอบด้วย นายวิชัย จึงรักเกียรติ นายวรวิทย์ วิสูตรชัย เพื่อนร่วมรุ่นคณะวิศวกรรม กับนายวรพจน์ นายโดมินิค แมคเกอดดี้ ชาวต่างชาติ
**"แม้ว-สุริยะ"เจอข้อหาหนัก
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับการเอาผิดตามกฎหมายนั้นจะมีการแยกเขียนบรรยายลักษณะความผิดโดยบางคนจะมีความผิด 2 กระทง แต่บางคนจะมีความผิดแค่ 1 กระทง แต่ที่หนักที่สุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณ และนายสุริยะ ที่พบว่าเป็นแค่ 2 คนเท่านั้นที่โดนเอาผิด 2 กระทง คือ 1.ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,86,90,144,157 รวมทั้งความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม มาตรา 83 และความผิดกระทงที่ 2 คือความผิดตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 70,84,91,97
** อาจแยกฟ้อง"ชัยเกษม"
มีรายงานด้วยว่า ประเด็นสำคัญของการเขียนสรุปผลการสอบสวนพบว่าอนุกรรมการได้มีการถกเถียงกันอย่างมาก ต่อการเอาผิดกับ นายชัยเกษม นิติศิริ อัยการสูงสุด เนื่องจากตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ได้ให้ทุกสำนวนของ คตส.ต้องให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาสำนวนการสั่งฟ้องต่อศาลก่อน แต่หากอัยการสูงสุดไม่สั่งฟ้องถึงค่อยกลับมาให้มีการตั้งกรรมการร่วมสองฝ่ายคือ คตส. กับอัยการ แล้วหากตกลงกันไม่ได้ถึงค่อยให้ คตส.ยื่นฟ้องเอง ซึ่งอนุกรรมการมีความเห็นออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายแรกเห็นว่า คตส. สามารถยื่นฟ้องนายชัยเกษม ต่อศาลได้เลยโดยแยกสำนวนการส่งฟ้องออกมาต่างหาก ตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 97 แต่อีกฝ่ายเห็นว่า ไม่สามารถทำได้เพราะเป็นการลัดขั้นตอน และรูปคดี ไม่เข้ากับกฎหมาย ป.ป.ช.โดยควรส่งฟ้อง นายชัยเกษม พ่วงไปกับบุคคลที่ถูกเอาผิดทั้งหมดแล้วหากอัยการสั่งไม่ฟ้องนายชัยเกษม จากนั้น คตส.ถึงค่อยยื่นฟ้องเอง ทำให้สุดท้ายอนุกรรมการไต่สวนต้องมีการนัดประชุมเพื่อลงมติชี้ขาดในวันนี้ว่าจะดำเนินการอย่างไรกับการเอาผิด นายชัยเกษม