xs
xsm
sm
md
lg

ลดพนง.กระทบPVDน้อย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายกสมาคมบลจ.คาดเศรษฐกิจไทยปีหน้ากระทบโพวิเด้นท์ฟันด์น้อย เหตุปัจจัยลบเบากว่าวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40 และนักธุรกิจมีประสบการณ์จากในอดีตแล้วระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันแจงเอ็นเอวีทั้งอุตสาหกรรมวูบมาจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ไม่เกี่ยวกับการดูแลพอร์ตหุ้น เนื่องจากมีผลงานชนะดัชนีชี้วัดในช่วงที่ตลาดติดลบ ระบุนักลงทุนครบกำหนดไถ่ถอนอาจได้รับผลกระทบบ้างในส่วนของกำไร แต่เงินต้นยังอยู่แน่นอน

นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีหน้าที่คาดว่าจะชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก จนส่งผลให้มีการเลิกจ้างงาน และการเลิกกิจการของบางบริษัทนั้น เชื่อว่าคงจะกระทบต่อกองทุนสำรองเสี้ยงชีพไม่มากนัก โดยอาจจะส่งผลต่อเม็ดเงินลงทุนที่จะเพิ่มเข้ามาในแต่ละเดือนเท่านั้น แต่ไม่น่าจะมีการยุบหรือยกเลิกกองทุนมากจนกระทบต่ออุตสาหกรรมได้
"เมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤตการณ์ปี 2540 แล้ว ถึงแม้จะมีบริษัทปิดกิจการไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้กระทบจนทำให้การลงทุนของกองทุนประเภทนี้ปรับตัวลดลงจนน่าเป็นห่วง ซึ่งนักธุรกิจจะมีบทเรียนและมีการปรับตัว เนื่องจากต้องช่วยเหลือตนเองมาตลอด ซึ่งหากผลิตมาแล้วขายไม่ได้จริง สิ่งแรกคงต้องเป็นการลดกำลังการผลิต และหากยังขายไม่ได้คงจะต้องมีการลดสต็อก โดยสิ่งสุดท้ายที่จะทำน่าจะเป็นปรับลดพนักงาน”นางวรวรรณกล่าว
นอกจากนี้ วิกฤตการณ์ในครั้งนี้นับว่ามีความแตกต่างจากปี 2540 เนื่องจากช่วงเวลานั้น ส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเป็นสถาบันการเงิน แต่ในปัจจุบันส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจะอยู่ใน เรียวเซคเตอร์ หรือภาคการผลิต ทั้งด้านการเกษตร และอุตสาหกรรม ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบที่รุนแรงน้อยกว่าสำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ส่วนปัญหาการเมืองที่มีความกังวลว่า จะส่งผลกระทบเพิ่มขึ้นทั้งจากภายในและภายนอก เชื่อว่าในอนาคตปัญหานี้น่าจะคลี่คลายได้ และไม่ส่งผลต่อการลงทุนในกองทุนประเภทนี้เช่นกัน
นางวรวรณ กล่าวอีกว่า สำหรับพนักงานที่มีปัญหาการถูกเลิกจากนั้น หากต้องการไถ่ถอนเงินลงทุนก็สามารถทำได้ แต่อยากให้นักลงทุนพิจารณาตามความจำเป็นและภาระการใช้จ่ายของตน เนื่องจาก พ.ร.บ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพฉบับใหม่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถคงเงินไว้ในกองทุนได้ตามระยะเวลาที่กำนหด แต่ต้องไม่น้อยกว่า 90 วันนับแต่วันที่ออกจากงาน ซึ่งถ้าถอนเงินลงทุนออกมาทันทีหลังถูกเลิกจ้างอาจทำให้มีภาระทางภาษีได้
ส่วนนักลงทุนที่มีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการลงทุนนั้น เชื่อว่า กองทุนนี้คงจะได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากมีนโยบายการลงทุนส่วนใหญ่ในตราสารหนี้ และมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนน้อยมาก นอกจากนี้ยังเป็นการลงทุนในระยะยาว ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนมากกว่า
ด้าน นายเกษตร ชัยวันเพ็ญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด ได้เปิดเผยถึงเรื่องนี้เอาไว้ว่า จากข้อมูลในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาพบว่ายังไมไถ่ถอนเงินลงทุนออกไปแต่อย่างใด ซึ่งเห็นได้จากจำนวนกองทุนที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงจากกองทุนทั้งหมด 511 กองทุน
ส่วนการเลิกจ้างพนักงานที่มีเป็นจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมานั้น มองว่ายังไม่ใช่ปัจจัยที่มีส่วนสำคัญทำให้เงินลงทุนลดลง เนื่องจากยังไม่มีกองทุนใดถอนเงินลงทุนออกไป อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา มีนายจ้างปรึกษาเข้ามาเช่นกันว่าจะสามารถยกเลิกกองทุนได้หรือไม่ แต่เป็นจำนวนที่ไม่มากนัก ซึ่งเรื่องนี้ ตามกฎหมายแล้วไม่สามารถทำได้
"เรื่องของการเลิกจ้างน่าจะเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาดูในปีหน้า เพราะปีหน้าจะเห็นผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจชัดเจนมากขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการส่งเงินเข้ากองทุนด้วย ดังนั้น เรื่องนี้เราเองต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดด้วย"นายเกษตรกล่าว
**บริหารพอร์ตหุ้นไม่กระทบเอ็นเอวี**
นางวรวรณ กล่าวอีกว่า จากที่มีการนำเสนอข้อมูลกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในหนังสือพิมพ์ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2251 เกี่ยวกับทรัพย์สินสุทธิของกองทุนประเภทนี้ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2551 ซึ่งได้มีการปรับตัวลดลงจากเงินลงทุนในหุ้นสามัญจำนวน 11,820.19 ล้านบาท หรือ 26.73% เหลือเพียง 32,396.13 ล้านบาท เมื่อเทียบกับมูลค่าเงินลงทุน ณ สิ้นเดือน กันยายน 2551 นั้น
ทั้งนี้ ขอชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม ดังนี้ เนื่องจากในเดือนตุลาคม 2551 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดลงจากเดือนกันยายน 2551 จำนวน 180 จุด หรือลดลง 30.17% ปิดที่ 416.53 จุด ดังนั้นเมื่อเทียบการลดลงของมูลค่าหุ้นสามัญที่ลงทุนโดยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งระบบที่ลดลง 26.73% จะเห็นได้ว่าสามารถบริหารอัตราผลตอบแทนได้ดีกว่าอัตราผลตอบแทนรวมของตลาด
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลง ผันผวน และลดลงของมูลค่าหลักทรัพย์ที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ลงทุนไว้ในปัจจุบันเป็นผลมาจากวิกฤติการณ์การเงินสหรัฐที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดไทยและมูลค่าหลักทรัพย์ในประเทศไทยด้วย
อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เกิดขึ้นถือเป็นผลกระทบในระยะสั้นและมีโอกาสจะฟื้นตัวได้ เมื่อเทียบกับระยะเวลาการลงทุนของกองทุนสำรองลี้ยงชีพซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว นอกจากนี้ วิกฤติการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เกิดเป็นครั้งแรก โดยในปี 2540 เหตุการณ์ลักษณะนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วและสามารถฟื้นตัวกลับมาได้
นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว เชื่อว่าสมาชิกที่เกษียณอายุสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้าอาจได้รับผลกระทบจากมูลค่าหน่วยลงทุนที่ลดลง อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการลงทุนระยะยาวที่ได้สร้างผลตอบแทนให้กับสมาชิกอย่างต่อเนื่องมาแล้ว การลดลงของมูลค่าหน่วยลงทุนขณะนี้เป็นการลดลงในส่วนของผลกำไรเท่านั้น โดยเงินต้นยังคงอยู่
“ผู้ที่เกษียณอายุในปีนี้อาจเริ่มลงทุนที่มูลค่าหน่วยลงทุนเริ่มต้น 10 บาท/หน่วย ในปี 2550 มูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 18 บาท/หน่วย แต่ในปี 2551 มูลค่าหน่วยลงทุนลดลงเหลือ 17 บาท/หน่วย เป็นต้น”นางวรวรรณกล่าว
อย่างไรก็ตาม สมาชิกที่เข้ามาใหม่ในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า สามารถซื้อหน่วยลงทุนได้จำนวนมากขึ้นเนื่องจากมูลค่าหน่วยลงทุนที่ลดลง แต่ในระหว่างทางอาจมีผลตอบแทนผันผวน/หรือติดลบได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับสมาชิกที่เข้าใหม่จะยังมีระยะเวลาในการลงทุนอีกยาวนานกว่าจะถึงกำหนดเกษียณอายุ
นอกจากนี้ สำหรับสมาชิกที่ไม่ต้องการจะรับความเสี่ยงจากตลาดหุ้น และสมาชิกที่ใกล้เกษียณแล้ว Employee’s Choice อาจเป็นทางออกที่ดีสำหรับสภาวะตลาดผันผวน โดยอาจพิจารณาย้ายเงินลงทุนไปลงทุนในนโยบายลงทุน Money Market Fund เพื่อรักษาเงินต้นมากกว่าเพื่อผลตอบแทนคาดหวังสูง และเมื่อเศรษฐกิจปรับตัวฟื้นขึ้นมาแล้วสำหรับสมาชิกที่มีเวลาอีกหลายปีจะเกษียณก็สามารถย้ายเงินลงทุนไปไว้นโยบายที่ลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่มากขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มอัตราผลตอบแทน
กำลังโหลดความคิดเห็น