บลจ.ฟินันซ่า รื้อแผนธุรกิจทั้งปีใหม่ หลังวิกฤตเศรษฐกิจพ่นพิษ โดยเฉพาะกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ระบุอาจสะเทือนถึงกองทุนรวมด้วย เหตุลงทุนเชื่อมโยงกัน ส่วนผลประกอบการไตรมาสแรก ยังทรงตัวเท่าปีที่แล้ว พร้อมแนะนักลงทุน มองหาช่องลงทุนสร้างผลตอบแทน ชูตลาดซื้อขายล่วงหน้า หลังผลตอบแทนจูงใจ เช่นเดียวกับการลงทุนต่างประเทศ
นายธีระ ภู่ตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมการทำธุรกิจของบริษัทในปีนี้อาจต้องปรับใหม่ทั้งหมด ภายหลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนและลูกค้าได้รับผลกระทบ ซึ่งในส่วนของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) มีลูกค้าบางรายประสบปัญหาจนต้องปิดโรงงาน ขณะที่ลูกค้าใหม่ก็คงขยายไม่ได้มากนักในภาวะเช่นนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าการเติบโตของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะส่งผลให้กองทุนรวมของบริษัทเติบโตตามไปด้วย สาเหตุเนื่องจากนโยบายที่บริษัทนำเสนอให้ลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพลงทุนผ่าน Employee’s Choice เลือกลงทุนได้ด้วยตัวเองนั้น รูปแบบของกองทุนจะนำเงินไปลงทุนผ่านกองทุนรวมของบริษัทในแต่ละประเภทการลงทุนอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นเมื่อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเติบโตได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจก็อาจกระทบการเติบโตของกองทุนรวมตามไปด้วย
อย่างไรก็ตามแต่ ในแง่ของรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2551 บริษัทยังสามารถทำได้เท่ากับไตรมาสแรกของปีก่อน ทั้งนี้ สิ้นไตรมาสแรกปี 2552 บลจ.ฟินันซ่า มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารในส่วนธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จำนวน 12,194.75 ล้านบาท สำหรับธุรกิจกองทุนรวม มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 7,826.69 ล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 137.68 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจการลงทุนในขณะนี้ นายธีระกล่าวว่า จากสภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการหลายด้านเพื่อช่วยพะยุงภาคเศรษฐกิจเอาไว้ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่ามาตรการที่จ่ายเงิน 2,000 บาทนั้น ก็ยังไม่เห็นผลทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจคึกคักขึ้นมา ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำในขณะนี้นั้นคือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีก ซึ่งวันนี้ (20 พ.ค.) จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยหลายฝ่ายมองว่าการปรับลดในครั้งนี้จะลดลงมาอีก 0.25% เหลือ 1% ซึ่งช่วงที่ผ่านมาที่มีการปรับลดลง ก็ถือว่าต่ำมากแล้ว และคาดว่าการปรับลดลงครั้งนี้น่าจะเป็นกระสุนนัดสุดท้ายที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
"จะเห็นได้ว่ารัฐบาลกำลังออกมาตรการชุดใหม่ออกมาเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แต่คาดว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากรัฐบาลต้องพิจารณาในหลาย ๆ ด้าน เพราะเงินที่เหลืออยู่นั้นไม่มากนัก ดังนั้น ต้องทำการพิจารณากันอย่างรอบครอบ ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะออกมาบอกว่ากำลังจะกู้เงินเพิ่มอีกเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้อีกรอบ ก็คงต้องรอดูว่าจะมากระตุ้นได้มากน้อยเพียงไร"นายธีระกล่าว
ส่วนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเอง ก็ยังมีความผันผวนอยู่ยังไม่นิ่งเท่าที่ควร ทำให้นักลงทุนต่างหวาดวิตกไม่กล้าเข้าไปลงทุนมากนัก เนื่องจากว่าในช่วงปีที่ผ่านมา นักลงทุนขาดทุนกันถ้วนหน้า ดังนั้นการลงทุนในปีนี้ นักลงทุนต้องมีการพิจารณากันอย่างรอบครอบมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม อยากให้นักลงทุนดูและคอยสังเกตความเคลื่อนไหวในช่วงระยะยาวมากกว่าระยะสั้น โดยต้องเริ่มดูกันต่อไปว่าในช่วง 9 - 12 เดือนต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร
นายธีระกล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนในประเทศค่อนข้างไม่คึกคัก นักลงทุนต่างถือเงินสดไว้ในมือ เนื่องจากว่าไม่กล้าเข้าไปลงทุน ดังนั้นสิ่งที่นักลงทุนควรทำในขณะนี้คือ การกระจายการลงทุนไปยังผลิตภัณฑ์อื่น ๆ บ้าง เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี หรือดีกว่านำเงินไปเก็บไว้เฉย ๆ โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้น เราควรมีการจัดสรรพอร์ตในการกระจายการลงทุนด้วย โดยนักลงต้องทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะ 3 เดือน หรือ 6 เดือน เพื่อเก็บไว้เป็นสภาพคล่อง อีกทั้งยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการนำเงินไปฝากธนาคาร นอกจากนี้ เมื่อมีการลงทุนในประเทศแล้ว เราต้องมีการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศด้วย ซึ่งนักลงทุนหลายรายอาจจะมองว่าขณะนี้ การลงทุนในต่างประเทศก็ไม่ต่างจากไทยที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น แต่การลงทุนในต่างประเทศ จะสามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าในประเทศไทย เนื่องจากว่าค่าเงินบาทในแถบทวีปยุโรป หรืออเมริกานั้นดีกว่าในไทย
สำหรับการลงทุนใหม่ ๆ อย่างตลาดซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ก็น่าสนใจ ซึ่งดูแล้วผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์ที่ดี อีกทั้งยังมีการบริหารความเสี่ยงได้ดีอีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลตอบแทนของ TFEX ในปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนสูงถึง 5 - 6% เมื่อเทียบกับหลาย ๆ กองทุนที่ขาดทุนไปตาม ๆ กัน นอกจากนี้ การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์อย่างเช่น ทองคำ ก็น่าสนใจ เพราะราคาของทองคำนั้นไม่มีวันตกอย่างแน่นอน ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้
"การลงทุนในทองคำปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบให้นักลงทุนได้เลือก ไม่ว่าจะลงทุนในทองคำแท่ง หรือลงทุนในโกลส์ฟิวเจอร์ส หรือการลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในทองคำ แต่นักลงทุนเองต้องดูและพิจารณาการลงทุนกันอย่างละเอียดและรอบครอบด้วย เนื่องจากกว่ารายละเอียดของการลงทุนทุกวันนี้ ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านหนังสือชี้ชวนกันอย่างมาก ก่อนที่จะเลือกเข้าไปลงทุน" นายธีระ กล่าว
นายธีระ ภู่ตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมการทำธุรกิจของบริษัทในปีนี้อาจต้องปรับใหม่ทั้งหมด ภายหลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนและลูกค้าได้รับผลกระทบ ซึ่งในส่วนของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) มีลูกค้าบางรายประสบปัญหาจนต้องปิดโรงงาน ขณะที่ลูกค้าใหม่ก็คงขยายไม่ได้มากนักในภาวะเช่นนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าการเติบโตของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะส่งผลให้กองทุนรวมของบริษัทเติบโตตามไปด้วย สาเหตุเนื่องจากนโยบายที่บริษัทนำเสนอให้ลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพลงทุนผ่าน Employee’s Choice เลือกลงทุนได้ด้วยตัวเองนั้น รูปแบบของกองทุนจะนำเงินไปลงทุนผ่านกองทุนรวมของบริษัทในแต่ละประเภทการลงทุนอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นเมื่อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเติบโตได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจก็อาจกระทบการเติบโตของกองทุนรวมตามไปด้วย
อย่างไรก็ตามแต่ ในแง่ของรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2551 บริษัทยังสามารถทำได้เท่ากับไตรมาสแรกของปีก่อน ทั้งนี้ สิ้นไตรมาสแรกปี 2552 บลจ.ฟินันซ่า มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารในส่วนธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จำนวน 12,194.75 ล้านบาท สำหรับธุรกิจกองทุนรวม มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 7,826.69 ล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 137.68 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจการลงทุนในขณะนี้ นายธีระกล่าวว่า จากสภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการหลายด้านเพื่อช่วยพะยุงภาคเศรษฐกิจเอาไว้ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่ามาตรการที่จ่ายเงิน 2,000 บาทนั้น ก็ยังไม่เห็นผลทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจคึกคักขึ้นมา ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำในขณะนี้นั้นคือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีก ซึ่งวันนี้ (20 พ.ค.) จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยหลายฝ่ายมองว่าการปรับลดในครั้งนี้จะลดลงมาอีก 0.25% เหลือ 1% ซึ่งช่วงที่ผ่านมาที่มีการปรับลดลง ก็ถือว่าต่ำมากแล้ว และคาดว่าการปรับลดลงครั้งนี้น่าจะเป็นกระสุนนัดสุดท้ายที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
"จะเห็นได้ว่ารัฐบาลกำลังออกมาตรการชุดใหม่ออกมาเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แต่คาดว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากรัฐบาลต้องพิจารณาในหลาย ๆ ด้าน เพราะเงินที่เหลืออยู่นั้นไม่มากนัก ดังนั้น ต้องทำการพิจารณากันอย่างรอบครอบ ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะออกมาบอกว่ากำลังจะกู้เงินเพิ่มอีกเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้อีกรอบ ก็คงต้องรอดูว่าจะมากระตุ้นได้มากน้อยเพียงไร"นายธีระกล่าว
ส่วนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเอง ก็ยังมีความผันผวนอยู่ยังไม่นิ่งเท่าที่ควร ทำให้นักลงทุนต่างหวาดวิตกไม่กล้าเข้าไปลงทุนมากนัก เนื่องจากว่าในช่วงปีที่ผ่านมา นักลงทุนขาดทุนกันถ้วนหน้า ดังนั้นการลงทุนในปีนี้ นักลงทุนต้องมีการพิจารณากันอย่างรอบครอบมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม อยากให้นักลงทุนดูและคอยสังเกตความเคลื่อนไหวในช่วงระยะยาวมากกว่าระยะสั้น โดยต้องเริ่มดูกันต่อไปว่าในช่วง 9 - 12 เดือนต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร
นายธีระกล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนในประเทศค่อนข้างไม่คึกคัก นักลงทุนต่างถือเงินสดไว้ในมือ เนื่องจากว่าไม่กล้าเข้าไปลงทุน ดังนั้นสิ่งที่นักลงทุนควรทำในขณะนี้คือ การกระจายการลงทุนไปยังผลิตภัณฑ์อื่น ๆ บ้าง เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี หรือดีกว่านำเงินไปเก็บไว้เฉย ๆ โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้น เราควรมีการจัดสรรพอร์ตในการกระจายการลงทุนด้วย โดยนักลงต้องทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะ 3 เดือน หรือ 6 เดือน เพื่อเก็บไว้เป็นสภาพคล่อง อีกทั้งยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการนำเงินไปฝากธนาคาร นอกจากนี้ เมื่อมีการลงทุนในประเทศแล้ว เราต้องมีการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศด้วย ซึ่งนักลงทุนหลายรายอาจจะมองว่าขณะนี้ การลงทุนในต่างประเทศก็ไม่ต่างจากไทยที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น แต่การลงทุนในต่างประเทศ จะสามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าในประเทศไทย เนื่องจากว่าค่าเงินบาทในแถบทวีปยุโรป หรืออเมริกานั้นดีกว่าในไทย
สำหรับการลงทุนใหม่ ๆ อย่างตลาดซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ก็น่าสนใจ ซึ่งดูแล้วผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์ที่ดี อีกทั้งยังมีการบริหารความเสี่ยงได้ดีอีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลตอบแทนของ TFEX ในปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนสูงถึง 5 - 6% เมื่อเทียบกับหลาย ๆ กองทุนที่ขาดทุนไปตาม ๆ กัน นอกจากนี้ การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์อย่างเช่น ทองคำ ก็น่าสนใจ เพราะราคาของทองคำนั้นไม่มีวันตกอย่างแน่นอน ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้
"การลงทุนในทองคำปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบให้นักลงทุนได้เลือก ไม่ว่าจะลงทุนในทองคำแท่ง หรือลงทุนในโกลส์ฟิวเจอร์ส หรือการลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในทองคำ แต่นักลงทุนเองต้องดูและพิจารณาการลงทุนกันอย่างละเอียดและรอบครอบด้วย เนื่องจากกว่ารายละเอียดของการลงทุนทุกวันนี้ ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านหนังสือชี้ชวนกันอย่างมาก ก่อนที่จะเลือกเข้าไปลงทุน" นายธีระ กล่าว