ศูนย์ข่าวภูเก็ต – พันธมิตรฯ จ.ภูเก็ต ลั่นแม้การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะยุติลงแล้ว ด้วยชัยชนะ แต่ยังจะเฝ้าจับตามมองการทำงานของภาครัฐต่อเนื่อง และพร้อมที่จะปกป้องความถูกต้องตลอดเวลา ที่สำคัญหากประกาศให้มีการชุมนุมของเหล่าผองพันธมิตรฯเพื่อต่อต้านกลุ่มการเมืองเก่าที่กลับมาแสวงหาอำนาจ ทุจริต คอรัปชั่น และสืบทอดระบอบทักษิณ ก็พร้อมตลอดเวลาที่จะร่วมการชุมนุม
แม้ว่า การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยุติลงแล้วด้วยชัยชนะอย่างงดงาม จากการวมพลังร่วมแรงร่วมใจของพันธมิตรฯทั่วประเทศ แต่บรรดาพันธมิตรฯจังหวัดต่างๆ ประกาศที่จะยังทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ และปกป้องการทุจริตที่จะเกิดขึ้นต่อไป และเมื่อใดที่พบเห็นความไม่ถูกต้องก็พร้อมที่จะกลับมาชุมนุมอีกครั้ง
นางสาวอาภารัตน์ ชาติชุติกำจร ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.ภูเก็ต กล่าวถึงความสำเร็จในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ของจังหวัดภูเก็ต ได้ดำเนินการเช่นเดียวกับพันธมิตรฯในส่วนกลาง โดยยุติการชุมนุม ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งที่ถือว่าประสบความสำเร็จในการกดดันศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ดำเนินกระบวนการยุติธรรมเร็วขึ้น
การตัดสินให้ยุบพรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค คิดว่าไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการพรรค ยังสามารถที่จะไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ได้ ตลอดจนจับกลุ่มกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เช่นเดิม
สำหรับการยุติการชุมนุมครั้งนี้ ถือเป็นของขวัญถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ที่เราเคารพและจงรักภักดี ในหน้าที่ของประชาชนคนหนึ่งที่จะทำได้ หรือประชาชนกลุ่มหนึ่งที่พึงจะกระทำได้ ซึ่งได้ประกาศอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่า ทุกอย่างที่ได้กระทำนั้น เพื่อเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ ทุกสิ่งที่กระทำ ทำเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
การชุมนุมที่ผ่านมา เราเพียงแต่เร่งขบวนการศาลให้มีการพิจารณาเร็วขึ้น ไม่ได้เป็นการกดดันศาลให้มีการพิจารณาไปในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แต่เป็นเพียงการเคลื่อนไหวของมวลชน เพื่อเรียกร้องให้คำตัดสินให้ออกมาเร็วขึ้น เพื่อจะได้รู้ว่าแนวทางของการเมืองในอนาคตจะเป็นอย่างไร เป็นคำตอบที่เราจะต้องรู้ว่าเราจะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป
“หากในอนาคตกลุ่มการเมืองกลุ่มเดิมกลับมามีอำนาจอีกครั้ง ประชาชนได้ทำหน้าที่ของประชาชนได้ดีที่สุดแล้ว เท่าที่ประชาชนจะทำได้ และได้มอบอำนาจทั้งหมดให้แก่ผู้ที่มีอำนาจในการดูแลประเทศ เช่น ทหาร พรรคการเมือง หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่ต้องช่วยแก้ปัญหาให้แก่ประชาชนต่อไป เราทำดีที่สุดเท่าที่ประชาชนจะเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเอง ส่วนทางภาคใต้ วอนพรรคประชาธิปัตย์ช่วยทำอะไรให้แก่ประชาชนกลับคืนบ้าง เพราะที่ผ่านมาประชาชนทำให้พรรคประชาธิปัตย์มากแล้ว ซึ่งคำตอบคงต้องให้พรรคประชาธิปัตย์ค้นหาด้วยตนเองว่าจะทำอย่างไร” นางสาวอาภารัตน์ กล่าว
นางสาวอาภารัตน์ ยังกล่าวต่อไปว่า สำหรับแนวโน้มการเมืองใหม่ที่ พันธมิตรฯต้องการว่า การเมืองใหม่คือการเมืองที่ผู้ปกครองมีจริยธรรม ผู้ที่ลงเล่นการเมืองคือผู้ที่มีคุณธรรมและจริยธรรม นี่คือแนวทางของการเมืองใหม่ในอนาคต ซึ่งหากผู้ปกครองบ้านเมืองมีคุณธรรมและจริยธรรม ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้ทุกปัญหา โดยไม่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือหากเจอการเรียกร้องใดๆ จะต้องมีแนวทางการแก้ไขที่ดีกว่าที่ผ่านมา
ขณะนี้คิดว่าไม่สามารถที่จะดึงใครคนใดคนหนึ่งมาเป็นนายกฯ หรือมาเป็นตุ๊กตาตรงนั้นได้ เพราะสิ่งสำคัญ คือ รูปลักษณ์ของสภา ต้องคอยดูว่าจะจัดตั้งสภากันได้หรือไม่ หากสามารถสรรหาพรรคการเมืองเพื่อจัดตั้งสภาได้ จึงจะถึงเวลาในการสรรหานายกฯ ฉะนั้น อยู่ที่ว่าจะแก้ไขปัญหาขณะนี้อย่างไรเป็นอับดับแรก
สำหรับกระแสข่าวที่ ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง พร้อมที่จะถูกเสนอขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป นางสาวอาภารัตน์ กล่าวว่า ไม่ใช่แค่มวลชนของพันธมิตรฯเท่านั้น แต่ต้องหาคำตอบของคนทั้งประเทศ และคิดว่าคงเป็นคำตอบเดียวกัน คือ คงจะยาก ที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ
ในส่วนของการจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยในอนาคต นางสาวอาภารัตน์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยจะจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ได้อาจจะยังให้คำตอบไม่ได้ เพราะต่อจากนี้ไปต้องคิดว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ได้ความรู้ด้านการเมืองมากขึ้นกว่าเดิม ภายในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ASTV ถือเป็นสื่อที่มีบุญคุณต่อประชาชนมาก ในการเผยแพร่ความรู้พร้อมทั้งปูพื้นการเมืองใหม่ๆให้แก่ประชาชนทั่วไป
จากเดิมที่เคยคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว แต่ ณ วันนี้ ประชาชนเริ่มเข้าใจบทบาทในการเรียกร้องเพื่อตนเอง และเข้าใจหน้าที่ของตนเองว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากแต่เป็นหน้าที่ของทุกๆคนที่ต้องรับผิดชอบ ในเมื่อเราต้องเดินออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ฉะนั้นทุกคนจะมองว่าการเมืองเป็นเรื่องที่ไกลตัวคงไม่ได้แล้ว จากนั้นทุกคนต้องมาเรียนรู้บทบาทของตนเองว่าจะมีหน้าที่อย่างไรกับการเมือง
อย่างน้อยการมีสื่อที่ดีให้ข้อมูลกับประชาชนถือเป็นความโชคดีอย่างมาก สื่อที่ง่ายที่สุดในการรับรู้คือโทรทัศน์ เนื่องจากคนไทยนิยมอ่านหนังสือกันน้อย ฉะนั้นเรามีสื่อดีเท่ากับเราได้ความรู้ให้กับตัวเราเอง ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้ประชาชนมีความรู้ที่จะเลือกคนที่จะมาปกครองให้กับตัวเอง จึงอย่ามองว่า รัฐบาลจะเกิดขึ้นจากพรรคที่กล่าวถึงเพียงอย่างเดียว เนื่องจากประชาชนมีวิสัยทัศน์เรื่องการเมืองมากขึ้น แต่ต้องมองถึงอนาคตว่าหากถึงวันนั้นจริงๆ ค่อยมาแก้ปัญหาว่าจะเป็นอย่างไร และต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น
ขณะนี้ ประชาชนบางส่วนมีความรู้เรื่องการเมืองมากขึ้น จากเดิมอาจแค่ 10% ของคนที่พอจะมีความรู้เรื่องการเมือง แต่ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 30% หลายคนเริ่มมีความรู้และเริ่มจะเรียนรู้บทบาทของตัวเองที่จะเคลื่อนไหวเมื่อเผชิญกับนักการเมืองที่ไม่โปร่งใสในการทำงาน หรือเรามีคำถามอะไร เรามีวิธีที่จะถาม ที่จะช่วยกันเรียกร้อง เพื่อจะแก้ไขปัญหาที่เราพบเจอ แต่ด้านนักการเมืองเองต้องมีการพิสูจน์ตัวเองว่าทำถูกต้องหรือไม่ ทุจริตหรือไม่ นั่นคือหน้าที่ของแต่ละส่วนที่จะต้องรับผิดชอบกันไป โดยสื่อมีส่วนทำให้คนมีความรู้มากขึ้นเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเองมากขึ้น
ในด้านของ เอ็นบีที บอกได้เลยว่าเป็นสื่อของรัฐ ส่วน เอเอสทีวี ได้ทำหน้าที่ของตนเอง เนื่องจากเอเอสทีวี มีหน้าที่เผยแพร่ข่าวสาร ในส่วนที่รัฐบาลได้กระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นั่นคือหน้าที่ของเอเอสทีวี ที่มีจุดยืนที่ชัดเจนตลอดมา แต่เอ็นบีทีไม่ได้มีจุดยืนว่า เป็นสื่อของรัฐในส่วนนั้น เพียงแต่รัฐเข้าไปแทรกแซงให้เผยแพร่สื่อออกมาตามต้องการ เรียกว่าเป็นกระบอกเสียงให้ รัฐบาล ลองจับตาดูว่าหากรัฐบาลชุดนี้หมดอำนาจลง เอ็นบีทีจะทำงานอย่างไร เหมือนเช่นดังที่ผ่านมาหรือไม่
กรณีที่ถูกประชาชน มองว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของความขัดแย้ง นางสาวอาภารัตน์ ชี้แจงว่า ทุกอย่างที่ทุกคนพูดถึง ไม่ใช่ความขัดแย้งดังที่ทุกคนเข้าใจ ลึกๆของปัญหามันไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่มันเกิดมาจากจริยธรรมของนักการเมือง การฉ้อโกง ทั้งหมดที่ถูกเผยแพร่ออกมา และการหลบเลี่ยงกฎหมาย แล้วบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งมีข้อมูลข่าวสารตรงนี้ ได้นำมาตีแผ่ต่อทุกๆคนโดยผ่านสื่อ ว่าเกิดเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจะต้องแก้ไขอย่างไร จริงๆแล้วพูดได้เลยว่ามันไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่รัฐบาลสร้างคนกลุ่มหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้เห็นภาพว่ามวลชนขัดแย้งกัน
นางสาวอาภารัตน์ กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า ในช่วงสุญญากาศทางการเมืองขณะนี้ ไม่ใช่หน้าที่ของพันธมิตรฯที่จะดำเนินการใดๆ เราก้าวออกมาแล้ว เป็นหน้าที่ของผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านของเมือง ที่จะแก้ปัญหาว่าควรจะหยิบฉวยโอกาสในขณะนี้ว่า จะทำประโยชน์ให้แก่ประเทศอย่างไร ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องทำเพื่อประเทศแล้ว ไม่ใช่ประชาชน เนื่องจากประชาชนเหนื่อยล้ามามากพอแล้ว ในการออกมาทำหน้าที่ของตนเองและเต็มที่ ที่ประชาชนจะตอบแทนในฐานะข้าของแผ่นดิน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะมองอยู่ห่างๆ เพราะเราเฝ้ามองการกระทำที่เกิดขึ้นทุกอย่าง ที่เขากระทำ ตราบใดที่เราเห็นว่าสิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่ถูกต้อง เราก็เห็นด้วย และปล่อยให้ดำเนินการไปตามเกณฑ์ที่วางไว้ แต่ถ้าเกิดมีบางจุดที่ไม่ถูกดต้อง เสียงของเราก็ยังดังออกมาเช่นเดิม โดยการเรียกร้องในลักษณะต่างๆ และพันธมิตรฯพร้อมที่จะออกมาปกป้องความถูกต้องภายใต้ กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดให้เราทำตลอดเวลา