ก่อนอื่น“แสงแดด” ต้องขอออกตัว หรือแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่า เป็น “ประชาธิปไตย” เต็มตัว ไม่เคยฝักใฝ่ระบบระบอบการเมืองการปกครองใดๆ ทั้งนั้น แต่ต้องเป็น “ระบอบเสรีประชาธิปไตย” จริงๆ ทั้งในแง่ “ปรัชญา-หลักการ-วิธีการ” ทั้งหมด มิใช่เป็นเพียง “ผิวฉาบหน้า” เพียง “เปลือก” เท่านั้น แต่ “แก่นสาร-เนื้อหาสาระ” และที่สำคัญที่สุด “วิธีการ” นั้น “หลอกลวง-จอมปลอม” สิ้นดี ดังที่เป็นอยู่กับ “การเมืองไทย”
ขอความจริงๆ เถอะว่า การที่มีหลายๆ ฝ่าย โดยเฉพาะ “ไอ้เจ้าบรรดานักการเมือง” ส่วนใหญ่นั้น ประกาศพร้อมตะโกนปาวๆ ว่า “ประชาธิปไตย” มีความสำคัญต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งก็ต้องน้อมรับว่าถูกต้องแล้ว
แต่ก็ต้องถามจริงๆ ว่า บ้านเมืองเราทุกวันนี้ เป็นประชาธิปไตยกันจริงๆ หรือ หรือว่าเป็นเพียง “เปลือก” และ “หลอกลวง” ชาวบ้านเท่านั้น ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่เต็มอกเต็มสมองว่า “มันไม่ใช่!”
สถานการณ์ชาติบ้านเมืองที่สับสนวุ่นวาย จนถึงขั้น “แตกหัก” และ “ไทยฆ่าไทย” ทุกวันนี้ ขอย้ำอีกครั้งว่า ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่เกิดจาก “กระบวนการทางการเมือง” ที่ “แอบอ้างประชาธิปไตย” ทั้งสิ้น
โดยหลักการของระบอบการเมืองการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยนั้น ถือว่าเป็นระบอบที่ “เลวร้ายน้อยที่สุด” แต่ก็มิได้หมายความว่า “ดีที่สุด!” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อำนาจ” ทั้งหมด “จากประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” ซึ่งต้องบอกว่า “จำนวนของประชาชน” ต้องนับว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดที่ “ผู้ปกครอง” จำต้องตระหนักและคำนึงถึงให้มากที่สุด หรือ “เสียงส่วนใหญ่!”
ทั้งนี้ กระบวนการที่จะได้มาซึ่งอำนาจของประชาชนในเชิง “รวบรวม-สะสม” นั้น มิใช่เรื่องง่าย ต้องมีกระบวนการขั้นตอนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ระยะเวลา” ซึ่งอาจยาวนานนับเดือนทีเดียว!
แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุด ขั้นพื้นฐาน และ/หรือเบื้องต้นของระบอบประชาธิปไตย คือ “ความรู้-ข้อมูลข่าวสาร” ที่จะถูกพัฒนาไปสู่เป็น “องค์รวม” ของ “การศึกษา” ที่เสริมสร้างให้มีสมรรถนะและศักยภาพในการศึกษา แยกแยะ และวิเคราะห์ปัญหาสังคม การเมือง เศรษฐกิจ ทั้งระดับชุมชน ท้องถิ่น และระดับชาติ
ทั้งนี้ เมื่อประชาชนมีการศึกษาขั้นพื้นฐาน จนสามารถพินิจพิจารณา พร้อมรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้เป็นอย่างดีแล้ว ก็จะพัฒนาความสามารถไปสู่การศึกษาพรรคการเมือง นโยบายของแต่ละพรรคการเมือง และแน่นอน “นักการเมือง” ที่เสนอตัวมาเป็น “ผู้รับใช้-ผู้แทน” ในกรณีของ “ความรู้-ความสามารถ” ตลอดจน “พฤติกรรม” และ “ประวัติ” ของผู้ที่จะเสนอตัวเป็น “ผู้แทนราษฎร” จากท้องถิ่นเรา
คำถามสำคัญต้องถามว่า ประชาชนคนไทยทุกวันนี้ มีความรู้ ความเข้าใจ และการศึกษาในระดับขั้นพื้นฐานหรือยัง หรือมากน้อยเพียงใด ที่จะ “ตัดสินใจ” ในการเลือกนักการเมืองที่อาสาจะเป็นผู้แทนราษฎรของเขา คำตอบก็คงพอจะตอบได้อย่างชัดเจนว่า “น่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐาน”
เท่านั้นยังไม่พอ “สถานะทางเศรษฐกิจ” ที่ต้องยอมรับว่า “ความยากจน” โดยเฉพาะ “ประชาชนระดับล่าง” ที่ “ประชาชนต่างจังหวัดชนบท” ที่มักกระจัดกระจายอยู่ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)
อย่างไรก็ดี เพื่อความเป็นธรรม ประชาชนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ทั้งภาคกลาง และในใจกลางกรุงเทพมหานครก็ดี ยังประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจและการศึกษาจำนวนมาก ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาคเหนือและภาคอีสาน
และเลวร้ายไปมากกว่านั้น คือ “ระบบอิทธิพล-ระบบมาเฟีย” ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ที่เรียกว่า “ระบบหัวคะแนน” ก็เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ประชาชนเกรงกลัวจนถูกบังคับและชี้นำได้ในที่สุด
ปัญหาข้างต้นนั้น ในทางวิชาการ เรียกว่า “สถานะทางสังคม-เศรษฐกิจ” หรือ “Socio-Economic Status” ซึ่งเป็นปัญหารากฐานของ “สังคมการเมืองไทย” แถมประกบเป็นแซนด์วิชด้วย “อำนาจ-อิทธิพล” จากทั้งเจ้าหน้าที่ภาครัฐและนักเลงโต!
การเมืองไทยถึงได้วนเวียนอยู่กับ “วงจรอุบาทว์” เช่นนี้เสมอมา กล่าวคือ ประชาชนยากจน การศึกษาน้อย เกรงกลัวอิทธิพล ตลอดจน ระบบอุปถัมภ์ค้ำจุน การเลือกตั้งทุกครั้ง จึงไม่สามารถเรียกขานได้ว่า “การเลือกตั้ง” แต่เป็น “การจัดตั้ง-การซื้อตั้ง” มาโดยตลอด ทั้งนี้ ถ้าจะจัดสัดส่วนของ “กระบวนการอุบาทว์การเมือง” ดังกล่าวนั้น ก็ต้องตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า น่าจะสูงถึงร้อยละ 65-70 เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็คงจะเป็น “อำนาจบริสุทธิ์” ของประชาชนจริงที่อยู่ในระดับกลางและสูง เพียงร้อยละ 25-30
เมื่อธรรมชาติของกระบวนการเลือกตั้งเป็นเช่นนั้น ซึ่งเป็น “ธุรกิจการเมือง” และล้ำถลำลึกไปมากกว่านั้น คือเป็น “ระบอบธนาธิปไตย” มิใช่ “ประชาธิปไตย” วงจรอุบาทว์การเมืองเมื่อเป็น “ธุรกิจ” ที่มี “การลงทุน” แน่นอน “การถอนทุน” และ “บวกกำไร” ก็ต้องเกิดขึ้น
“วงจรอุบาทว์” ของการเมืองไทยเป็นเช่นนี้มานับ 70 กว่าปีแล้ว เพียงแต่ว่า “ธุรกิจการเมือง” และในที่สุดถูกสถาปนาเป็น “ธนาธิปไตย” ได้เริ่มเข้มข้นอย่างจริงๆ จังๆ ช่วง 2543-2549 เป็นต้นมา ที่มีการลงทุนเพื่อให้ได้อำนาจรัฐมานับมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาททีเดียว!
นักการเมือง มักอ้างเสมอว่า “มาจากการเลือกตั้ง” ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า “ซื้อ-บังคับ-โกง” การเลือกตั้งมาทั้งเพ แต่ก็ยัง “โกหกชาวบ้าน” และไม่สำคัญเท่ากับ “โกหกตัวเอง” อย่างหน้าด้านๆ ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ โปรยยิ้มว่า “ประชาชนเลือกมา!”
ใครก็ตามแต่ที่ชอบแอบอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่มาจาก “เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ – 6 ตุลาฯ” นั้น ต้องขอสบตาถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “แน่ใจหรือ ที่ไม่มีการโกงซื้อเสียง” มาไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะนักการเมืองจาก “แปดริ้ว”
วิกฤตบ้านเมืองทุกวันนี้ เป็นเพราะ “นักการเมือง-นายทุนการเมือง” ที่ก่อปัญหาให้เกิดขึ้น และเลวร้ายถลำลึกไปจนไม่สามารถเยียวยาได้ ถ้าเราไม่ปฏิรูปสร้างการเมืองที่สอดคล้องกับความจริงของสังคมการเมืองไทย ที่ทุกวันนี้เป็น “ประชาธิปไตยจอมปลอม!”
ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา ได้มีการศึกษา วิจัย ตลอดจนการวิเคราะห์จากบรรดา นักวิชาการ สื่อมวลชน และประชาชนโดยทั่วไป ที่สนใจและมีความรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการเมืองไทย ถึงกรณีปัญหาดังกล่าวข้างต้น ซึ่งก็ต้องบอกความเป็นจริงว่า ทุกฝ่ายนั้น “พร่ำพรรณนา” มาโดยตลอด แต่นับวันยิ่งเข้มข้นมากยิ่งขึ้นที่ “ธุรกิจการเมือง” รุกคืบล้ำเส้นมากเกินไป แต่ยังมาเสนอหน้าว่า “มาจากการเลือกตั้ง-เป็นประชาธิปไตย”
“ความสลับซับซ้อน” ของ “ธุรกิจการเมือง” ยิ่งเพิ่มมากขึ้นในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาด้วย “ทุจริตเชิงนโยบาย” และ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” โดยมิได้เกรงกลัวต่อกระบวนการตรวจสอบจากภาคประชาชน ภาคสื่อมวลชน และองค์กรอิสระ
อย่างไรก็ตาม ต้องดีใจและขอบคุณกับ “สังคมโลกาภิวัตน์” ที่เปี่ยมล้นไปด้วยข้อมูลข่าวสาร และกระจายอย่างรวดเร็ว ทั่วถึง ด้วยความทันสมัยของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ด้านการสื่อสาร จึงทำให้ประชาชนได้ “รับรู้” และท้ายที่สุด “รู้ทัน!” ซึ่งถือว่า ได้สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงให้เราได้มีโอกาส “รู้ทัน-จับได้ไล่ทัน” กับบรรดา “นักธุรกิจการเมือง” แต่เลวร้ายสุดๆ คือ “นายทุนการเมือง”
“นายทุนการเมือง” จะทุ่มทุนมหาศาลเพื่อให้ได้มาซึ่งจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ได้มากที่สุด จนถึงขั้นเกินครึ่งของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด เรียกว่า สามารถจัดตั้ง “รัฐบาลพรรคเดียว” ได้จะเป็น “เป้าหมายสูงสุด!”
ทั้งนี้ ในโครงสร้างและระบบการเมืองไทย ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน “ก๊ก-ก๊วน-แก๊ง” ทางการเมืองยังเป็นปัจจัยสำคัญที่แต่ละ “กลุ่มการเมือง” ต้องเกาะพื้นที่ และสำคัญที่สุด “ครอบคลุม-ครอบงำ” พื้นที่ให้ได้จำนวน ส.ส.จากเขตให้ได้มากที่สุด จนกลายเป็น “ระบบโควตา” ที่พูดง่ายๆ คือ “หัวหน้าแก๊ง” ต้องมีจำนวน ส.ส.ในกลุ่มให้ได้มากที่สุด เพื่อจัดสรรโควตาในการมี “ตำแหน่งทางการเมือง”
แต่ที่เลวร้ายไปมากกว่านั้น คือ “ทุน” ที่ต้องระดมมาให้ได้มากที่สุด เพื่อหล่อเลี้ยง “ลูกสมุน ส.ส.” ซึ่งก็ได้รับเงินเดือนจากตำแหน่ง ส.ส.เบี้ยประชุม ตลอดจนการเดินทางฟรี และสามารถขอเบิกจ่ายได้เกือบทุกอย่าง ยังต้องได้รับรายได้จาก “หัวหน้า” อย่างน้อยเดือนละไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท
ก็พอจะเข้าใจในเหตุผลที่แจ้งว่า ต้องมี “เงินพิเศษ” เพื่อไปดูแลชาวบ้านในพื้นที่ ที่มีสารพัดกิจกรรม อาทิ งานบวช งานแต่งงาน งานศพ ทุนการศึกษา เป็นต้น โดยถ้าเราพิจารณาอย่างลึกซึ้ง เจาะลึกจริงๆ ก็ต้องบอกว่า “เห็นใจนักการเมือง” ที่เป็นเช่นนี้ ในการระดมทุน เนื่องด้วย “สะท้อน” ให้เห็นถึง “สภาพจริงของประชาชน” ที่ร้องหาเงินตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการเลือกตั้ง จนมอบอำนาจให้นักการเมืองไปแล้ว “ยังเลี้ยงไม่โต!”
“การปะทะทางความคิด” ที่ขัดแย้งระหว่าง “การเมืองเก่า-การเมืองใหม่” นั้นได้เริ่มมานานหลายปีแล้ว ที่มีประชาชนจำนวนมากค่อยๆ “รู้ทัน” มากยิ่งขึ้นว่า ที่อ้างกันมาโดยตลอดว่า “มาจากการเลือกตั้ง-เป็นประชาธิปไตย” นั้น มิได้เป็นความจริง แถม “โกงกิน!” กันจนน่าเกลียด “ระดมการฉ้อราษฎร์บังหลวง” ด้วย “กำไรนับหมื่นๆ ล้านบาท” ก็เลยต่างตะโกนกันว่า “ไม่ใช่!”
จนในที่สุด “การปะทะกันด้วยกำลัง!” จึงเกิดขึ้น ปัจจุบันนี้และ “นองเลือด!” ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่ง “ประชาธิปไตย-อุดมคติ” มิใช่ “จอมปลอม” อย่างเช่นเป็นอยู่!
ขอความจริงๆ เถอะว่า การที่มีหลายๆ ฝ่าย โดยเฉพาะ “ไอ้เจ้าบรรดานักการเมือง” ส่วนใหญ่นั้น ประกาศพร้อมตะโกนปาวๆ ว่า “ประชาธิปไตย” มีความสำคัญต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งก็ต้องน้อมรับว่าถูกต้องแล้ว
แต่ก็ต้องถามจริงๆ ว่า บ้านเมืองเราทุกวันนี้ เป็นประชาธิปไตยกันจริงๆ หรือ หรือว่าเป็นเพียง “เปลือก” และ “หลอกลวง” ชาวบ้านเท่านั้น ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่เต็มอกเต็มสมองว่า “มันไม่ใช่!”
สถานการณ์ชาติบ้านเมืองที่สับสนวุ่นวาย จนถึงขั้น “แตกหัก” และ “ไทยฆ่าไทย” ทุกวันนี้ ขอย้ำอีกครั้งว่า ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่เกิดจาก “กระบวนการทางการเมือง” ที่ “แอบอ้างประชาธิปไตย” ทั้งสิ้น
โดยหลักการของระบอบการเมืองการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยนั้น ถือว่าเป็นระบอบที่ “เลวร้ายน้อยที่สุด” แต่ก็มิได้หมายความว่า “ดีที่สุด!” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อำนาจ” ทั้งหมด “จากประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” ซึ่งต้องบอกว่า “จำนวนของประชาชน” ต้องนับว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดที่ “ผู้ปกครอง” จำต้องตระหนักและคำนึงถึงให้มากที่สุด หรือ “เสียงส่วนใหญ่!”
ทั้งนี้ กระบวนการที่จะได้มาซึ่งอำนาจของประชาชนในเชิง “รวบรวม-สะสม” นั้น มิใช่เรื่องง่าย ต้องมีกระบวนการขั้นตอนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ระยะเวลา” ซึ่งอาจยาวนานนับเดือนทีเดียว!
แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุด ขั้นพื้นฐาน และ/หรือเบื้องต้นของระบอบประชาธิปไตย คือ “ความรู้-ข้อมูลข่าวสาร” ที่จะถูกพัฒนาไปสู่เป็น “องค์รวม” ของ “การศึกษา” ที่เสริมสร้างให้มีสมรรถนะและศักยภาพในการศึกษา แยกแยะ และวิเคราะห์ปัญหาสังคม การเมือง เศรษฐกิจ ทั้งระดับชุมชน ท้องถิ่น และระดับชาติ
ทั้งนี้ เมื่อประชาชนมีการศึกษาขั้นพื้นฐาน จนสามารถพินิจพิจารณา พร้อมรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้เป็นอย่างดีแล้ว ก็จะพัฒนาความสามารถไปสู่การศึกษาพรรคการเมือง นโยบายของแต่ละพรรคการเมือง และแน่นอน “นักการเมือง” ที่เสนอตัวมาเป็น “ผู้รับใช้-ผู้แทน” ในกรณีของ “ความรู้-ความสามารถ” ตลอดจน “พฤติกรรม” และ “ประวัติ” ของผู้ที่จะเสนอตัวเป็น “ผู้แทนราษฎร” จากท้องถิ่นเรา
คำถามสำคัญต้องถามว่า ประชาชนคนไทยทุกวันนี้ มีความรู้ ความเข้าใจ และการศึกษาในระดับขั้นพื้นฐานหรือยัง หรือมากน้อยเพียงใด ที่จะ “ตัดสินใจ” ในการเลือกนักการเมืองที่อาสาจะเป็นผู้แทนราษฎรของเขา คำตอบก็คงพอจะตอบได้อย่างชัดเจนว่า “น่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐาน”
เท่านั้นยังไม่พอ “สถานะทางเศรษฐกิจ” ที่ต้องยอมรับว่า “ความยากจน” โดยเฉพาะ “ประชาชนระดับล่าง” ที่ “ประชาชนต่างจังหวัดชนบท” ที่มักกระจัดกระจายอยู่ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)
อย่างไรก็ดี เพื่อความเป็นธรรม ประชาชนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ทั้งภาคกลาง และในใจกลางกรุงเทพมหานครก็ดี ยังประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจและการศึกษาจำนวนมาก ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาคเหนือและภาคอีสาน
และเลวร้ายไปมากกว่านั้น คือ “ระบบอิทธิพล-ระบบมาเฟีย” ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ที่เรียกว่า “ระบบหัวคะแนน” ก็เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ประชาชนเกรงกลัวจนถูกบังคับและชี้นำได้ในที่สุด
ปัญหาข้างต้นนั้น ในทางวิชาการ เรียกว่า “สถานะทางสังคม-เศรษฐกิจ” หรือ “Socio-Economic Status” ซึ่งเป็นปัญหารากฐานของ “สังคมการเมืองไทย” แถมประกบเป็นแซนด์วิชด้วย “อำนาจ-อิทธิพล” จากทั้งเจ้าหน้าที่ภาครัฐและนักเลงโต!
การเมืองไทยถึงได้วนเวียนอยู่กับ “วงจรอุบาทว์” เช่นนี้เสมอมา กล่าวคือ ประชาชนยากจน การศึกษาน้อย เกรงกลัวอิทธิพล ตลอดจน ระบบอุปถัมภ์ค้ำจุน การเลือกตั้งทุกครั้ง จึงไม่สามารถเรียกขานได้ว่า “การเลือกตั้ง” แต่เป็น “การจัดตั้ง-การซื้อตั้ง” มาโดยตลอด ทั้งนี้ ถ้าจะจัดสัดส่วนของ “กระบวนการอุบาทว์การเมือง” ดังกล่าวนั้น ก็ต้องตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า น่าจะสูงถึงร้อยละ 65-70 เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็คงจะเป็น “อำนาจบริสุทธิ์” ของประชาชนจริงที่อยู่ในระดับกลางและสูง เพียงร้อยละ 25-30
เมื่อธรรมชาติของกระบวนการเลือกตั้งเป็นเช่นนั้น ซึ่งเป็น “ธุรกิจการเมือง” และล้ำถลำลึกไปมากกว่านั้น คือเป็น “ระบอบธนาธิปไตย” มิใช่ “ประชาธิปไตย” วงจรอุบาทว์การเมืองเมื่อเป็น “ธุรกิจ” ที่มี “การลงทุน” แน่นอน “การถอนทุน” และ “บวกกำไร” ก็ต้องเกิดขึ้น
“วงจรอุบาทว์” ของการเมืองไทยเป็นเช่นนี้มานับ 70 กว่าปีแล้ว เพียงแต่ว่า “ธุรกิจการเมือง” และในที่สุดถูกสถาปนาเป็น “ธนาธิปไตย” ได้เริ่มเข้มข้นอย่างจริงๆ จังๆ ช่วง 2543-2549 เป็นต้นมา ที่มีการลงทุนเพื่อให้ได้อำนาจรัฐมานับมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาททีเดียว!
นักการเมือง มักอ้างเสมอว่า “มาจากการเลือกตั้ง” ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า “ซื้อ-บังคับ-โกง” การเลือกตั้งมาทั้งเพ แต่ก็ยัง “โกหกชาวบ้าน” และไม่สำคัญเท่ากับ “โกหกตัวเอง” อย่างหน้าด้านๆ ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ โปรยยิ้มว่า “ประชาชนเลือกมา!”
ใครก็ตามแต่ที่ชอบแอบอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่มาจาก “เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ – 6 ตุลาฯ” นั้น ต้องขอสบตาถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “แน่ใจหรือ ที่ไม่มีการโกงซื้อเสียง” มาไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะนักการเมืองจาก “แปดริ้ว”
วิกฤตบ้านเมืองทุกวันนี้ เป็นเพราะ “นักการเมือง-นายทุนการเมือง” ที่ก่อปัญหาให้เกิดขึ้น และเลวร้ายถลำลึกไปจนไม่สามารถเยียวยาได้ ถ้าเราไม่ปฏิรูปสร้างการเมืองที่สอดคล้องกับความจริงของสังคมการเมืองไทย ที่ทุกวันนี้เป็น “ประชาธิปไตยจอมปลอม!”
ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา ได้มีการศึกษา วิจัย ตลอดจนการวิเคราะห์จากบรรดา นักวิชาการ สื่อมวลชน และประชาชนโดยทั่วไป ที่สนใจและมีความรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการเมืองไทย ถึงกรณีปัญหาดังกล่าวข้างต้น ซึ่งก็ต้องบอกความเป็นจริงว่า ทุกฝ่ายนั้น “พร่ำพรรณนา” มาโดยตลอด แต่นับวันยิ่งเข้มข้นมากยิ่งขึ้นที่ “ธุรกิจการเมือง” รุกคืบล้ำเส้นมากเกินไป แต่ยังมาเสนอหน้าว่า “มาจากการเลือกตั้ง-เป็นประชาธิปไตย”
“ความสลับซับซ้อน” ของ “ธุรกิจการเมือง” ยิ่งเพิ่มมากขึ้นในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาด้วย “ทุจริตเชิงนโยบาย” และ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” โดยมิได้เกรงกลัวต่อกระบวนการตรวจสอบจากภาคประชาชน ภาคสื่อมวลชน และองค์กรอิสระ
อย่างไรก็ตาม ต้องดีใจและขอบคุณกับ “สังคมโลกาภิวัตน์” ที่เปี่ยมล้นไปด้วยข้อมูลข่าวสาร และกระจายอย่างรวดเร็ว ทั่วถึง ด้วยความทันสมัยของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ด้านการสื่อสาร จึงทำให้ประชาชนได้ “รับรู้” และท้ายที่สุด “รู้ทัน!” ซึ่งถือว่า ได้สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงให้เราได้มีโอกาส “รู้ทัน-จับได้ไล่ทัน” กับบรรดา “นักธุรกิจการเมือง” แต่เลวร้ายสุดๆ คือ “นายทุนการเมือง”
“นายทุนการเมือง” จะทุ่มทุนมหาศาลเพื่อให้ได้มาซึ่งจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ได้มากที่สุด จนถึงขั้นเกินครึ่งของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด เรียกว่า สามารถจัดตั้ง “รัฐบาลพรรคเดียว” ได้จะเป็น “เป้าหมายสูงสุด!”
ทั้งนี้ ในโครงสร้างและระบบการเมืองไทย ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน “ก๊ก-ก๊วน-แก๊ง” ทางการเมืองยังเป็นปัจจัยสำคัญที่แต่ละ “กลุ่มการเมือง” ต้องเกาะพื้นที่ และสำคัญที่สุด “ครอบคลุม-ครอบงำ” พื้นที่ให้ได้จำนวน ส.ส.จากเขตให้ได้มากที่สุด จนกลายเป็น “ระบบโควตา” ที่พูดง่ายๆ คือ “หัวหน้าแก๊ง” ต้องมีจำนวน ส.ส.ในกลุ่มให้ได้มากที่สุด เพื่อจัดสรรโควตาในการมี “ตำแหน่งทางการเมือง”
แต่ที่เลวร้ายไปมากกว่านั้น คือ “ทุน” ที่ต้องระดมมาให้ได้มากที่สุด เพื่อหล่อเลี้ยง “ลูกสมุน ส.ส.” ซึ่งก็ได้รับเงินเดือนจากตำแหน่ง ส.ส.เบี้ยประชุม ตลอดจนการเดินทางฟรี และสามารถขอเบิกจ่ายได้เกือบทุกอย่าง ยังต้องได้รับรายได้จาก “หัวหน้า” อย่างน้อยเดือนละไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท
ก็พอจะเข้าใจในเหตุผลที่แจ้งว่า ต้องมี “เงินพิเศษ” เพื่อไปดูแลชาวบ้านในพื้นที่ ที่มีสารพัดกิจกรรม อาทิ งานบวช งานแต่งงาน งานศพ ทุนการศึกษา เป็นต้น โดยถ้าเราพิจารณาอย่างลึกซึ้ง เจาะลึกจริงๆ ก็ต้องบอกว่า “เห็นใจนักการเมือง” ที่เป็นเช่นนี้ ในการระดมทุน เนื่องด้วย “สะท้อน” ให้เห็นถึง “สภาพจริงของประชาชน” ที่ร้องหาเงินตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการเลือกตั้ง จนมอบอำนาจให้นักการเมืองไปแล้ว “ยังเลี้ยงไม่โต!”
“การปะทะทางความคิด” ที่ขัดแย้งระหว่าง “การเมืองเก่า-การเมืองใหม่” นั้นได้เริ่มมานานหลายปีแล้ว ที่มีประชาชนจำนวนมากค่อยๆ “รู้ทัน” มากยิ่งขึ้นว่า ที่อ้างกันมาโดยตลอดว่า “มาจากการเลือกตั้ง-เป็นประชาธิปไตย” นั้น มิได้เป็นความจริง แถม “โกงกิน!” กันจนน่าเกลียด “ระดมการฉ้อราษฎร์บังหลวง” ด้วย “กำไรนับหมื่นๆ ล้านบาท” ก็เลยต่างตะโกนกันว่า “ไม่ใช่!”
จนในที่สุด “การปะทะกันด้วยกำลัง!” จึงเกิดขึ้น ปัจจุบันนี้และ “นองเลือด!” ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่ง “ประชาธิปไตย-อุดมคติ” มิใช่ “จอมปลอม” อย่างเช่นเป็นอยู่!