ASTVผู้จัดการรายวัน - อภิสิทธิ์ จี้รัฐบาลเร่งเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อยุติวิกฤต โฆษกฯ ปชป.ระบุสถานการณ์ยังไม่พ้นขีดอันตราย เหตุที่เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลจงใจดองเรื่องข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศในกลุ่มอาเซียนไว้ช่วงปลายสมัย หวังยัดไส้แก้ รธน. ด้าน กลุ่ม 40 ส.ว.จี้ ชัย รับผิดชอบ ประฌามรัฐบาลมุ่งประโยชน์ตัวเองมากกว่าความเดือดร้อนของประชาชน นักวิชาการ แพทย์นักศึกษา ยื่นหนังสือให้ ผบ.ทบ. แก้ไขสถานการณ์โดยไม่ต้องโดยไม่ต้องหวั่นเกรงอำนาจการเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (24 พ.ย.) หลังจากประชาชนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ปิดล้อมรัฐสภา เพื่อไม่ให้มีการประชุมรัฐสภา เพราะเกรงว่า สมาชิกรัฐสภาจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทยอยเดินทางมารวมตัวกันที่พรรคประชาธิปัตย์เพื่อหารือประเมินสถานการณ์ การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ก่อนตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมการประชุมASTVลา 09.45 น. นายอภิสิทธิ์และคณะส.ส.ประมาณ 20 คนได้ตัดสินใจขึ้นรถตู้เดินทางไปร่วมประชุมรัฐสภา โดยใช้เส้นทางถนนสุโขทัยไปยังบริเวณใกล้หน้าที่ทำการพรรคชาติไทย เพราะยังไม่ได้รับการแจ้งจากประธานรัฐสภาว่าจะยกเลิกการประชุมดังกล่าวหรือไม่ แต่เนื่องจาก กลุ่มพันธมิตรฯได้ปิดกั้นถนนบริเวณดังกล่าว ทำให้คณะส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ต้องลงเดินเท้า โดยมีกลุ่ม ผู้ชุมนุมส่งเสียงกรี๊ดและกล่าวชื่นชมนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งบางส่วนได้ขอถ่ายรูปร่วมกับนายอภิสิทธิ์ด้วย
***อภิสิทธิ์จี้รัฐบาลเร่งเจรจาพันธมิตรฯ
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนเป็นห่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นห่วงมาตลอดและอยากเห็นความชัดเจนในการเจรจากันระหว่างรัฐบาลและพันธมิตรฯสักครั้ง เพราะตนไม่อยากให้เกิดความรุนแรง และอยากให้เกิดความชัดเจน เพราะเราเรียกร้องมาตลอดว่าต้องมีความพยายามอย่างจริงจังที่จะเจรจา และเมื่อช่วงเย็น ของวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา ตนได้กราบเรียนประธานรัฐสภาไปแล้วว่า ถ้าจะให้มีการพูดคุยกัน ตนก็ยินดี และประธานรัฐสภาไม่ได้ติดต่อกลับมา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าให้มีการเจรจากันในตอนนี้ จะถือว่าสายไปหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ยากกว่าการเจรจาก่อนหน้านี้ แต่ก็ต้องพยายามกันให้ถึงที่สุด และการเจรจา ไม่ใช่มาเจรจาเฉพาะประธานรัฐสภา แต่ต้องนำรัฐบาลมาเจรจากับผู้ชุมนุมด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่คณะส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินเท้าไปยังรัฐสภา ปรากฏว่านายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงาน(วิป) พรรคฝ่ายค้าน ได้โทรศัพท์ไปสอบถามนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ว่าจะยังมีการประชุมรัฐสภาอยู่หรือไม่ ซึ่งนายชัยแจ้งว่างดการประชุมรัฐสภาในวันนี้ไปก่อน จากนั้น นายสาทิตย์ได้ส่งโทรศัพท์มือถือให้นายอภิสิทธิ์กับนายชัย ซึ่งนายชัย ได้บอกว่าเลื่อนการประชุมดังกล่าวอย่างไม่มีกำหนด จากนั้น คณะส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้เดินทางกลับมายังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ทันที และจะมีการประชุมส.ส.ของพรรคในเวลา 13.00 น.
ต่อมาเวลา 13.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เรียกประชุมส.ส.พรรคนัดพิเศษ ภายหลังนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาเลื่อนการประชุมรัฐสภาออกไปโดยมี คุณหญิงกัลยา โสภณพณิช รองประธานส.ส. ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม ซึ่งใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง
***สถานการณ์ยังไม่พ้นขีดอันตราย
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันว่าขณะนี้สถานการณ์ยังไม่พ้นขีดอันตราย และทุกฝ่ายยังต้องตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาทโดยเฉพาะสัญญาณความรุนแรงจากซีกของผู้มีอำนาจยังดำเนินอยู่ และในช่วงเช้าวันนี้ (24 พ.ย.51) นายอภิสิทธิ์ ได้พูดคุยกับนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา โดยเรียกร้องให้รัฐบาลเริ่มต้นเจรจากับกลุ่มพันธมิตร เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไม่ได้เป็นปัญหาระหว่างประชาชนกับสถาบันนิติบัญญัติ แต่เป็นปัญหาระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรฯ
ดังนั้น พรรคจึงมีความเห็นว่าสถานการณ์ที่ดำเนินมาถึงจุดปิดล้อมการประชุมสภาเป็นครั้งที่ 2 เหตุเกิดขึ้นจากที่รัฐบาลไม่เจรจาอย่างเป็นรูปธรรมไม่จริงใจและไม่รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านิ้ หากช่วงเวลาที่ผ่านมารัฐบาลไม่มีท่าที กำกวมสร้างความเคลือบแคลงสงสัยต่อการบรรจุญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบัญญัติร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ คปพร. ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลให้สัญญาณที่สับสนมาโดยตลอด ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเมืองภาคประชาชนไม่ไว้วางใจรัฐบาลในการเจรจา เพื่อคลี่คลายวิกฤตการณ์ รวมถึงสถานการณ์ที่มีความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนถึงขนาด มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัส จำนวนมากถือว่าเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ รวมถึงการออกมาพูดของทหารนอกแถว ซึ่งพรรคเห็นว่ารัฐบาลต้องดำเนินกับบุคคลที่ใส่เครื่องแบบ
***ชี้รัฐบาลจงใจให้เกิดการเผชิญหน้า
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้วิเคราะห์ถึงความชอบธรรมของรัฐบาลที่จะทำให้ การเผชิญหน้าลดลง และการดำเนินกิจกรรมเชิงรุกของกลุ่ม นปช. อย่างต่อเนื่อง เพราะแม้การจัดรายการความจริงวันนี้สัญจร เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ที่วัดสวนแก้ว จะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น แต่คิดว่า การก้าวล่วงจัดรายการในวัดถือเป็นการ ดึงเรื่องความเชื่อทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นการไม่สมควร รวมถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้ประชาชนส่งไปรษณียบัตรขอกราบบังคมทูลถวายฎีกา เรื่องขอนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนั้น ถือเป็นการไม่บังควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับกระบวนการความยุติธรรม ไม่ว่าบุคคลใดก็ไม่สมควรใช้ประชาชนหรือ มวลชน เข้ามากดดันสถาบันพระมาหากษัติย์ หรือสถาบันยุติธรรม เกี่ยวกับการวินิจฉัยคดีอาญาต่อแผ่นดิน ซึ่งแนวทางนี้ถือว่า ตรงกับแนวทางการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในรายการความจริงวันนี้ ที่สนามราชมังคลากีฬาสถานที่ผ่านมา
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นว่า รัฐสภาไม่สามารถเปิดประชุมได้นั้น เป็นเพราะรัฐบาลออกข่าวว่าเกิดจากกลุ่มพันธมิตรฯทำให้บ้านเมืองประสบความ เสียหายทางเศรษฐกิจ ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมทำข้อตกลงการค้าเสรีกับอาเซียน หรือประเทศอินโดนีเซีย และเกาหลีได้ ซึ่งตรงนี้พรรคประชาธิปัตย์ ขอยืนยันว่า หากรัฐบาลไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบและดำเนินการตามกฎหมายตั้งแต่ต้น ความเสียหาย จะไม่เกิดขึ้น เพราะสาระสำคัญทั้งหมดได้ผ่านที่ประชุมคณะกรรมการประสานงาน ให้เป็นไปตามกฏบัตรอาเซียนเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้วตั้งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา ถือว่ามีเวลาถึง 3 เดือนที่จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาร่วมรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะรัฐบาลเพิกเฉยและไม่ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ
***ส.ว.แถลงการณ์หนุนชัยเลื่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ ส.ว. บางส่วนได้ไปรวมตัวกันอยู่ที่ อาคารสุขประพฤต ถ.ประชาชื่น ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของสมาชิกวุฒิสภา เช่น นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 น.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 และส.ว.จำนวนหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจาก ส.ว.ได้รับแจ้งจากนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ให้เลื่อนการประชุมรัฐสภาออกไป ทำให้ ส.ว.ได้ออก แถลงการณ์แสดงจุดยืน ต่อสถานการณ์ขณะนี้ว่า ตามที่นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา มีคำสั่งงดการประชุมร่วมกันและสั่งให้เลื่อนการประชุมออกไป กลุ่ม ส.ว. มีความเห็น ร่วมกันว่า ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำ ประเทศอาเทศอาเซียน ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 15-18 .ค. ซึ่งมีประเด็นสำคัญคือการพิจารณาข้อตกลงสนธิสัญญา ความร่วมมือ ในกรอบอาเซียนหลายฉบับ ตามที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ มาตรา 190
ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของประเทศ ส.ว.จึงเห็นด้วยกับคำสั่งของประ ธานรัฐสภาให้เลื่อนการประชุมออกไปก่อน และเห็นด้วยให้มีการย้ายสถานที่ ประชุมรัฐสภาไปยังสถานที่ วันและเวลา ตามที่ประธานรัฐสภากำหนด เพื่อให้มีการประชุมรัฐสภาในการพิจารณาข้อตกลงสนธิสัญญาความร่วมมือ ในกรอบอาเซียน โดยไม่มีการบรรจุวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับส.ว.ที่ร่วมออกแถลงการณ์ด้วยมีรายชื่อ อาทิ นายวิทยา อินาลา ส.ว.นครพนม นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ นายสุพจน์ โพธิ์ทองคำ ส.ว.สรรหา พล.ต.อ.โกวิท ภักดีภูมิ ส.ว.อ่างทอง พล.ร.อ.ณรงค์ ยุทธวงศ์ ส.ว.สรรหา นายวรวุฒิ โรจนพานิช ส.ว.สรรหา ในขณะที่กลุ่ม 40 ส.ว.ได้เดินทางไปยังอาคารสุขประพฤติเพื่อหารือถึงสถานการณ์การเมืองตั้งแต่ช่วงเช้า
***40 ส.ว.ซัดรัฐไม่สนใจแก้ความขัดแย้ง
ต่อมาเวลา 14.30 น. กลุ่ม 40 ส.ว. ได้ร่วมกันแถลงแสดงจุดยืนต่อ สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น โดยมีน.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายคำนูณ สิทธิสมาน และนายไพบูลย์นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ร่วมกันแถลง
โดยน.ส.รสนา กล่าวว่า ทางกลุ่ม 40 ส.ว. เห็นว่าการที่ประธานรัฐสภาดึงดันบรรจุเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ คปพร. เข้าเป็นวาระเร่งด่วนที่ 1 ทำให้เกิด ความไม่ไว้วางใจโดยทั่วไป เพราะรัฐบาลใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตั้งแต่เดือน พ.ค.2551 ทั้งที่ขณะนี้ยังไม่มี พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชนมารองรับ นับเป็นการกระทำที่ขัดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งประธานรัฐสภาต้องรับผิดชอบแก้ไขด้วยตนเอง รัฐบาล ในฐานะผู้รับผิดชอบกลไกการบริหารประเทศ ยังนิ่งเฉยต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น มาต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. ที่คนร้ายยิงอาวุธสงครามเข้าใส่ที่ชุมนุมกลางเมือง โดยรัฐบาลมิได้แสดงความรับผิดชอบใดๆ
น.ส.รสนากล่าวว่า รัฐบาลมีความกังวลต่อกรอบข้อตกลงทางการค้า ของอาเซียน มากกว่าปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่อาจนำไปสู่การนองเลือด ของประชาชนไทย ด้วยข้ออ้างที่ว่ากรอบข้อตกลงนั้นเป็นหน้าตาและศักดิ์ศรีของประเทศ ที่ต้องให้รัฐสภารับรอง ความจริงกรอบข้อตกลงดังกล่าว เป็นข้ออ้างที่ทำลาย ความน่าเชื่อถือของรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ว่าเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข ทั้งที่หลายวาระไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และยังเป็นการเสนอเข้ามาอย่างเร่งรัด ยัดเยียดในเวลาจำกัดที่ไม่สามารถใช้เวลาศึกษาล่วงหน้าได้ ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ใช่การรับรองกรอบ ข้อตกลงดังกล่าว แต่รัฐบาลและรัฐสภาควรพิจารณาปัญหาโดยยึดถือความสงบสุข ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก เพื่อฟื้นคืนความสงบเรียบร้อยมาสู่สังคมต่อไป
***ปัญญาสยาม ยื่น ผบ.ทบ.แก้วิกฤต
วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการกองทัพบก เครือข่ายปัญญาสยาม นำโดย ศ.นพ. ประมวล วีรุตมเสน ศาสตราจารย์เกียรติคุณคณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมสมาชิก 100 คน ประกอบด้วยนักวิชาการ บุคลากรทางการแพทย์ ข้าราชการ นิสิตนักศึกษา นักวิชาการ และประชาชนทั่วไป เข้ายื่นหนังสือเปิดผนึกถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ผ่าน พล.ต.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล เลขานุการกองทัพบก โดยแถลงการณ์เรียกร้องให้ผบ.ทบ.ออกมาปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน และเห็นว่า กองทัพควรดำเนินการแก้ไขวิกฤติชาติ ด้วยวิธีการที่เหมาะสม โดยไม่ใช้วิธีรัฐประหาร
ศ.นพ.ประมวล กล่าวว่า ขณะนี้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ได้ทำลาย ความสามัคคีของคนในชาติ นอกจากนี้นายสมชายยังมีความประพฤติอันขัดจริยธรรม ของแบบอย่างผู้นำที่ดี ขาดคุณสมบัติความเป็นนายกรัฐมนตรีทำให้ประเทศชาติ เกิดความขัดแย้ง และพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเกื้อกูลประโยชน์แก่อดีตผู้บริหาร พรรคการเมือง ยิ่งผลการสอบสวนเห็นว่า นายสมชาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ รุนแรงในวันที่ 7 ตุลาคม 51 แต่นายสมชายไม่ได้แสดงความรับผิดชอบ และยังไม่สามารถระงับเหตุร้ายและปล่อยให้มีการวางระเบิดในที่ชุมนุมทำให้มีผู้ชาดเจ็บและเสียชีวิตรายวัน เมื่อนายกรัฐมนตรี และตำรวจไม่อาจให้ความปลอดภัยแก้ประชาชนได้ ความหวังของประชาชนจึงอยู่ที่ ผบ.ทบ.
จึงขอวิงวอนให้ท่านแสดงบทบาทปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และชีวิตประชาชนที่บริสุทธิ์ โดยไม่ต้องหวั่นเกรงอำนาจทางการเมือง และขอให้ท่าน พิจารณากำจัดต้นตอแห่งปัญหาทั้งมวลด้วยวิธีการที่เหมาะสมโดยสงบ ซึ่งเครือข่าย มีความหวังที่จะเห็นการเมืองที่สะอาด และมีผู้บริหารประเทศที่มีความชอบธรรมและเปี่ยมด้วยคุณธรรม ซึ่งจะนำสันติสุขและความปรองดองมาสู่ประเทศชาติ
***ชี้ปมใหญ่แก้ รธน.-แค่เลื่อนไม่จบ
นายฮัอหมัด สมบูรณ์บัวหลวง อดีตคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) และนักวิชาการอิสระด้านสันติวิธี เปิดเผยว่า การสั่งงดประชุม ของประธานรัฐสภา เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่ปมปัญหาสำคัญยังไม่ได้คลี่คลาย หรือแก้ปัญหาตรงจุดและอุณหภูมิทางการเมืองยังอยู่ในระดับสูง
รัฐบาลคาดหวังจะให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกตินั้น คงเป็นเรื่องยาก หากยังพยายามเดินหน้าตั้ง ส.ส.ร.3 เพื่อแก้ไขรัฐธรมนูญ เพราะสิ่งดังกล่าวไม่ใช่ คำตอบ และเป็นทางออกที่ดีสำหรับการแก้ไขและคลี่คลายวิกฤตทางการเมือง
นายฮัอหมัด กล่าวว่าการพยายามเดินหน้าของรัฐบาลในเรื่อง ส.ส.ร.3นั้น สะท้อนให้เห็นว่า ไม่พยายามลดเงื่อนไขวิกฤตที่เกิดขึ้น เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และนำไปสู่การยุติ หรือลดความเสี่ยงในการเกิดความรุนแรง ตามที่หลายฝ่าย ต่างแสดงความเป็นห่วง ซึ่งการพยายามแก้ไขรัธรรมนูญได้กลายเป็นเงื่อนไขหนึ่ง ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยระดมคนจำนวนมากออกมาเคลื่อนขบวน ในครั้งนี้
การพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ตามมเป้าหมาย ได้ในช่วงเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากวิกฤตทางการเมืองในขณะนี้มีก่อตัวรุนแรงมากขึ้น เรื่อยๆ และหากรัฐบาลยังรั้นที่จะเดินหน้าต่อ จะเป็นการยิ่งเร่งปมเงื่อนไขให้สุกงอม มากขึ้น ซึ่งจะไม่เป็นดีในสังคมแน่นอน
***เอกชนจี้รัฐบาลอย่านิ่งเฉย
นายอภิชาติ สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) เปิดเผยว่า ภาพของสถานการณ์ทางการเมืองที่แตกแยกกันชัดเจนมากขึ้นทุกวัน จึงต้องการให้ผู้บริหารประเทศ ตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ปล่อยให้สถานการณ์ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ อย่างทุกวันนี้ เพราะท้ายที่สุดผลเสียหายจะเกิดแก่ประเทศชาติ
“ในเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้บริหารประเทศต้องตัดสินใจที่จะยุติเหตุที่เกิดขึ้น จะด้วยวิธีใด หรือแบบใดก็ตาม แต่ต้องให้ทุกอย่างยุติลง ไม่ใช่ยืดเยื้อเหมือนทุกวันนี้ เพราะนักท่องเที่ยวจะเกิดความไม่มั่นใจ”
ทั้งนี้จากเหตุการณ์ชุมนุมเดินขบวนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถ้าเป็นการชุมนุมโดยสงบ ชาวต่างประเทศรับได้ โดยเฉพาะตลาดยุโรป เพราะเขาเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตย แต่หากมีความรุนแรงปะทะกันจนบาดเจ็บล้มตาย ย่อมมีผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยวแน่นอน และ การชุมนุมที่ยืดเยื้อไม่สิ้นสุด หรือมีการปะทะ มีระเบิดกันบ่อย ก็จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวเบื่อหน่ายที่จะเดินทางเข้ามา
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวแน่นอน แต่มากน้อยเท่าใด ยังตอบไม่ได้ และการชุมนุมล่าสุดในครั้งนี้ก็ต้องรอดูว่าจะมีการบาดเจ็บ หรือ เสียชีวิต หรือไม่ ถ้ามีก็จะกระทบมาก แต่ยอมรับว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ลดลง ในช่วงครึ่งปีหลัง มาจากสถานการณ์การเมืองในประเทศ เป็นหลัก ไม่ใช่เพราะวิกฤตเศรษฐกิจโลก แต่ ปีหน้า โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 2 อาจเห็นผลชัดขึ้น เพราะจากเหตุการณ์เมืองในประเทศ และ ภาวะเศรษฐกิจโลก คนตกงาน เป็นผลให้ขณะนี้ ยอด บุ๊คกิ้งล่วงหน้ามีจำนวนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และ มีแนวโน้มที่จะยกเลิกเพิ่มขึ้นด้วย และจากเหตุความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ มีความเป็นไปได้ ที่นักท่องเที่ยวที่กำหนดเดินทางเข้ามาในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า เช่นเดียวกับเหตุระเบิดในกรุงเทพ ช่วงเทศกาลปีใหม่ เมื่อ 2 ปีก่อน
ทางด้านนายสุรพล เศวตเศรนี รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ในฐานะประธานศูนย์ปฎิบัติการวางแผนการท่องเที่ยวและศูนย์ปฎิบัติการในภาวะวิกฤต(ศ.ว.ก.) กล่าวว่า ททท.จัดทีมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมกับพร้อมชี้แจงกับสำนักงานในต่างประเทศในทุกเวลา หากพบว่าประเทศใด มีการออกข้อมูลข่าวสารที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง แต่จะไม่มีการออกแผนรับมือใดๆไปก่อน เพราะ ศ.ว.ก. จะมีบทบาทก็ต่อเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความรุนแรงใดๆ ก็ได้แต่เกาะติดสถานการณ์ และ รับข้อมูลจากสำนักงานในต่างประเทศเพื่อใช้เป็นข้อมูลจัดทำยุทธศาสตร์รับมือ
**ททท.ประชุมด่วน
นางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า เตรียมเรียกผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.ในประเทศ ทั้ง 35 แห่ง มาร่วมประชุมในวันที่ 28 พ.ย.ศกนี้ เพื่อเตรียมวางแผนรณรงค์ให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวช่วงฤดูไฮซีซั่นปีนี้ โดยกรอบเบื้องต้นที่วางแนวทางไว้คือ ให้ทุกจังหวัดจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างกันในจังหวัดใกล้เคียง ในรูปแบบแพกเกจท่องเที่ยว
ทั้งนี้เพราะ จากปัญหาการเมืองภายในประเทศ และ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ได้กระทบต่อบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวให้ชะลอตัวตามไปด้วย ททท.จึงต้องหากิจกรรมเข้ามาเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้น ยังได้ให้ ศูนย์ปฎิบัติการวางแผนการท่องเที่ยวและศูนย์ปฎิบัติการในภาวะวิกฤต(ศ.ว.ก.) ติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด ซึ่งเบื้องต้นยังไม่มีรายงานว่านักท่องเที่ยวโทรเข้ามาสอบถามแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน ทางสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค(พาต้า) ได้รับเป็นตัวแทนชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้รับทราบ ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ซึ่งโชคดีว่ากว่า 60% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวเป็นกลุ่มที่มาซ้ำ หรือเคยเดินทางมาประเทศไทยแล้ว จึงรู้จักพื้นที่ว่าที่ใดควรหลีกเลี่ยงไม่เดินทางเข้าไป เห็นได้จากแหล่งท่องเที่ยวอื่นยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเป็นปกติ และมีรายงานจากภาคเอกชนว่า มีชาร์เตอร์ไฟล์ทเตรียมบินเข้าภูเก็ตยาวถึง พ.ค.ปีหน้า
***บีเจซี.มั่นใจกระทบระยะสั้น
นายปฐพงศ์ เอี่ยมสุโร รองผู้จัดการใหญ่ กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ค่อนข้างแย่และน่ากลัวกว่าปีหน้านี้ เพราะมีปัจจัยลบมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการเมืองภายในประเทศ ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น กระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า และวิกฤตเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามแต่มองว่าการทำธุรกิจในปีหน้านี้น่าดีมากกว่าปีนี้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตต่างๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติ แม้ว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่ในแง่ของการบริหารจัดการดีกว่า ทำให้บริษัทไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในปีหน้านี้ แต่กังวลในเรื่องของภัยธรรมชาติจากภาวะโลกร้อนมากกว่า
สำหรับสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยในปีนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคของบริษัท โดยยังมีอัตราการเติบโตที่ดี เนื่องจากเป็นสินค้าที่จำเป็นต้องกินต้องใช้ และกลุ่มรากหญ้ายังเป็นกลุ่มที่มีกำลังการซื้อ ขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ คาดว่าจะเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบมากกว่า ส่วนปัญหาการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจโลก ในช่วงไฮซีซั่นนี้มองว่ากระทบต่อความมั่นใจของผู้บริโภคระยะสั้นๆ เท่านั้น โดยเฉพาะกลุ่มคนเมืองอาจจะอยู่สภาพตกใจ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (24 พ.ย.) หลังจากประชาชนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ปิดล้อมรัฐสภา เพื่อไม่ให้มีการประชุมรัฐสภา เพราะเกรงว่า สมาชิกรัฐสภาจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทยอยเดินทางมารวมตัวกันที่พรรคประชาธิปัตย์เพื่อหารือประเมินสถานการณ์ การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ก่อนตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมการประชุมASTVลา 09.45 น. นายอภิสิทธิ์และคณะส.ส.ประมาณ 20 คนได้ตัดสินใจขึ้นรถตู้เดินทางไปร่วมประชุมรัฐสภา โดยใช้เส้นทางถนนสุโขทัยไปยังบริเวณใกล้หน้าที่ทำการพรรคชาติไทย เพราะยังไม่ได้รับการแจ้งจากประธานรัฐสภาว่าจะยกเลิกการประชุมดังกล่าวหรือไม่ แต่เนื่องจาก กลุ่มพันธมิตรฯได้ปิดกั้นถนนบริเวณดังกล่าว ทำให้คณะส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ต้องลงเดินเท้า โดยมีกลุ่ม ผู้ชุมนุมส่งเสียงกรี๊ดและกล่าวชื่นชมนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งบางส่วนได้ขอถ่ายรูปร่วมกับนายอภิสิทธิ์ด้วย
***อภิสิทธิ์จี้รัฐบาลเร่งเจรจาพันธมิตรฯ
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนเป็นห่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นห่วงมาตลอดและอยากเห็นความชัดเจนในการเจรจากันระหว่างรัฐบาลและพันธมิตรฯสักครั้ง เพราะตนไม่อยากให้เกิดความรุนแรง และอยากให้เกิดความชัดเจน เพราะเราเรียกร้องมาตลอดว่าต้องมีความพยายามอย่างจริงจังที่จะเจรจา และเมื่อช่วงเย็น ของวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา ตนได้กราบเรียนประธานรัฐสภาไปแล้วว่า ถ้าจะให้มีการพูดคุยกัน ตนก็ยินดี และประธานรัฐสภาไม่ได้ติดต่อกลับมา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าให้มีการเจรจากันในตอนนี้ จะถือว่าสายไปหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ยากกว่าการเจรจาก่อนหน้านี้ แต่ก็ต้องพยายามกันให้ถึงที่สุด และการเจรจา ไม่ใช่มาเจรจาเฉพาะประธานรัฐสภา แต่ต้องนำรัฐบาลมาเจรจากับผู้ชุมนุมด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่คณะส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินเท้าไปยังรัฐสภา ปรากฏว่านายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงาน(วิป) พรรคฝ่ายค้าน ได้โทรศัพท์ไปสอบถามนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ว่าจะยังมีการประชุมรัฐสภาอยู่หรือไม่ ซึ่งนายชัยแจ้งว่างดการประชุมรัฐสภาในวันนี้ไปก่อน จากนั้น นายสาทิตย์ได้ส่งโทรศัพท์มือถือให้นายอภิสิทธิ์กับนายชัย ซึ่งนายชัย ได้บอกว่าเลื่อนการประชุมดังกล่าวอย่างไม่มีกำหนด จากนั้น คณะส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้เดินทางกลับมายังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ทันที และจะมีการประชุมส.ส.ของพรรคในเวลา 13.00 น.
ต่อมาเวลา 13.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เรียกประชุมส.ส.พรรคนัดพิเศษ ภายหลังนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาเลื่อนการประชุมรัฐสภาออกไปโดยมี คุณหญิงกัลยา โสภณพณิช รองประธานส.ส. ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม ซึ่งใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง
***สถานการณ์ยังไม่พ้นขีดอันตราย
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันว่าขณะนี้สถานการณ์ยังไม่พ้นขีดอันตราย และทุกฝ่ายยังต้องตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาทโดยเฉพาะสัญญาณความรุนแรงจากซีกของผู้มีอำนาจยังดำเนินอยู่ และในช่วงเช้าวันนี้ (24 พ.ย.51) นายอภิสิทธิ์ ได้พูดคุยกับนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา โดยเรียกร้องให้รัฐบาลเริ่มต้นเจรจากับกลุ่มพันธมิตร เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไม่ได้เป็นปัญหาระหว่างประชาชนกับสถาบันนิติบัญญัติ แต่เป็นปัญหาระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรฯ
ดังนั้น พรรคจึงมีความเห็นว่าสถานการณ์ที่ดำเนินมาถึงจุดปิดล้อมการประชุมสภาเป็นครั้งที่ 2 เหตุเกิดขึ้นจากที่รัฐบาลไม่เจรจาอย่างเป็นรูปธรรมไม่จริงใจและไม่รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านิ้ หากช่วงเวลาที่ผ่านมารัฐบาลไม่มีท่าที กำกวมสร้างความเคลือบแคลงสงสัยต่อการบรรจุญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบัญญัติร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ คปพร. ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลให้สัญญาณที่สับสนมาโดยตลอด ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเมืองภาคประชาชนไม่ไว้วางใจรัฐบาลในการเจรจา เพื่อคลี่คลายวิกฤตการณ์ รวมถึงสถานการณ์ที่มีความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนถึงขนาด มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัส จำนวนมากถือว่าเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ รวมถึงการออกมาพูดของทหารนอกแถว ซึ่งพรรคเห็นว่ารัฐบาลต้องดำเนินกับบุคคลที่ใส่เครื่องแบบ
***ชี้รัฐบาลจงใจให้เกิดการเผชิญหน้า
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้วิเคราะห์ถึงความชอบธรรมของรัฐบาลที่จะทำให้ การเผชิญหน้าลดลง และการดำเนินกิจกรรมเชิงรุกของกลุ่ม นปช. อย่างต่อเนื่อง เพราะแม้การจัดรายการความจริงวันนี้สัญจร เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ที่วัดสวนแก้ว จะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น แต่คิดว่า การก้าวล่วงจัดรายการในวัดถือเป็นการ ดึงเรื่องความเชื่อทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นการไม่สมควร รวมถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้ประชาชนส่งไปรษณียบัตรขอกราบบังคมทูลถวายฎีกา เรื่องขอนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนั้น ถือเป็นการไม่บังควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับกระบวนการความยุติธรรม ไม่ว่าบุคคลใดก็ไม่สมควรใช้ประชาชนหรือ มวลชน เข้ามากดดันสถาบันพระมาหากษัติย์ หรือสถาบันยุติธรรม เกี่ยวกับการวินิจฉัยคดีอาญาต่อแผ่นดิน ซึ่งแนวทางนี้ถือว่า ตรงกับแนวทางการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในรายการความจริงวันนี้ ที่สนามราชมังคลากีฬาสถานที่ผ่านมา
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นว่า รัฐสภาไม่สามารถเปิดประชุมได้นั้น เป็นเพราะรัฐบาลออกข่าวว่าเกิดจากกลุ่มพันธมิตรฯทำให้บ้านเมืองประสบความ เสียหายทางเศรษฐกิจ ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมทำข้อตกลงการค้าเสรีกับอาเซียน หรือประเทศอินโดนีเซีย และเกาหลีได้ ซึ่งตรงนี้พรรคประชาธิปัตย์ ขอยืนยันว่า หากรัฐบาลไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบและดำเนินการตามกฎหมายตั้งแต่ต้น ความเสียหาย จะไม่เกิดขึ้น เพราะสาระสำคัญทั้งหมดได้ผ่านที่ประชุมคณะกรรมการประสานงาน ให้เป็นไปตามกฏบัตรอาเซียนเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้วตั้งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา ถือว่ามีเวลาถึง 3 เดือนที่จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาร่วมรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะรัฐบาลเพิกเฉยและไม่ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ
***ส.ว.แถลงการณ์หนุนชัยเลื่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ ส.ว. บางส่วนได้ไปรวมตัวกันอยู่ที่ อาคารสุขประพฤต ถ.ประชาชื่น ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของสมาชิกวุฒิสภา เช่น นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 น.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 และส.ว.จำนวนหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจาก ส.ว.ได้รับแจ้งจากนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ให้เลื่อนการประชุมรัฐสภาออกไป ทำให้ ส.ว.ได้ออก แถลงการณ์แสดงจุดยืน ต่อสถานการณ์ขณะนี้ว่า ตามที่นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา มีคำสั่งงดการประชุมร่วมกันและสั่งให้เลื่อนการประชุมออกไป กลุ่ม ส.ว. มีความเห็น ร่วมกันว่า ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำ ประเทศอาเทศอาเซียน ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 15-18 .ค. ซึ่งมีประเด็นสำคัญคือการพิจารณาข้อตกลงสนธิสัญญา ความร่วมมือ ในกรอบอาเซียนหลายฉบับ ตามที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ มาตรา 190
ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของประเทศ ส.ว.จึงเห็นด้วยกับคำสั่งของประ ธานรัฐสภาให้เลื่อนการประชุมออกไปก่อน และเห็นด้วยให้มีการย้ายสถานที่ ประชุมรัฐสภาไปยังสถานที่ วันและเวลา ตามที่ประธานรัฐสภากำหนด เพื่อให้มีการประชุมรัฐสภาในการพิจารณาข้อตกลงสนธิสัญญาความร่วมมือ ในกรอบอาเซียน โดยไม่มีการบรรจุวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับส.ว.ที่ร่วมออกแถลงการณ์ด้วยมีรายชื่อ อาทิ นายวิทยา อินาลา ส.ว.นครพนม นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ นายสุพจน์ โพธิ์ทองคำ ส.ว.สรรหา พล.ต.อ.โกวิท ภักดีภูมิ ส.ว.อ่างทอง พล.ร.อ.ณรงค์ ยุทธวงศ์ ส.ว.สรรหา นายวรวุฒิ โรจนพานิช ส.ว.สรรหา ในขณะที่กลุ่ม 40 ส.ว.ได้เดินทางไปยังอาคารสุขประพฤติเพื่อหารือถึงสถานการณ์การเมืองตั้งแต่ช่วงเช้า
***40 ส.ว.ซัดรัฐไม่สนใจแก้ความขัดแย้ง
ต่อมาเวลา 14.30 น. กลุ่ม 40 ส.ว. ได้ร่วมกันแถลงแสดงจุดยืนต่อ สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น โดยมีน.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายคำนูณ สิทธิสมาน และนายไพบูลย์นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ร่วมกันแถลง
โดยน.ส.รสนา กล่าวว่า ทางกลุ่ม 40 ส.ว. เห็นว่าการที่ประธานรัฐสภาดึงดันบรรจุเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ คปพร. เข้าเป็นวาระเร่งด่วนที่ 1 ทำให้เกิด ความไม่ไว้วางใจโดยทั่วไป เพราะรัฐบาลใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตั้งแต่เดือน พ.ค.2551 ทั้งที่ขณะนี้ยังไม่มี พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชนมารองรับ นับเป็นการกระทำที่ขัดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งประธานรัฐสภาต้องรับผิดชอบแก้ไขด้วยตนเอง รัฐบาล ในฐานะผู้รับผิดชอบกลไกการบริหารประเทศ ยังนิ่งเฉยต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น มาต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. ที่คนร้ายยิงอาวุธสงครามเข้าใส่ที่ชุมนุมกลางเมือง โดยรัฐบาลมิได้แสดงความรับผิดชอบใดๆ
น.ส.รสนากล่าวว่า รัฐบาลมีความกังวลต่อกรอบข้อตกลงทางการค้า ของอาเซียน มากกว่าปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่อาจนำไปสู่การนองเลือด ของประชาชนไทย ด้วยข้ออ้างที่ว่ากรอบข้อตกลงนั้นเป็นหน้าตาและศักดิ์ศรีของประเทศ ที่ต้องให้รัฐสภารับรอง ความจริงกรอบข้อตกลงดังกล่าว เป็นข้ออ้างที่ทำลาย ความน่าเชื่อถือของรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ว่าเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข ทั้งที่หลายวาระไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และยังเป็นการเสนอเข้ามาอย่างเร่งรัด ยัดเยียดในเวลาจำกัดที่ไม่สามารถใช้เวลาศึกษาล่วงหน้าได้ ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ใช่การรับรองกรอบ ข้อตกลงดังกล่าว แต่รัฐบาลและรัฐสภาควรพิจารณาปัญหาโดยยึดถือความสงบสุข ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก เพื่อฟื้นคืนความสงบเรียบร้อยมาสู่สังคมต่อไป
***ปัญญาสยาม ยื่น ผบ.ทบ.แก้วิกฤต
วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการกองทัพบก เครือข่ายปัญญาสยาม นำโดย ศ.นพ. ประมวล วีรุตมเสน ศาสตราจารย์เกียรติคุณคณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมสมาชิก 100 คน ประกอบด้วยนักวิชาการ บุคลากรทางการแพทย์ ข้าราชการ นิสิตนักศึกษา นักวิชาการ และประชาชนทั่วไป เข้ายื่นหนังสือเปิดผนึกถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ผ่าน พล.ต.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล เลขานุการกองทัพบก โดยแถลงการณ์เรียกร้องให้ผบ.ทบ.ออกมาปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน และเห็นว่า กองทัพควรดำเนินการแก้ไขวิกฤติชาติ ด้วยวิธีการที่เหมาะสม โดยไม่ใช้วิธีรัฐประหาร
ศ.นพ.ประมวล กล่าวว่า ขณะนี้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ได้ทำลาย ความสามัคคีของคนในชาติ นอกจากนี้นายสมชายยังมีความประพฤติอันขัดจริยธรรม ของแบบอย่างผู้นำที่ดี ขาดคุณสมบัติความเป็นนายกรัฐมนตรีทำให้ประเทศชาติ เกิดความขัดแย้ง และพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเกื้อกูลประโยชน์แก่อดีตผู้บริหาร พรรคการเมือง ยิ่งผลการสอบสวนเห็นว่า นายสมชาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ รุนแรงในวันที่ 7 ตุลาคม 51 แต่นายสมชายไม่ได้แสดงความรับผิดชอบ และยังไม่สามารถระงับเหตุร้ายและปล่อยให้มีการวางระเบิดในที่ชุมนุมทำให้มีผู้ชาดเจ็บและเสียชีวิตรายวัน เมื่อนายกรัฐมนตรี และตำรวจไม่อาจให้ความปลอดภัยแก้ประชาชนได้ ความหวังของประชาชนจึงอยู่ที่ ผบ.ทบ.
จึงขอวิงวอนให้ท่านแสดงบทบาทปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และชีวิตประชาชนที่บริสุทธิ์ โดยไม่ต้องหวั่นเกรงอำนาจทางการเมือง และขอให้ท่าน พิจารณากำจัดต้นตอแห่งปัญหาทั้งมวลด้วยวิธีการที่เหมาะสมโดยสงบ ซึ่งเครือข่าย มีความหวังที่จะเห็นการเมืองที่สะอาด และมีผู้บริหารประเทศที่มีความชอบธรรมและเปี่ยมด้วยคุณธรรม ซึ่งจะนำสันติสุขและความปรองดองมาสู่ประเทศชาติ
***ชี้ปมใหญ่แก้ รธน.-แค่เลื่อนไม่จบ
นายฮัอหมัด สมบูรณ์บัวหลวง อดีตคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) และนักวิชาการอิสระด้านสันติวิธี เปิดเผยว่า การสั่งงดประชุม ของประธานรัฐสภา เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่ปมปัญหาสำคัญยังไม่ได้คลี่คลาย หรือแก้ปัญหาตรงจุดและอุณหภูมิทางการเมืองยังอยู่ในระดับสูง
รัฐบาลคาดหวังจะให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกตินั้น คงเป็นเรื่องยาก หากยังพยายามเดินหน้าตั้ง ส.ส.ร.3 เพื่อแก้ไขรัฐธรมนูญ เพราะสิ่งดังกล่าวไม่ใช่ คำตอบ และเป็นทางออกที่ดีสำหรับการแก้ไขและคลี่คลายวิกฤตทางการเมือง
นายฮัอหมัด กล่าวว่าการพยายามเดินหน้าของรัฐบาลในเรื่อง ส.ส.ร.3นั้น สะท้อนให้เห็นว่า ไม่พยายามลดเงื่อนไขวิกฤตที่เกิดขึ้น เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และนำไปสู่การยุติ หรือลดความเสี่ยงในการเกิดความรุนแรง ตามที่หลายฝ่าย ต่างแสดงความเป็นห่วง ซึ่งการพยายามแก้ไขรัธรรมนูญได้กลายเป็นเงื่อนไขหนึ่ง ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยระดมคนจำนวนมากออกมาเคลื่อนขบวน ในครั้งนี้
การพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ตามมเป้าหมาย ได้ในช่วงเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากวิกฤตทางการเมืองในขณะนี้มีก่อตัวรุนแรงมากขึ้น เรื่อยๆ และหากรัฐบาลยังรั้นที่จะเดินหน้าต่อ จะเป็นการยิ่งเร่งปมเงื่อนไขให้สุกงอม มากขึ้น ซึ่งจะไม่เป็นดีในสังคมแน่นอน
***เอกชนจี้รัฐบาลอย่านิ่งเฉย
นายอภิชาติ สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) เปิดเผยว่า ภาพของสถานการณ์ทางการเมืองที่แตกแยกกันชัดเจนมากขึ้นทุกวัน จึงต้องการให้ผู้บริหารประเทศ ตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ปล่อยให้สถานการณ์ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ อย่างทุกวันนี้ เพราะท้ายที่สุดผลเสียหายจะเกิดแก่ประเทศชาติ
“ในเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้บริหารประเทศต้องตัดสินใจที่จะยุติเหตุที่เกิดขึ้น จะด้วยวิธีใด หรือแบบใดก็ตาม แต่ต้องให้ทุกอย่างยุติลง ไม่ใช่ยืดเยื้อเหมือนทุกวันนี้ เพราะนักท่องเที่ยวจะเกิดความไม่มั่นใจ”
ทั้งนี้จากเหตุการณ์ชุมนุมเดินขบวนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถ้าเป็นการชุมนุมโดยสงบ ชาวต่างประเทศรับได้ โดยเฉพาะตลาดยุโรป เพราะเขาเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตย แต่หากมีความรุนแรงปะทะกันจนบาดเจ็บล้มตาย ย่อมมีผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยวแน่นอน และ การชุมนุมที่ยืดเยื้อไม่สิ้นสุด หรือมีการปะทะ มีระเบิดกันบ่อย ก็จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวเบื่อหน่ายที่จะเดินทางเข้ามา
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวแน่นอน แต่มากน้อยเท่าใด ยังตอบไม่ได้ และการชุมนุมล่าสุดในครั้งนี้ก็ต้องรอดูว่าจะมีการบาดเจ็บ หรือ เสียชีวิต หรือไม่ ถ้ามีก็จะกระทบมาก แต่ยอมรับว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ลดลง ในช่วงครึ่งปีหลัง มาจากสถานการณ์การเมืองในประเทศ เป็นหลัก ไม่ใช่เพราะวิกฤตเศรษฐกิจโลก แต่ ปีหน้า โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 2 อาจเห็นผลชัดขึ้น เพราะจากเหตุการณ์เมืองในประเทศ และ ภาวะเศรษฐกิจโลก คนตกงาน เป็นผลให้ขณะนี้ ยอด บุ๊คกิ้งล่วงหน้ามีจำนวนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และ มีแนวโน้มที่จะยกเลิกเพิ่มขึ้นด้วย และจากเหตุความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ มีความเป็นไปได้ ที่นักท่องเที่ยวที่กำหนดเดินทางเข้ามาในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า เช่นเดียวกับเหตุระเบิดในกรุงเทพ ช่วงเทศกาลปีใหม่ เมื่อ 2 ปีก่อน
ทางด้านนายสุรพล เศวตเศรนี รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ในฐานะประธานศูนย์ปฎิบัติการวางแผนการท่องเที่ยวและศูนย์ปฎิบัติการในภาวะวิกฤต(ศ.ว.ก.) กล่าวว่า ททท.จัดทีมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมกับพร้อมชี้แจงกับสำนักงานในต่างประเทศในทุกเวลา หากพบว่าประเทศใด มีการออกข้อมูลข่าวสารที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง แต่จะไม่มีการออกแผนรับมือใดๆไปก่อน เพราะ ศ.ว.ก. จะมีบทบาทก็ต่อเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความรุนแรงใดๆ ก็ได้แต่เกาะติดสถานการณ์ และ รับข้อมูลจากสำนักงานในต่างประเทศเพื่อใช้เป็นข้อมูลจัดทำยุทธศาสตร์รับมือ
**ททท.ประชุมด่วน
นางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า เตรียมเรียกผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.ในประเทศ ทั้ง 35 แห่ง มาร่วมประชุมในวันที่ 28 พ.ย.ศกนี้ เพื่อเตรียมวางแผนรณรงค์ให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวช่วงฤดูไฮซีซั่นปีนี้ โดยกรอบเบื้องต้นที่วางแนวทางไว้คือ ให้ทุกจังหวัดจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างกันในจังหวัดใกล้เคียง ในรูปแบบแพกเกจท่องเที่ยว
ทั้งนี้เพราะ จากปัญหาการเมืองภายในประเทศ และ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ได้กระทบต่อบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวให้ชะลอตัวตามไปด้วย ททท.จึงต้องหากิจกรรมเข้ามาเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้น ยังได้ให้ ศูนย์ปฎิบัติการวางแผนการท่องเที่ยวและศูนย์ปฎิบัติการในภาวะวิกฤต(ศ.ว.ก.) ติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด ซึ่งเบื้องต้นยังไม่มีรายงานว่านักท่องเที่ยวโทรเข้ามาสอบถามแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน ทางสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค(พาต้า) ได้รับเป็นตัวแทนชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้รับทราบ ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ซึ่งโชคดีว่ากว่า 60% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวเป็นกลุ่มที่มาซ้ำ หรือเคยเดินทางมาประเทศไทยแล้ว จึงรู้จักพื้นที่ว่าที่ใดควรหลีกเลี่ยงไม่เดินทางเข้าไป เห็นได้จากแหล่งท่องเที่ยวอื่นยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเป็นปกติ และมีรายงานจากภาคเอกชนว่า มีชาร์เตอร์ไฟล์ทเตรียมบินเข้าภูเก็ตยาวถึง พ.ค.ปีหน้า
***บีเจซี.มั่นใจกระทบระยะสั้น
นายปฐพงศ์ เอี่ยมสุโร รองผู้จัดการใหญ่ กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ค่อนข้างแย่และน่ากลัวกว่าปีหน้านี้ เพราะมีปัจจัยลบมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการเมืองภายในประเทศ ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น กระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า และวิกฤตเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามแต่มองว่าการทำธุรกิจในปีหน้านี้น่าดีมากกว่าปีนี้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตต่างๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติ แม้ว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่ในแง่ของการบริหารจัดการดีกว่า ทำให้บริษัทไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในปีหน้านี้ แต่กังวลในเรื่องของภัยธรรมชาติจากภาวะโลกร้อนมากกว่า
สำหรับสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยในปีนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคของบริษัท โดยยังมีอัตราการเติบโตที่ดี เนื่องจากเป็นสินค้าที่จำเป็นต้องกินต้องใช้ และกลุ่มรากหญ้ายังเป็นกลุ่มที่มีกำลังการซื้อ ขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ คาดว่าจะเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบมากกว่า ส่วนปัญหาการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจโลก ในช่วงไฮซีซั่นนี้มองว่ากระทบต่อความมั่นใจของผู้บริโภคระยะสั้นๆ เท่านั้น โดยเฉพาะกลุ่มคนเมืองอาจจะอยู่สภาพตกใจ.