ท่านผู้อ่านที่เคารพ อีกครั้งนะครับ สังคมไทยเป็นสังคมหน้าไหว้หลังหลอก ชอบซ่อนความจริง หลอกแม้กระทั่งตัวเอง
สังคมไทยชอบสมยอม สมคบกับผู้มีอำนาจ ปล่อยให้ผู้มีอำนาจกระทำชั่ว เพราะกลัวขี้ขึ้นหัวสมอง หรือหวังว่าตัวจะได้พึ่งได้ผลประโยชน์
อีกครั้งนะครับ ไม่มียุคใดที่คำกล่าวข้างต้นจะจริงที่สุดเหมือนกับในยุคนี้ คือยุคของอดีตนายกฯ ทักษิณและซากเดนที่เหลืออยู่ ณ ปัจจุบัน ทั้งในพรรครัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล กองทัพ สำนักงานตำรวจ อัยการ ระบบราชการ แม้กระทั่งมหาวิทยาลัย
ผมแน่ใจว่า หากสื่อ และวงวิชาการของเราซื่อสัตย์และมีมาตรฐาน สังคมของเราคงไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล ปล่อยให้ “ตัวการ” หรือ “ผู้กระทำ” ที่เป็นผู้นำและกลุ่มการเมืองที่หน้าด้านและเห็นแก่ตัวที่สุดในโลกสามารถ “ลักไก่” เข้ามายึดอำนาจรัฐ ท่ามกลาง “ผู้สมคบ” และ “ผู้สมยอม” จำนวนมหาศาล ที่เข้าร่วมขบวนการ “ทำลายประเทศ” “ทำลายกฎหมาย” “ทำลายความยุติธรรม” จากทุกกระทรวง ทบวง กรม ทุกจังหวัด ทุกพื้นที่อย่างไม่มียางอาย
คนยศพลเอก ผู้บัญชาการทหาร ซี 11 ปลัดกระทรวง ศาสตราจารย์ อาจารย์รัฐศาสตร์ ปราชญ์กฎหมาย ปริญญาโท-เอก รวมทั้งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งผมขอเรียกว่าพวก “ครึ่งแรก” และพวก “ครึ่งหลัง” ที่เป็นชาวนา ภารโรง ผู้ขายแรงงาน โสเภณี จบชั้น ป. 4 หรือไม่รู้หนังสือเลย ล้วนแต่มีข้ออ้างและคำตอบเดียวกันหมด คือ รัฐบาลเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมตามกฎหมาย มีที่มาที่ไปจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้อง
ขออนุญาตครับ ถุย ถุย ถุย เฉพาะพวกครึ่งแรกและเป็นกลาง และ ถุย ถุย ถุย ถุย เป็นพิเศษสำหรับพวกที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย
ผมว่า ถึงสื่อจะไม่เผยแพร่ข่าวสาร และนักวิชาการจะละเลยไม่เสนอความจริง ผู้ที่มีการศึกษาที่เป็นผู้อยู่ในครึ่งแรกก็น่าจะคิดหรือแสวงหาความจริงด้วยตนเองได้ สำหรับผู้ที่อยู่ในครึ่งหลังสังกัดรากหญ้า ออกน่าจะเห็นใจเพราะสื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งฟรีทีวีอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลและตลาดอย่างสิ้นเชิง เวลาทั้งหมดที่ไม่อุทิศให้ละครน้ำเน่า ก็ถูก “โกหก-ปกปิด-บิดเบือน-เชือนเฉย” เพื่อให้การเมืองนิ่ง หรือโฆษณาความชอบธรรมของรัฐบาลและทักษิณลูกเดียว พฤติกรรมและข่าวสารหรือการเรียนการสอนในโรงเรียนมัธยมหรืออาชีวะศึกษาของรัฐหรือแม้แต่ปฏิบัติการจิตวิทยาจากหน่วยงานของรัฐหรือประชาสัมพันธ์ที่ติดอยู่บนศาลากลางจังหวัดทุกแห่งก็อีหรอบเดียวกัน
ผลลัพธ์ก็คือ ไม่ว่านายพลเอกผู้บัญชาการกองทัพหรือทหารเกณฑ์ปลดประจำการ ก็ไม่พยายามทำความเข้าใจ และเข้าใจเรื่องง่ายๆ ดังต่อไปนี้ก็ไม่ได้
1. รัฐบาลนายสมัครและรัฐบาลนายสมชายเป็นรัฐบาลเถื่อนผิดกฎหมาย เพราะพรรคพลังประชาชนเป็นพรรคเถื่อนผิดกฎหมาย
2. พรรคพลังประชาชนเป็นพรรคเถื่อนผิดกฎหมาย เพราะลอกคราบมาจากพรรคไทยรักไทย
3. ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพิจารณาคดีมาตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2548 ก่อน คมช.เกิด (19 ก.ย. 49) ตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2550 โดยสรุปว่า “พฤติการณ์ของพรรคไทยรักไทย ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พรรคไม่อาจดำรงความเป็นพรรคการเมืองที่จะสร้างสรรค์และจรรโลงความชอบธรรมทางการเมืองแก่ระบอบการปกครองของประเทศโดยรวมได้อีกต่อไป”
4. ศาลได้ยืนยันพยานหลักฐานว่าการกระทำของพรรคไทยรักไทย “เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ ขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน”
5. นอกจากจะตัดสินยุบพรรคแล้ว ศาลยังได้ตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคจำนวน 111 คนเป็นเวลา 5 ปี การตัดสิทธินี้คือการตัดสิทธิมิให้ลงคะแนนเสียงและสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งการจัดตั้งเป็นสมาชิกและดำเนินการในพรรคการเมือง และอื่นๆ เพื่อป้องกันมิให้ “การบังคับเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย (ย่อม)ตกเป็นอันไร้ผล”
6. ตั้งแต่ผู้นำพรรคไทยรักไทยได้ไปซื้อหัวของพรรคพลังประชาชนมาดำเนินการ ปรากฏจากเทปหาเสียงของทักษิณ การหาเสียง และการควบคุมชี้นำการดำเนินการของพรรคพลังประชาชนโดยอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยเป็นไปโดยฝ่าฝืนคำสั่งของศาลอย่างโจ่งแจ้ง ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้
7. ยิ่งเมื่อมีคำวินิจฉัยของอนุกรรมการ กกต.ว่า พรรคพลังประชาชนคือพรรคต่างหน้าหรือนอมินีของพรรคไทยรักไทย แต่ไม่มีบทบัญญัติใดๆ ให้ลงโทษพรรคนอมินีได้ การกระทำของอดีตผู้บริหารก็ยิ่งโจ่งแจ้งขึ้น ถึงขนาดให้อดีตกรรมการบริหารเข้าไปคุมกิจการของพรรค แบ่งสรรตำแหน่งรัฐมนตรี และรับคำสั่งทักษิณมาดำเนินการอย่างเปิดเผย โดยหาคำนึงถึงคำสั่งศาลที่ยังมีผลอยู่ และหลักกฎหมายตัวการ-ตัวแทนที่มีอยู่ว่า การใดที่ตัวการต้องห้ามว่ากระทำมิได้ ตัวแทนก็ย่อมกระทำมิได้เช่นกัน เรื่องนี้ต้องถือว่า กกต.เป็นผู้สมคบเต็มประตู
8. ในวันที่ 19 ตุลาคม 2549 พรรคพลังประชาชนมีสมาชิกอยู่เพียง 7,840 คน มีกรรมการบริหาร 37 คน และสาขาพรรคเพียง 4 แห่ง เวลาจากวันที่ 19 ตุลาคมถึง 23 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งนั้นนับได้ 64 วัน น่าสงสัยว่าสมาชิกดั้งเดิมของพรรค 7,840 คนนี้ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งกี่คน และผู้สมัครรับเลือกตั้งใหม่มาจากไหน จำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นทำได้อย่างไร เพราะพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองบัญญัติว่าการสมัครเป็นสมาชิกต้องกระทำด้วยตนเอง ณ ที่ทำการพรรคและมีขั้นตอนตามกฎหมาย การเพิ่มจำนวนสมาชิกอย่างรวดเร็วและการสรรหาตัวผู้สมัครตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายย่อมจะเป็นไปได้ด้วยยาก นอกจากการแต่งบัญชีและโยกย้ายสมาชิกมาจากทะเบียนเดิมของพรรคไทยรักไทย โดยนายทะเบียนคนเดียวกันคือนายสมาน เลิศวงศ์รัฐ การกระทำเช่นว่านี้เสี่ยงต่อการปลอมแปลงเอกสารและผิดกฎหมาย
9. นอกจากนั้นการจัดตั้งและแต่งตั้งสมาชิกของพรรคประชาราช มัชฌิมาฯ เพื่อแผ่นดิน และรวมใจไทย-ชาติพัฒนา ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น จำนวนสมาชิก กรรมการบริหาร และจำนวนสาขาของพรรคต่างๆ มีดังนี้ มัชฌิมา 20-8-0 เพื่อแผ่นดิน 18-18-0 รวมใจไทย 29-13-0 ในบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล แม้แต่พรรคชาติไทยในเดือนพฤศจิกายน ยังมีข้อมูลพรรคที่ต้องนำไปแก้ไขถึง 893,976 ราย สมาชิกซ้ำซ้อนกับพรรคอื่นถึง 227, 136 ราย จึงแทบสรุปได้ว่าพรรคเหล่านี้คือแก๊งเลือกตั้งซึ่งยังมิได้ทำตามขั้นตอนของกฎหมายทั้งสิ้น มิหนำซ้ำ ผู้ที่เข้ามาเป็นหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคต่างๆ นอกจากพรรคชาติไทย ได้แก่เสนาะ เทียนทอง สุวิทย์ คุณกิตติ พลเอกเชษฐา ฐานะจาโร ล้วนแล้วแต่เคยเป็นกรรมการบริหารของพรรคไทยรักไทยทั้งสิ้น น่าจะตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 97 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ตอนหนึ่งมีความว่า
“ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบไป จะจดแจ้งตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกมิได้”
10. กรณีของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งต้องกล่าวหาและถูกเร่งให้รับตำแหน่งประธานสภาเพื่อรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มีพิรุธทำให้ต้องวิเคราะห์การกระทำหรืองดเว้นการกระทำของ กกต.หลายประการ นอกจากจะเร่งแล้ว เมื่อนายยงยุทธซึ่งเป็นหัวหน้าทีมผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชาชนได้ใบแดงแล้ว ทำไมนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ซึ่งอยู่เบอร์เดียวกันและได้ประโยชน์จากคะแนนซื้อเสียงของนายยงยุทธด้วยจึงลอยนวลอยู่ได้ ความรู้และความสามารถในการใช้กฎหมายทั่วไปและกฎหมายเลือกตั้งของ กกต.สมควรได้รับการตรวจสอบอย่างจริงจัง
ด้วยข้อมูลและเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาทั้ง 10 ข้อนี้ แสดงว่า การจัดตั้ง การดำเนินการ และการสมัครรับเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชนขัดกับคำสั่งศาล ขัดรัฐธรรมนูญ ขัดกฎหมายพรรคการเมือง ขัดกฎหมายเลือกตั้งมาแต่ต้น การจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคพลังประชาชนจึงมิชอบด้วยกฎหมายทั้งหมดเช่นเดียวกัน
ถ้าหากไม่มี “ผู้สมคบ” ที่มีหัวใจเท่าปลาซิว หรือมีผลประโยชน์เท่าขุนเขา ลำพังแต่ “ผู้สมยอม” คงไม่พอที่จะช่วยให้รัฐบาลที่หน้าด้านที่สุดในโลก ท่องคาถาเลือกตั้งหลอกลวงคนทั้งประเทศและทั้งโลกอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
หากผู้มีการศึกษาของไทยเข้าใจว่าการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง และการเมืองคือการเลือกตั้ง ดังนั้นการแก้ปัญหาการเมืองก็คือการแก้ปัญหาโดยนักเลือกตั้ง เมืองไทยคงหลีกไม่พ้นการนองเลือด การใช้กำลังเข้าประหัตประหารกัน และการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเป็นแน่
ความแตกต่างระหว่าง “ผู้สมคบ” กับ “ผู้สมยอม” นั้นอยู่ที่ ไม่ว่าใครจะชนะ “ผู้สมคบ” ก็จะชนะและสบายด้วย แต่ “ผู้สมยอม” นั้นไม่แน่ พวกเขาอาจพากันตกนรกก็ได้ บางทีก็น่าสมน้ำหน้า เกิดมาทั้งทีไม่รู้จักคิด ดีแต่ยอมร่ำไป
สังคมไทยชอบสมยอม สมคบกับผู้มีอำนาจ ปล่อยให้ผู้มีอำนาจกระทำชั่ว เพราะกลัวขี้ขึ้นหัวสมอง หรือหวังว่าตัวจะได้พึ่งได้ผลประโยชน์
อีกครั้งนะครับ ไม่มียุคใดที่คำกล่าวข้างต้นจะจริงที่สุดเหมือนกับในยุคนี้ คือยุคของอดีตนายกฯ ทักษิณและซากเดนที่เหลืออยู่ ณ ปัจจุบัน ทั้งในพรรครัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล กองทัพ สำนักงานตำรวจ อัยการ ระบบราชการ แม้กระทั่งมหาวิทยาลัย
ผมแน่ใจว่า หากสื่อ และวงวิชาการของเราซื่อสัตย์และมีมาตรฐาน สังคมของเราคงไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล ปล่อยให้ “ตัวการ” หรือ “ผู้กระทำ” ที่เป็นผู้นำและกลุ่มการเมืองที่หน้าด้านและเห็นแก่ตัวที่สุดในโลกสามารถ “ลักไก่” เข้ามายึดอำนาจรัฐ ท่ามกลาง “ผู้สมคบ” และ “ผู้สมยอม” จำนวนมหาศาล ที่เข้าร่วมขบวนการ “ทำลายประเทศ” “ทำลายกฎหมาย” “ทำลายความยุติธรรม” จากทุกกระทรวง ทบวง กรม ทุกจังหวัด ทุกพื้นที่อย่างไม่มียางอาย
คนยศพลเอก ผู้บัญชาการทหาร ซี 11 ปลัดกระทรวง ศาสตราจารย์ อาจารย์รัฐศาสตร์ ปราชญ์กฎหมาย ปริญญาโท-เอก รวมทั้งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งผมขอเรียกว่าพวก “ครึ่งแรก” และพวก “ครึ่งหลัง” ที่เป็นชาวนา ภารโรง ผู้ขายแรงงาน โสเภณี จบชั้น ป. 4 หรือไม่รู้หนังสือเลย ล้วนแต่มีข้ออ้างและคำตอบเดียวกันหมด คือ รัฐบาลเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมตามกฎหมาย มีที่มาที่ไปจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้อง
ขออนุญาตครับ ถุย ถุย ถุย เฉพาะพวกครึ่งแรกและเป็นกลาง และ ถุย ถุย ถุย ถุย เป็นพิเศษสำหรับพวกที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย
ผมว่า ถึงสื่อจะไม่เผยแพร่ข่าวสาร และนักวิชาการจะละเลยไม่เสนอความจริง ผู้ที่มีการศึกษาที่เป็นผู้อยู่ในครึ่งแรกก็น่าจะคิดหรือแสวงหาความจริงด้วยตนเองได้ สำหรับผู้ที่อยู่ในครึ่งหลังสังกัดรากหญ้า ออกน่าจะเห็นใจเพราะสื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งฟรีทีวีอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลและตลาดอย่างสิ้นเชิง เวลาทั้งหมดที่ไม่อุทิศให้ละครน้ำเน่า ก็ถูก “โกหก-ปกปิด-บิดเบือน-เชือนเฉย” เพื่อให้การเมืองนิ่ง หรือโฆษณาความชอบธรรมของรัฐบาลและทักษิณลูกเดียว พฤติกรรมและข่าวสารหรือการเรียนการสอนในโรงเรียนมัธยมหรืออาชีวะศึกษาของรัฐหรือแม้แต่ปฏิบัติการจิตวิทยาจากหน่วยงานของรัฐหรือประชาสัมพันธ์ที่ติดอยู่บนศาลากลางจังหวัดทุกแห่งก็อีหรอบเดียวกัน
ผลลัพธ์ก็คือ ไม่ว่านายพลเอกผู้บัญชาการกองทัพหรือทหารเกณฑ์ปลดประจำการ ก็ไม่พยายามทำความเข้าใจ และเข้าใจเรื่องง่ายๆ ดังต่อไปนี้ก็ไม่ได้
1. รัฐบาลนายสมัครและรัฐบาลนายสมชายเป็นรัฐบาลเถื่อนผิดกฎหมาย เพราะพรรคพลังประชาชนเป็นพรรคเถื่อนผิดกฎหมาย
2. พรรคพลังประชาชนเป็นพรรคเถื่อนผิดกฎหมาย เพราะลอกคราบมาจากพรรคไทยรักไทย
3. ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพิจารณาคดีมาตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2548 ก่อน คมช.เกิด (19 ก.ย. 49) ตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2550 โดยสรุปว่า “พฤติการณ์ของพรรคไทยรักไทย ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พรรคไม่อาจดำรงความเป็นพรรคการเมืองที่จะสร้างสรรค์และจรรโลงความชอบธรรมทางการเมืองแก่ระบอบการปกครองของประเทศโดยรวมได้อีกต่อไป”
4. ศาลได้ยืนยันพยานหลักฐานว่าการกระทำของพรรคไทยรักไทย “เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ ขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน”
5. นอกจากจะตัดสินยุบพรรคแล้ว ศาลยังได้ตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคจำนวน 111 คนเป็นเวลา 5 ปี การตัดสิทธินี้คือการตัดสิทธิมิให้ลงคะแนนเสียงและสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งการจัดตั้งเป็นสมาชิกและดำเนินการในพรรคการเมือง และอื่นๆ เพื่อป้องกันมิให้ “การบังคับเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย (ย่อม)ตกเป็นอันไร้ผล”
6. ตั้งแต่ผู้นำพรรคไทยรักไทยได้ไปซื้อหัวของพรรคพลังประชาชนมาดำเนินการ ปรากฏจากเทปหาเสียงของทักษิณ การหาเสียง และการควบคุมชี้นำการดำเนินการของพรรคพลังประชาชนโดยอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยเป็นไปโดยฝ่าฝืนคำสั่งของศาลอย่างโจ่งแจ้ง ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้
7. ยิ่งเมื่อมีคำวินิจฉัยของอนุกรรมการ กกต.ว่า พรรคพลังประชาชนคือพรรคต่างหน้าหรือนอมินีของพรรคไทยรักไทย แต่ไม่มีบทบัญญัติใดๆ ให้ลงโทษพรรคนอมินีได้ การกระทำของอดีตผู้บริหารก็ยิ่งโจ่งแจ้งขึ้น ถึงขนาดให้อดีตกรรมการบริหารเข้าไปคุมกิจการของพรรค แบ่งสรรตำแหน่งรัฐมนตรี และรับคำสั่งทักษิณมาดำเนินการอย่างเปิดเผย โดยหาคำนึงถึงคำสั่งศาลที่ยังมีผลอยู่ และหลักกฎหมายตัวการ-ตัวแทนที่มีอยู่ว่า การใดที่ตัวการต้องห้ามว่ากระทำมิได้ ตัวแทนก็ย่อมกระทำมิได้เช่นกัน เรื่องนี้ต้องถือว่า กกต.เป็นผู้สมคบเต็มประตู
8. ในวันที่ 19 ตุลาคม 2549 พรรคพลังประชาชนมีสมาชิกอยู่เพียง 7,840 คน มีกรรมการบริหาร 37 คน และสาขาพรรคเพียง 4 แห่ง เวลาจากวันที่ 19 ตุลาคมถึง 23 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งนั้นนับได้ 64 วัน น่าสงสัยว่าสมาชิกดั้งเดิมของพรรค 7,840 คนนี้ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งกี่คน และผู้สมัครรับเลือกตั้งใหม่มาจากไหน จำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นทำได้อย่างไร เพราะพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองบัญญัติว่าการสมัครเป็นสมาชิกต้องกระทำด้วยตนเอง ณ ที่ทำการพรรคและมีขั้นตอนตามกฎหมาย การเพิ่มจำนวนสมาชิกอย่างรวดเร็วและการสรรหาตัวผู้สมัครตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายย่อมจะเป็นไปได้ด้วยยาก นอกจากการแต่งบัญชีและโยกย้ายสมาชิกมาจากทะเบียนเดิมของพรรคไทยรักไทย โดยนายทะเบียนคนเดียวกันคือนายสมาน เลิศวงศ์รัฐ การกระทำเช่นว่านี้เสี่ยงต่อการปลอมแปลงเอกสารและผิดกฎหมาย
9. นอกจากนั้นการจัดตั้งและแต่งตั้งสมาชิกของพรรคประชาราช มัชฌิมาฯ เพื่อแผ่นดิน และรวมใจไทย-ชาติพัฒนา ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น จำนวนสมาชิก กรรมการบริหาร และจำนวนสาขาของพรรคต่างๆ มีดังนี้ มัชฌิมา 20-8-0 เพื่อแผ่นดิน 18-18-0 รวมใจไทย 29-13-0 ในบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล แม้แต่พรรคชาติไทยในเดือนพฤศจิกายน ยังมีข้อมูลพรรคที่ต้องนำไปแก้ไขถึง 893,976 ราย สมาชิกซ้ำซ้อนกับพรรคอื่นถึง 227, 136 ราย จึงแทบสรุปได้ว่าพรรคเหล่านี้คือแก๊งเลือกตั้งซึ่งยังมิได้ทำตามขั้นตอนของกฎหมายทั้งสิ้น มิหนำซ้ำ ผู้ที่เข้ามาเป็นหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคต่างๆ นอกจากพรรคชาติไทย ได้แก่เสนาะ เทียนทอง สุวิทย์ คุณกิตติ พลเอกเชษฐา ฐานะจาโร ล้วนแล้วแต่เคยเป็นกรรมการบริหารของพรรคไทยรักไทยทั้งสิ้น น่าจะตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 97 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ตอนหนึ่งมีความว่า
“ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบไป จะจดแจ้งตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกมิได้”
10. กรณีของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งต้องกล่าวหาและถูกเร่งให้รับตำแหน่งประธานสภาเพื่อรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มีพิรุธทำให้ต้องวิเคราะห์การกระทำหรืองดเว้นการกระทำของ กกต.หลายประการ นอกจากจะเร่งแล้ว เมื่อนายยงยุทธซึ่งเป็นหัวหน้าทีมผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชาชนได้ใบแดงแล้ว ทำไมนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ซึ่งอยู่เบอร์เดียวกันและได้ประโยชน์จากคะแนนซื้อเสียงของนายยงยุทธด้วยจึงลอยนวลอยู่ได้ ความรู้และความสามารถในการใช้กฎหมายทั่วไปและกฎหมายเลือกตั้งของ กกต.สมควรได้รับการตรวจสอบอย่างจริงจัง
ด้วยข้อมูลและเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาทั้ง 10 ข้อนี้ แสดงว่า การจัดตั้ง การดำเนินการ และการสมัครรับเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชนขัดกับคำสั่งศาล ขัดรัฐธรรมนูญ ขัดกฎหมายพรรคการเมือง ขัดกฎหมายเลือกตั้งมาแต่ต้น การจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคพลังประชาชนจึงมิชอบด้วยกฎหมายทั้งหมดเช่นเดียวกัน
ถ้าหากไม่มี “ผู้สมคบ” ที่มีหัวใจเท่าปลาซิว หรือมีผลประโยชน์เท่าขุนเขา ลำพังแต่ “ผู้สมยอม” คงไม่พอที่จะช่วยให้รัฐบาลที่หน้าด้านที่สุดในโลก ท่องคาถาเลือกตั้งหลอกลวงคนทั้งประเทศและทั้งโลกอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
หากผู้มีการศึกษาของไทยเข้าใจว่าการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง และการเมืองคือการเลือกตั้ง ดังนั้นการแก้ปัญหาการเมืองก็คือการแก้ปัญหาโดยนักเลือกตั้ง เมืองไทยคงหลีกไม่พ้นการนองเลือด การใช้กำลังเข้าประหัตประหารกัน และการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเป็นแน่
ความแตกต่างระหว่าง “ผู้สมคบ” กับ “ผู้สมยอม” นั้นอยู่ที่ ไม่ว่าใครจะชนะ “ผู้สมคบ” ก็จะชนะและสบายด้วย แต่ “ผู้สมยอม” นั้นไม่แน่ พวกเขาอาจพากันตกนรกก็ได้ บางทีก็น่าสมน้ำหน้า เกิดมาทั้งทีไม่รู้จักคิด ดีแต่ยอมร่ำไป