xs
xsm
sm
md
lg

ตั้ง กก.สอบปลอมเอกสารคดี “ยุทธ” - “สมชัย” ประชดให้ยุบทิ้ง กกต.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สดศรี สัตยธรรม
กกต.ยอมรับ หนังสือขอทราบการเป็นสมาชิกพรรคของพยานคดียงยุทธมีลายเซ็นปลอม พร้อมตั้ง กก.สอบสวนให้แล้วเสร็จใน 7 วัน แต่ยันไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมือง เผยเหตุหลักฐานเป็นสมาชิก ปชป.โผล่ที่ศาลฎีกาฉบับเดียว เนื่องจากถามไม่หมดในครั้งแรก “สดศรี” งอน หากมีหลักฐานทุจริตให้ฟ้องศาลเลย ด้าน “สมชัย” ฉุนถูกถามหาความรับผิดชอบ ประชดให้ยุบทิ้ง กกต.

วันที่ 12 มิ.ย.51 นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง พร้อมด้วย นายธนิศร์ ศรีประเทศ ผอ.สำนักบริหารการสนับสนุนโดยรัฐ รักษาการ ผอ.สำนักกิจการพรรคการเมือง นายกฤช เอื้อวงศ์ รอง ผอ.สำนักกิจการพรรคการเมือง และนางสุนทรี ไพรหิรัญ ผอ.ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมือง ได้นำเอกสารยืนยันการมีชื่อนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ พยานปากสำคัญในคดีเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และพรรคไทยรักไทย มาชี้แจงกรณีที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และทนายความของนายชัยวัฒน์ ระบุว่า มีเจ้าหน้าที่ของ กกต.กระทำการปลอมแปลงเอกสารการเป็นสมาชิกพรรคของนายชัยวัฒน์

** ชักแม่น้ำชื่อ “ชัยวัฒน์” โผล่ เฉพาะ ปชป.

นางสดศรีได้มอบหมายให้นายธนิศร์ ชี้แจงระบุว่า กกต.ได้มีการปรับปรุงการแจ้งทะเบียนการเป็นสมาชิกพรรคของแต่ละพรรคการเมืองในช่วงก่อนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเนื่องจากเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการแก้ไขรายชื่อการเป็นสมาชิกพรรคเหมือนเมื่อครั้งยุบพรรคไทยรักไทย และมีกฎหมายพรรคการเมืองใหม่ที่กำหนดให้ประชาชนเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้พรรคเดียว โดยได้มีการแจ้งให้พรรคการเมืองทำการแจ้งชื่อ พร้อมจำนวนสมาชิกของพรรคเข้ามาใหม่ทั้งหมด ไม่รวมถึงพรรคไทยรักไทยเนื่องจากว่าถูกยุบพรรคไปแล้ว ซึ่งปรากฏว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็แจ้งชื่อสมาชิกพรรคล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ต.ค.50 มาเป็นซีดีที่ลงนามโดยนายชินวรณ์ บุญเกียรติ นายทะเบียนสมาชิกพรรคขณะนั้น โดยยังมีชื่อนายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคอยู่ ซึ่งซีดีดังกล่าวจะมีอยู่เพียงแผ่นเดียวและทาง กกต.ไม่สามารถหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรได้

นายธนิศร์ ยังกล่าวอีกว่า จากการสร้างระบบการจัดเก็บฐานข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ของ กกต. เพื่อป้องกันและง่ายต่อการตรวจสอบการเป็นการสมาชิกพรรคของประชาชนเกิน 1 พรรค ทำให้ถ้าหากบุคคลใดมีชื่อเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดอยู่ก่อนแล้ว หากไปสมัครเป็นสมาชิกของอีกพรรคหนึ่ง เมื่อพรรคนั้นนำชื่อใส่เข้าไปในระบบฐานข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรค จะไม่สามารถบันทึกชื่อได้ แต่ที่มีชื่อนายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ก็เนื่องจากเป็นฐานข้อมูลเดิมก่อนที่จะมีการปรับปรุงระบบ และ กกต.จะไม่นำมาใช้งานเนื่องจากพรรคไทยรักไทยถูกยุบพรรคไปแล้ว และเมื่อพรรคพลังประชาชนมีชื่อเสียงขึ้นมาหลังการยุบพรรคไทยรักไทย ก็ไม่ได้มีการโอนทะเบียนสมาชิกของพรรคไทยรักไทยมาเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชนแต่อย่างใด ซึ่งจากการตรวจสอบก็ไม่ปรากฏชื่อนายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน ดังนั้นจึงขอยืนยันทางด้านกิจการพรรคการเมืองที่ทำหน้าที่ในการดูแลระบบฐานข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองของแต่ละพรรคนั้นไม่ได้มีการแก้ไข หรือปรับเปลี่ยนรายชื่อบุคคลที่สมัครเป็นสมาชิกพรรคของแต่ละพรรคการเมืองได้

**อ้างเหตุถามไม่ครบ

ส่วนกรณีการยื่นขอตรวจสอบการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองของนายชัยวัฒน์ ที่ถูกระบุว่ามีพิรุธนั้น นายธนิศร์ในฐานะ รักษาการ ผอ.สำนักกิจการพรรคการเมืองได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ด้านพรรคการเมืองในช่วงเย็นเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ว่ามีเจ้าหน้าที่ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยของ กกต.ถือหนังสือเรื่องขอทราบสถานภาพการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองของนายชัยวัฒน์ พร้อมกับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ว่าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พลังประชาชน และมัฌชิมาธิปไตย หรือไม่ เพื่อใช้ประกอบการดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีในศาลฎีกาเป็นการด่วน ซึ่งหนังสือลงนามโดย พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ผอ.สำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 5 เจ้าหน้าที่ด้านกิจการพรรคการเมืองจึงทำการตรวจสอบให้จากระบบฐานข้อมูลใหม่ตามที่สอบถาม ปรากฏว่าพบชื่อนายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แต่เพียงพรรคเดียว โดยตามข้อมูลระบุว่ามีเลขประจำตัว 471040033 สมัครเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 47 และตนก็มีหนังสือแจ้งกลับไปยัง ผอ.สำนักสืบสวนฯ 5 ในวันเดียวกัน โดยเจ้าหน้าที่สืบสวนฯที่ถือเอกสารมาถามเป็นผู้นำกลับไป

ต่อมาวันที่ 15 พ.ค. ก็มีหนังสือขอตรวจสอบและคัดถ่ายสำเนาการเป็นสมาชิกพรรคของนายชัยวัฒน์ มาจาก ผอ.สำนักสืบสวนฯ 5 อีก ครั้งนี้หนังสือดังกล่าวอ้างว่าได้รับหนังสือจากนายสาคร ศิริชัย ทนายความของนายยงยุทธ ลงวันที่ 8 พ.ค. ขอตรวจสอบการเป็นสมาชิกพรรคของนายชัยวัฒน์ ว่า เคยเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน หรือไม่ พร้อมทั้งขอหนังสือรับรองข้อเท็จจริงดังกล่าว และขอคัดถ่ายสำเนาการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อใช้ประกอบสำนวนคดีแพ่ง โดยคราวนี้มีการแนบหนังสือของทนายนายยงยุทธมาด้วย

“ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมหนังสือของ ผอ.สำนักสืบสวน 5 ฉบับลงวันที่ 8 พ.ค.สอบถามมาอีกอย่างหนึ่ง และครั้งนี้ถามอีกอย่างหนี่ง แต่ก็ไม่ได้คิดหรือระแวงว่าจะมีอะไร เพราะเห็นว่าหนังสือที่ถามมาทั้งฉบับวันที่ 8 พ.ค. และฉบับหลังนี้เป็นเอกสารลงชื่อถูกต้อง จึงได้มีหนังสือตอบกลับไปในวันที่ 21 พ.ค.ว่าตรวจสอบจากระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมืองและจากแบบแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมา (แบบ ท.พ.6) ซึ่งเป็นข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 50 พบว่านายชัยวัฒน์ เคยเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย เลขประจำตัวสมาชิก B570713055754 เข้าเป็นสมาชิกพรรคเมื่อวันที่ 6 ม.ค.48 และพ้นจากสมาชิกภาพเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 50 เนื่องจากตุลาการรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค และเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เลขประจำตัวสมาชิก 471040033 เข้าเป็นสมาชิกพรรคเมื่อวันที่ 20 ก.ย.47 ซึ่งการขอตรวจสอบการสมาชิกพรรคการเมือง เป็นบริการของ กกต. ใครถามก็ตอบ เราไม่เคยจะมาคิดว่าเขาขอทราบเพราะมีเจตนาต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเปิด และเวลาตอบก็จะตอบเฉพาะที่ถามมาเท่านั้น�” นายธนิศร์กล่าว

ด้าน นางสุนทรี กล่าวว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนที่เป็นผู้ถือหนังสือขอตรวจสอบการเป็นสมาชิกของพรรคของนายชัยวัฒน์ ฉบับลงวันที่ 8 พ.ค.มาให้ด้านพรรคการเมืองตรวจสอบนั้น คือว่าที่ ร.ต.เอกลักษณ์ บุญรุ่ง พนักงานสืบสวนสอบสวน โดยระบุว่า ขอด่วน จึงทำให้หนังสือดังกล่าวไม่ผ่านขั้นตอนอำนวยการ แต่หนังสือฉบับลงวันที่ 15 พ.ค.นั้น ผ่านตามขั้นตอนถูกต้อง ซึ่งหลังการปรับปรุงระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรค ทั้งหมดแล้ว หากใครจะเข้าระบบต้องมีรหัสผ่าน ซึ่งที่ กกต.ก็สามารถเข้าระบบได้เพียง 3 คน แต่เหตุผลที่พบชื่อนายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกทั้ง 2 พรรคก็เนื่องจากมีการนำรายชื่อนายชัยวัฒน์ไปตรวจสอบกับฐานข้อมูลเดิมก่อนพรรคไทยรักไทยถูกยุบที่ กกต.แยกเก็บไว้ และจะตรวจสอบให้เมื่อมีการร้องขอ

** “ณัฐศักดิ์” รับไม่ใช่ลายเซ็น

จากการตรวจสอบยังพบว่า ไม่เฉพาะนายชัยวัฒน์เท่านั้นที่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แต่ยังปรากฏชื่อ นางอร ฉางข้าวคำ นายเกรียงไกร ฉางข้าวคำ ลงสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ 20 ก.ย.2547 เช่นกัน นอกจากนี้ สำเนารายชื่อยังถูกเก็บเป็นไมโครฟิล์มเพื่อป้องกันการถูกแก้ไขเช่นกัน�

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า สำเนาเอกสารการขอตรวจสอบการคัดถ่ายสำเนาการเป็นสมาชิกพรรค ที่ทางสำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 5 ได้ยื่นขอตรวจสอบกับทางด้านกิจการพรรคการเมือง ฉบับลงวันที 8 พ.ค.ที่อ้างว่าเจ้าหน้าที่สอบสวนเป็นผู้ถือขึ้นไปตรวจสอบด้วยตัวเอง กับฉบับลงวันที่ 15 พ.ค. ที่ลงชื่อ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ผอ.สำนักสืบสวนฯ 5 มีความแตกต่างของลายเซ็น พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน และอาจจะเป็นมูลเหตุที่ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ชี้แจงกับศาลว่าลายเซ็นดังกล่าวไม่ใช่ลายเซ็นตัวเอง

** “สดศรี” ท้ามีหลักฐานทุจริตให้ไปฟ้องศาล

ด้าน นางสดศรี กล่าวภายหลังชี้แจงว่า เหตุจำเป็นที่ต้องแถลงในวันนี้ก็เพื่อชื่อเสียงเกียรติภูมิของ กกต.ที่ไม่ได้ทำการใดที่ผิดกฎหมายเลยทุกอย่างทุกขั้นตอน สามารถให้สื่อมวลชนและประชาชนตรวจสอบได้ จากฐานข้อมูลของที่เป็นฐานข้อมูลที่ถูกต้องและไม่ได้มีการแก้ไข การกล่าวหา กกต.โดยปราศจากหลักฐาน เหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น เราถือว่าเป็นการละเมิดต่อศักดิ์ศรี อย่าพูดกันให้ กกต.ยืนไม่ได้เลย ทุกวันนี้ กกต.ทั้ง 5 คนก็ทำงาน รับใช้ประชาชนอยู่แล้ว และยืนอยู่ตรงกลาง จะต้องทำให้ถูกใจใครนั้นเราไม่เคยมีอยู่ในสำนึก เพราะถ้า กกต.ยืนอยู่กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทั้งที่บ้านเมืองกำลังวิกฤตเช่นนี้ แน่นอนที่สุดเราก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอร้องว่าถ้ามีหลักฐานอะไรว่าเราทำผิดขอให้เอาออกมา ไม่ใช่พูดออกไปโดยไม่มีหลักฐานใดๆ 

“ขอวิงวอนประชาชนทุกคน กกต.ขณะนี้เราโดนวิกฤตทางการเมืองอยู่ตลอดเวลา เราก็จะพยายามทำงานกันต่อไป แม้จะโดนวิกฤติเล่นงานก็จะเดินหน้าต่อไป ถ้าเห็นว่าทำผิด เรียกสินบาท สินบนจากใคร ก็ขอให้ไปฟ้องร้องที่ศาลได้เลย อย่าเที่ยวไปพูดในที่สาธารณะ ที่เราไม่สามารถไปแก้ตัวอะไรได้ จึงอยากขอร้องเพื่อความเป็นธรรม เพื่อเห็นแก่องค์กร เพราะถ้าองค์กรนี้อยู่ไม่ได้ ระบบประชาธิปไตยก็จะอยู่ไม่ได้ขณะนี้จิตใจ กกต.ทุกคนอยู่แบบไม่เป็นสุขเลย ขอร้องอย่าเอาสิ่งที่ไม่ถูกต้องมาใส่ความเรา เพราะเราทำงานรับใช้แผ่นดินไม่ได้รับใช้กลุ่มก้อนหรือพรรคการเมืองใด” นางสดศรี กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

เมื่อถามว่าจะมีการฟ้องร้องผู้ที่กล่าวหาหรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า ไม่เคยค้าความกับใครทุกวันนี้ กกต.โดนฟ้อง ตกเป็นจำเลยของสังคม กล่าวหาว่า กกต.เป็นพวกใครพวกหนึ่ง ขอให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินแล้วกัน จะไม่นำเรื่องฟ้องร้องต่อศาล ถ้า กกต.ทำไม่ถูกขอให้ประชาชนขับไล่ โดยชี้ให้ชัดว่า กกต.ทำผิดพลาด ทุจริตจุดไหน ไม่ใช่เล่นกันนอกเวที ซึ่งถ้าประชาชนเห็นว่าการดำเนินการของ กกต. ไม่ชอบก็ยินดีรับฟังและพิจารณาตัวเอง

**ทนายกำนันยื่นร้องความเป็นธรรม

วันเดียวกัน น.ส.รัศมี เพ็ญสุข ทนายความจากสภาทนายความแห่งประเทศไทยได้นำนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. เนื่องจากตรวจพบข้อมูลว่ามีการใส่ความว่าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายชัยวัฒน์ กล่าวยืนยันว่า ไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เลย แต่เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยและต่อมาก็ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชนทั้งครอบครัว แต่ตอนที่เบิกความต่อศาลทนายความฝั่งนายยงยุทธก็บอกว่ามีเอกสารจากสำนักงาน กกต.ที่ระบุว่าตนและครอบครัวเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่ไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคเลยและขณะนี้ภรรยาของตนก็ยังมีบัตรสมาชิก พปช. ดังนั้นจึงขอให้ กกต.ช่วยตรวจสอบว่า ตนเป็นสมาชิกพรรค ปชป.ได้อย่างไร เพราะคิดว่ากำลังถูกใส่ร้ายและที่ผ่านมาเป็นพยานให้กับ กกต.ก็ถูกนายยงยุทธฟ้องถึง 9 คดี รวมทั้งถูกข่มขู่จนไม่กล้ากลับบ้าน ต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือตลอด

“ผมอยากจะขอความเป็นธรรมและขอร้องให้ กกต.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบกระบวนการทำเอกสารของเจ้าหน้าที่ กกต. เพราะสงสัยว่าทำไม ผมและครอบครัวถึงมีข้อมูลว่าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์” นายชัยวัฒน์กล่าว 

**แฉลายเซ็นปลอม

ด้าน น.ส.รัศมี กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์ของสำนักงาน กกต.ก็ปรากฏว่า นายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยเมื่อวันที่ 6 ม.ค.48 และเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 47 ซึ่งถือว่ามีข้อมูลไม่ตรงกับหนังสือของสำนักงาน กกต.ที่ลงวันที่ 8 พ.ค.2551 ที่หนังสือลงนามโดย พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ผอ.สำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 5 ที่ระบุว่านายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เพียงพรรคเดียว ซึ่งมีความน่าสงสัยว่าการจัดทำเอกสารของเจ้าหน้าที่ กกต.มีข้อพิรุธน่าสงสัยและส่อว่าจะเป็นการทำเอกสารที่เป็นเท็จไม่ถูกต้องโดยอาจมีการปกปิดข้อมูลบางส่วน อันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้คัดค้านและเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.มาตรา 57 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และมาตรา 9, 12 ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550

นอกจากนี้ยังมีข้อน่าสงสัยอีกว่า ในวันที่ 8 พ.ค.ที่เป็นวันออกเอกสารของ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ ซึ่งปรากฏว่าเป็นผู้ลงนามในเอกสาร ได้รับมอบหมายจาก กกต.ให้เป็นผู้ว่าความแทน กกต.และอยู่ที่ศาลฎีกาตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 น. แต่กลับปรากฏว่ามีการออกหนังสือให้ทนายความฝ่ายนายยงยุทธ ดังนั้นการออกเอกสารดังกล่าวจึงไม่น่าจะถูกต้อง และผู้นำหนังสือดังกล่าวไปยื่นเท็จต่อศาลก็อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 180 และถือว่าละเมิดอำนาจศาล
 
 “หากตรวจสอบการจัดทำเอกสารและพบว่ามีการกระทำที่ผิดกฎหมายก็ขอให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดและดำเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่คนนั้น รวมถึงผู้ที่มีส่วนร่วมในการคบคิดการกระทำความผิดด้วย”

**ยันมีลายเซ็นปลอม

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน กกต.ได้มีการประชุมโดยมีการเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับสำนวนนายยงยุทธมาชี้ โดยนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.กล่าวว่า พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ ยืนยันว่าไม่ได้เซ็นชื่อในเอกสารขอทราบการเป็นสมาชิกพรรคของนายชัยวัฒน์ ที่ทำถึงด้านกิจการพรรคการเมือง เนื่องจากวันที่ 8 พ.ค.ที่ระบุว่ามีหนังสือไปนั้นตัวเอง ชี้แจงอยู่ที่ศาลตลอดทั้งวัน ส่วนว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์ ณ. เชียงใหม่ พนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นฝ่ายเลขาของอนุสอบสวนด้วย ก็แจ้งว่าป่วย จึงไม่ได้เข้าชี้แจงด้วย

นายอภิชาต กล่าวต่อว่า ที่ประชุมมีมติสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวภายใน 7 วัน หากพบว่ามีการปลอมแปลงลายเซ็นจริง ก็มีโทษทั้งทางวินัยและอาญาฐานละเมิดอำนาจศาล นำหลักฐานเท็จไปยื่น ส่วนที่มีข่าวว่าพ.ต.ท.กฤษณ์ ไปสารภาพกับนายสมชัย ว่าเป็นผู้ปลอมลายเซ็น พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นั้น ถือว่าเป็นการบอกกล่าวด้วยวาจา ซึ่งตนก็ไมได้คุยกับนายสมชัย

“เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องภายในองค์กรที่มีพนักงานจำนวนมาก ผมก็พูดไม่ได้ว่าพนักงานทุกคนเป็นคนดีทั้งหมด ยอมรับว่ามีคนที่ทำให้องค์กรเสื่อมเสีย ซึ่งกรณีดังกล่าวหากมีการปลอมแปลงเอกสารรายชื่อ ผอ.โดยผู้ใต้บังคับบัญชาจริง ในหน่วยงานราชการก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็คิดว่าเรื่องดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลถึงรูปคดีของนายยงยุทธ เพราะในการสอบสวนของ กกต. ช่วงนั้นก็พบว่านายชัยวัฒน์มีชื่อเป็นสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคไทยรักไทยอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่นายชัยวัฒน์อาจจะถูกมองว่าเป็นฝ่ายพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง” นายอภิชาตกล่าว

** “สมชัย” ยอมรับ พนง.สอบสวนลงชื่อแทน ผอ.

ด้าน นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย กล่าวว่า ว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์ ได้มาชี้แจงว่าเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะปลอมแปลงเอกสาร แต่เรื่องดังกล่าวมีการต่อสู้กันในชั้นศาล โดยฝ่ายนายยงยุทธต่อสู้ในประเด็นเรื่องนายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่นายชัยวัฒน์ก็อ้างว่าไม่ได้เป็น ทำให้นายถวิล อินทรักษา หัวหน้าชุดที่ได้รับมอบหมายจาก กกต.ที่ให้ไปชี้แจงต่อศาลในคดีดังกล่าวต้องการได้เอกสารยืนยัน ประกอบกับทนายของนายยงยุทธก็ได้สอบถามมาด้วยเช่นกันเพื่อนำไปเป็นหลักฐานในชั้นศาล ซึ่งในวันดังกล่าว พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ อยู่ที่ศาลฎีกาทั้งวัน นายถวิลจึงให้ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์หาเอกสารมา ซึ่ง พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ จึงได้โทร.ประสานกับว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์ ให้ดำเนินการโดยเร็ว ทำให้ พ.ต.ท.กฤษณ์ ทำเอกสารขึ้นมาเอง แต่มีข้อผิดพลาดคือแทนที่จะลงชื่อตนเอง กับไปลงชื่อ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์และเซ็นแทน ซึ่งในทางราชการถือว่าไม่ถูกต้อง

นายสมชัย ยังกล่าวด้วยว่า ตนไม่ทราบว่าทำไมหนังสือสอบถามของทนายนายยงยุทธ ถามถึงการที่นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย และพลังประชาชนหรือไม่ แต่เมื่อไปถึงด้านกิจการพรรคการเมืองกลับเป็นอีกคำถามหนึ่ง ซึ่งคงต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนว่ามีจุดประสงค์หรือเหตุผลอย่างไร

รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจาก พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ ได้ทราบว่ามีการปลอมลายเซ็นของตนเองนั้น ก็ได้มีการแจ้งให้ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รองเลขาธิการด้านสืบสวนสอบสวนได้ทราบ เพื่อให้รายงานต่อนายสมชัย ซึ่งในการประชุมทางวิชาการครบครอบ 10 ปีของ กกต.ที่โรงแรมอิมพีเรียล เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ ได้พยายามที่จะขอเข้ารายงานเรื่องที่ที่เกิดขึ้นให้นายสมชัยทราบด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่มีจังหวะ เช่นเดียวกับว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์ ก็ได้พยายามที่จะขอพบและได้มีโอกาสชี้แจงสั้นๆ ว่า “ที่มีการลงชื่อแทนนั้นไม่ได้มีเจตนาคิดร้ายอะไร แต่ทนายฝ่ายนายยงยุทธมาขอให้รับดำเนินการ และขณะนั้นก็ไม่มีคนอยู่ จึงรีบเซ็นให้ไป ไม่มีเจตนาไปเรียกทรัพย์อะไรเขา”

นายสมชัย กล่าวต่ออีกด้วยว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าใจผิดว่าตนเป็นหัวหน้างานสืบสวนสอบสวน แต่จริงๆ แล้วคดีนี้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาสอบแทนตำรวจสันติบาล ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าวประกอบด้วยนายสุวิทย์ ธีระพงษ์ นายอิสระ หลิมศิริวงษ์ และ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ เป็นกรรมการร่วม โดยมีว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์ และพ.ต.ต.ณัฐวัฒน์ เสงี่ยมศักดิ์ ผอ.ฝ่ายสืบสวนและวินิจฉัย 10 เป็นเลขานุการคณะกรรมการ โดยคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นตรงต่อ กกต.ไม่ได้ขึ้นตรงกับตน เขาเคยจะมารายงานกับตนแต่ตนก็ปฏิเสธเพราะเกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่าทำสำนวนรั่วอีก จึงไม่อยากรับรู้ 

“ผมไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชาด้านการสืบสวนสอบสวนโดยตรงอีกแล้ว ผมจะย้ายใครสักคนยังไม่ได้เลยต้องผ่านกรรมการฯ เพราะนับแต่เลือกตั้ง ส.ส.มา กกต.มีมติให้ กกต.ทุกคนเข้ามาดูแลและกำกับสั่งการได้ทั้งหมด หากรับผิดชอบก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน” นายสมชัยกล่าว

เมื่อถามว่า เจ้าหน้าที่ที่ทำผิดเป็นคนในบังคับบัญชาของตัวเองโดยตรงจะรับผิดชอบอย่างไร นายสมชัย กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “คุณอยากให้รับผิดชอบอะไรก็ตามที่ว่ามาเลย ผมเห็นด้วยที่จะให้ยุบ กกต.ยุบไปทั้งหมดเลย ไม่ต้องมีมันแล้ว ผมไม่กลัวม็อบพันธมิตรฯ จะมากดดัน ผมกลัวผู้สื่อข่าวจะมาไล่ทุกวันมากกว่า”

นอกจากนี้ นายสมชัยยังได้กล่าวชี้แจงกรณีที่ถูกกล่าวหาว่า กกต.ปล่อยไป 700 สำนวนเพื่อช่วยพรรคพลังประชาชนว่า อย่าเอายอดมารวมทั้งหมด ให้ดูลึกๆ เพราะต้องดูในรายละเอียดด้วยว่า ยอดดังกล่าวนั้นมีเรื่องที่ไม่รับเป็นเรื่องร้องเรียนเป็นร้อยเรื่อง มีกี่สำนวน รู้บ้างหรือเปล่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการจะตอบเอกสารกับบุคคลภายนอกสำนักงาน กกต.นั้น กกต.เคยมีมติออกมาแล้วว่า จะต้องมีลายเซ็นของผู้บริหารระดับสูง ตั้งแต่รองเลขาธิการ กกต.ขึ้นไป ดังนั้นการตอบคำถามจากระดับผอ.สำนักจึงถือว่าไม่ถูกต้อง

** “สุเมธ” รับเอกสารไม่ปกติ

ด้าน นายสุเมธ อุปนิสากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้ให้เจ้าหน้าที่ไปคัดสำนวนจากศาลฎีกากรณีที่ กกต.ส่งสำนวนให้ศาลฎีกาพิจารณาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธ ซึ่งก็พบว่าเอกสารที่เบิกความในศาลนั้นเป็นหนังสือของ กกต.จริงๆ แต่มีความผิดปกติ ส่วนจะเป็นการปลอมแปลงเอกสารหรือไม่นั้น ตนมองว่าอาจเป็นเอกสารผิดปกติ ซึ่งขณะนี้เจ้าของเรื่องกำลังตรวจสอบอยู่ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ส่วนจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีการปลอมแปลงหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของเรื่อง แต่การพิจารณาเรื่องนี้น่าจะสรุปผลก่อนศาลตัดสินพิจารณาคดี ทั้งนี้ไม่ทราบว่าเอกสารดังกล่าวจะส่งผลต่อคดีของนายยงยุทธหรือไม่

สำหรับกรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมองว่ามีหนอนบ่อนไส้ในสำนักงาน กกต.ที่เป็นคนปลอมแปลงหนังสือนี้ นายสุเมธ กล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องนี้ เพราะต้องสอบสวนกันก่อน แต่คิดว่าสถานที่ทุกแห่งมีทั้งคนดีและคนไม่ดี คงไม่มีคนดี 100% ส่วนเรื่องนี้จะเป็นเกมการเมืองของบางพรรคหรือไม่ ก็ขอปฏิเสธที่จะให้ความเห็น ขอวินิจฉัยในหน้าที่ดีกว่า อย่าให้ไปก้าวล่วงคนอื่นเลย

นายสุเมธ ยังกล่าวถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปราศรัยว่า ภายหลังการเลือกตั้ง กกต.ได้ล้มสำนวนกว่า 700 สำนวนเพื่อช่วยเหลือพรรคพลังประชาชนว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะตามปกติเมื่อใครร้องเรียนเข้ามาก็ต้องมีการสอบปากคำ จากนั้นก็ตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนขึ้นมาตรวจสอบและในชั้นสุดท้าย กกต.ทั้ง 5 คนก็ต้องพิจารณาซ้ำอีกครั้ง ดังนั้น กกต.จะมาช่วยล้มคดีคงไม่ใช่ ตนคิดว่าสาเหตุที่มีการยกคำร้องอาจเกิดจากเมื่อพิจารณาสำนวนแล้ว พยานให้การแล้วฟังไม่ขึ้นก็เป็นได้ ส่วนที่กลุ่มพันธมิตรจะเดินทางมาให้กำลังใจ กกต.นั้น ตนก็อยากขอร้องอย่ามาเลย เพราะ กกต.ทุกคนต้องมีความเป็นกลางเป็นที่ประจักษ์ หากพันธมิตรฯ มาอาจถูกมองว่าความเป็นกลางเสียไป เดี๋ยวจะมีคนหาว่า กกต.ไปเข้าข้างฝ่ายนู้น ฝ่ายนี้ จะทำให้การทำงานลำบาก

ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ โจมตีนางสดศรี และนายสมชัย นั้น ตนคิดว่าเป็นแค่ความเห็นของกลุ่มพันธมิตรฯ ส่วนตัวเชื่อว่า กกต.ทุกคนทำหน้าที่อย่างสุจริต และมีเอกภาพในการทำงาน แม้มีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่ก็ต้องเคารพความเห็นนั้น
 
“ผมเชื่อว่า กกต.ทุกคนสุจริต แต่ความคิดเห็นในข้อกฎหมายอาจจะมีต่างกันบ้าง ก็เหมือนเวลาเป็นศาล เมื่อไม่เห็นด้วย เราก็ไม่ว่าอะไร เพราะเราเคารพในความคิดเห็นแต่ละคน

ผมเองบางทีก็ไม่เห็นด้วยกับ กกต.ทั้ง 4 ท่าน แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับเสียงส่วนใหญ่ว่าเห็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่อยู่ที่คนมองว่าจะสุจริตหรือไม่มากกว่า และเราก็ไม่ได้ทำงานเพื่อหวังเอาใจใคร” นายสุเมธกล่าว
สมชัย จึงประเสริฐ
กำลังโหลดความคิดเห็น