ASTVผู้จัดการรายวัน - "น้องคุ้กกี้" ลูกสาว 11 ขวบของ “เจนกิจ” เชื่อพ่อเสียชีวิตเพราะฝีมือรัฐบาล ลั่นให้พันธมิตรสู้ต่อไป ส่วนตนจะตั้งใจทำดี ไม่ดื้อไม่ซน ดูแลแม่และน้อง ต่อสู้เพื่อพ่อ ด้านแพทย์รามาฯ ชื้วีรชนพันธมิตรฯ เสียเลือดมากจากสะเก็ดระเบิดที่ทะลุคอ
วานนี้(20 พ.ย.) บริเวณหน้าหน่วยนิติเวช ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล ญาติของนายเจนกิจ กลัดสาคร ผู้เสียชีวิตจากเหตุระเบิดในทำเนียบรัฐบาล ประมาณ 20 คน เดินทางมารอรับศพ โดยทุกคนอยู่ในอาการโศกเศร้าและร้องไห้ จากนั้นในเวลาประมาณ 15.00 น. แกนนำกองทัพธรรมได้เดินทางมาที่รพ.รามาธิบดีเพื่อรับศพนายเจนกิจ โดยมีด.ญ.ลิปิการ์ กลัดสาคร (น้องคุ้กกี้) อายุ 11 ปี บุตรสาวผู้เสียชีวิต เป็นผู้ถือกระถางธูปนำหน้าศพ
**ลูกสาวเชื่อรบ.สั่งฆ่า ให้พธม.สู้ต่อไป
ด.ญ.ลิปิการ์ให้สัมภาษณ์ก่อนที่จะรับศพออกจากโรงพยาบาลว่า ได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของพ่อเมื่อเวลา 07.00 น. โดยแม่โทรศัพท์มาหา แต่ไม่ได้บอกอะไรมากเพียงแค่ให้เตรียมเสื้อไปให้พ่อ และบอกว่าพ่อไปสบายแล้ว จึงถามแม่ว่าพ่อตายหรือ แม่ตอบกลับมาว่า ใช่ หลังจากนั้นก็วางสายและหันไปบอกยาย ซึ่งยายร้องไห้ เสียใจ และบอกว่าสงสารตนเองและน้องที่ต้องสูญเสียพ่อไป หนูก็เสียใจแต่ก็ไปเตรียมเสื้อผ้าให้พ่อ โดยเป็นชุดคาวบอยเพราะว่าชอบเรื่องเกี่ยวกับคาวบอยมาก
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้พ่อย้ำเสมอว่าหากเสียชีวิตให้นำชุดคาวบอยมาใส่ให้ อีกทั้งให้สังเกตโทรทัศน์ที่บ้าน ซึ่งปกติเปิดดูรายการอยู่เสมอ แต่หากไม่สามารถเปิดชมได้ตามปกติแสดงว่าพ่อมาหาให้จุดธูปและนำข้าวมาให้พ่อด้วย
“เสียใจและรู้สึกใจหายกับเรื่องนี้แต่ก็ไม่เคยกลัว และจะสู้เพื่อพ่อต่อไป ซึ่งก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตั้งใจจะทำความดี ไม่ดื้อ ไม่ซน และช่วยดูแลครอบครัวแทนพ่อ ตามที่แม่เคยบอก จึงอยากเรียกร้องให้ฝ่ายที่ทำแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งหนูคิดว่ารัฐบาลเป็นคนทำ เพราะที่ผ่านมามีการยิงแก๊สน้ำตา วางระเบิดและแม่เล่าให้ฟังว่าวันที่เกิดเหตุเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจบางรายแสดงสีหน้าสมน้ำหน้า ต่อจากนี้อยากให้พันธมิตรฯ สู้ต่อไป แต่หนูคงจะไม่ไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯเพราะเป็นเด็ก ปกติพ่อและแม่จะมาร่วมชุมนุมกับเพื่อนๆ ซึ่งหนูเคยขอจะไปด้วยหลายครั้ง แต่พ่อบอกไม่ให้ไป เนื่องจากเป็นห่วงความปลอดภัยและมีแต่ความลำบาก”ด.ญ.ลิปิการ์กล่าว
**ชี้อยากให้คนดีเป็นนายกฯ
ด.ญ.ลิปิการ์ กล่าวด้วยว่า อยากให้คนดีๆ มาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่เป็นคนไม่ดี เพราะได้เห็นคลิปที่นายกฯพาผู้หญิงเข้าโรงแรมม่านรูดและพาไปซื้อตู้เย็น ซึ่งผู้นำที่ดีจะต้องไม่เอาเปรียบ ไม่เห็นแก่เงิน ไม่ขายชาติ
ทั้งนี้ เวลา 15.00 น. จะนำศพพ่อออกจากโรงพยาบาล และจะเคลื่อนศพไปหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล(บชน.)เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม จากนั้นจะไปตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่ศาลา 3 วัดมกุฎกษัตริยาราม ซึ่งแกนนำพันธมิตรฯได้ติดต่อให้ความช่วยเหลือมาเป็นระยะและจะจัดการเกี่ยวกับพิธีบำเพ็ญกุศลทั้งหมด
ขณะที่นายเด่น แผ่นศิลา อายุ 37 ปี เพื่อนนายเจนกิจ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์กล่าวว่า ตนกับนายเจนกิจมาจากสัตหีบกับกลุ่มเพื่อนเพื่อร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯหลายครั้ง โดยขณะเกิดเหตุนายเจนกิจนอนอยู่ จากนั้นได้ยินเสียงระเบิด เมื่อหันมาก็เห็นนายเจนกิจมีบาดแผลที่บริเวณคอ นางปริญชาน์ สุขภูตานันท์ ภรรยานายเจนกิจและตนจึงช่วยกันห้ามเลือด โดยนายเจนกิจยังมีสติดีอยู่และกล่าวว่า “ทำกันอย่างนี้เลยเล่นแรงจริงๆ” จากนั้นก็ได้นำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
**รามาฯรับผู้บาดเจ็บ 11 ราย เสียชีวิต 1 ราย
ร.ศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ รองผู้อำนวยการ รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า มีผู้บาดเจ็บเริ่มนำส่ง รพ.รามาธิบดี ตั้งแต่เวลา 03.45 น. – 05.50 น. รวมทั้งสิ้น 11 ราย เป็นชาย 5 ราย หญิง 6 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย คือ นายเจนกิจ กลัดสาคร นอกจากนั้น มีผู้บาดเจ็บต้องนอนรักษาอาการ 2 ราย โดยรายแรกเป็นชายอายุประมาณ 39 ปี กระดูกบริเวณใบหน้าแตกทะลุ เศษวัสดุแปลกปลอมเข้าไปฝังในโพรงกระดูกบริเวณหน้า ส่วนอีกรายเป็นผู้หญิง อายุ 52 ปี ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลลึกที่บริเวณสะโพก
สำหรับรายแรก ผลการเอ็กซเรย์พบว่าเนื้อสมองช้ำเป็นจุดเล็กน้อย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสมองประเมินอาการ และคาดว่าอาการไม่น่าเป็นห่วง เพราะไม่มีอาการตกเลือด หรืออาการแทรกซ้อนใดๆ เนื่องจากเป็นเนื้อสมองชั้นตื้นห่างจากขอบกระดูก 1-2 เซนติเมตร แพทย์ลงความเห็นว่า ยังไม่ต้องผ่าตัด ให้ใช้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ 1-2 สัปดาห์ จากนั้นเฝ้าดูอาการว่าจะมีอาการติดเชื้อซ้ำซ้อนหรือไม่ หากไม่มีก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเอาเศษวัสดุออก ขณะนี้ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ความจำไม่ได้รับการกระทบกระเทือนสามารถจดจำเหตุการณ์ได้ ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บมีบริเวณสะโพกนั้น มีเศษวัสดุแปลกปลอมฝังอยู่ แพทย์ได้ล้างแผลให้และรอดูอาการ คาดว่าจะสามารถกลับบ้านได้ภายใน 1-2 วัน
**แพทย์เผยเจนกิจตายเพราะเสียเลือดมาก
ผศ.พล.อ.ต.นพ.วิชาญ เปี้ยวนิ่ม หัวหน้าหน่วยนิติเวช คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตถูกนำตัวส่งมารักษาที่ห้องฉุกเฉินเมื่อเวลา 03.50 น. โดยอาการที่เห็นคือมีเลือดออกบริเวณปากจำนวนมากไม่สามารถวัดความดันโลหิตได้ แพทย์ได้เร่งช่วยชีวิต แต่อาการไม่ดีขึ้นและเสียชีวิตลงในเวลา 04.40 น. ผลจากการชันสูตรศพพบบาดแผลเป็นรอยทะลุที่คอด้านซ้าย ขนาด 0.8-0.9 ซ.ม.บาดแผลทะลุเข้ากล้ามเนื้อคอด้านซ้าย ทิศทางจากซ้ายไปขวา มีแผลทะลุเส้นเลือดแดงใหญ่คอด้านซ้าย ทำให้มีเลือดออกที่หลอดอาหารส่วนบน หลอดลมเหนือบริเวณกล่องเสียง ปาก จมูก พบเศษวัสดุแปลกปลอมสันนิษฐานว่าเป็นสะเก็ดระเบิด ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.4 ซ.ม. ค้างอยู่บริเวณข้างหลอดลมด้านขวา และทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหารปริมาณ 400 ลบ.ซ.ม.
ผลการตรวจอวัยวะภายในพบว่า ที่เนื้อปอด มีการฟกช้ำ และมีเลือดออกกระจาย เป็นหย่อมๆ ทั่วปอดทั้งสองข้าง จากการส่องกล้องจุลทรรศน์ พบว่า ถุงลมในปอดมีขยายใหญ่ขึ้น ทำให้ผนังถุงลมบางจนฉีกขาดหลายแห่ง ลักษณะที่ปอดสันนิษฐานได้ว่าเกิดจากแรงระเบิดระดับกลาง ไม่สูงหรือต่ำมาก
“ แพทย์ได้สรุปสาเหตุการตายว่า เกิดจากเศษวัสดุแปลกปลอม ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นสะเก็ดระเบิด บริเวณคอด้านซ้ายทะลุเข้าเส้นเลือดแดง หลอดอาหาร ทำให้เสียเลือดมากจนช็อค ประกอบกับเนื้อปอดฟกช้ำมีเลือดออก ถุงลมฉีกขาดจากแรงระเบิด ซึ่งหากแรงระเบิดระดับนี้ โดยที่อวัยวะส่วนอื่นอาจจะไม่เสียชีวิต แต่รายดังกล่าวบังเอิญโดยที่บริเวณเส้นเลือดแดงใหญ่ จึงทำให้เสียชีวิต” ผศ.พล.อ.ต.นพ.วิชาญ กล่าวและว่าขณะนี้กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกองทัพบก มาติดต่อขอหลักฐานแล้ว
**สรุปมีผู้บาดเจ็บ 29 รายเสียชีวิต 1 ราย
สำหรับตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น ศูนย์เอราวัณ กทม.สรุปว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 29 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยแยกรักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆ ดังนี้ 1.รพ.พระมงกุฎเกล้า 13 รายยังรักษาตัวอยู่ 1 ราย 2.รพ.กลาง 4 ราย ยังรักษาตัวอยู่ 3 ราย 3.รพ.วชิระพยาบาล 1 ราย ขณะนี้ยังรักษาตัวอยู่ 4.รพ.รามาธิบดี 11 ราย ยังรักษาตัวอยู่ 2 ราย
วานนี้(20 พ.ย.) บริเวณหน้าหน่วยนิติเวช ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล ญาติของนายเจนกิจ กลัดสาคร ผู้เสียชีวิตจากเหตุระเบิดในทำเนียบรัฐบาล ประมาณ 20 คน เดินทางมารอรับศพ โดยทุกคนอยู่ในอาการโศกเศร้าและร้องไห้ จากนั้นในเวลาประมาณ 15.00 น. แกนนำกองทัพธรรมได้เดินทางมาที่รพ.รามาธิบดีเพื่อรับศพนายเจนกิจ โดยมีด.ญ.ลิปิการ์ กลัดสาคร (น้องคุ้กกี้) อายุ 11 ปี บุตรสาวผู้เสียชีวิต เป็นผู้ถือกระถางธูปนำหน้าศพ
**ลูกสาวเชื่อรบ.สั่งฆ่า ให้พธม.สู้ต่อไป
ด.ญ.ลิปิการ์ให้สัมภาษณ์ก่อนที่จะรับศพออกจากโรงพยาบาลว่า ได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของพ่อเมื่อเวลา 07.00 น. โดยแม่โทรศัพท์มาหา แต่ไม่ได้บอกอะไรมากเพียงแค่ให้เตรียมเสื้อไปให้พ่อ และบอกว่าพ่อไปสบายแล้ว จึงถามแม่ว่าพ่อตายหรือ แม่ตอบกลับมาว่า ใช่ หลังจากนั้นก็วางสายและหันไปบอกยาย ซึ่งยายร้องไห้ เสียใจ และบอกว่าสงสารตนเองและน้องที่ต้องสูญเสียพ่อไป หนูก็เสียใจแต่ก็ไปเตรียมเสื้อผ้าให้พ่อ โดยเป็นชุดคาวบอยเพราะว่าชอบเรื่องเกี่ยวกับคาวบอยมาก
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้พ่อย้ำเสมอว่าหากเสียชีวิตให้นำชุดคาวบอยมาใส่ให้ อีกทั้งให้สังเกตโทรทัศน์ที่บ้าน ซึ่งปกติเปิดดูรายการอยู่เสมอ แต่หากไม่สามารถเปิดชมได้ตามปกติแสดงว่าพ่อมาหาให้จุดธูปและนำข้าวมาให้พ่อด้วย
“เสียใจและรู้สึกใจหายกับเรื่องนี้แต่ก็ไม่เคยกลัว และจะสู้เพื่อพ่อต่อไป ซึ่งก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตั้งใจจะทำความดี ไม่ดื้อ ไม่ซน และช่วยดูแลครอบครัวแทนพ่อ ตามที่แม่เคยบอก จึงอยากเรียกร้องให้ฝ่ายที่ทำแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งหนูคิดว่ารัฐบาลเป็นคนทำ เพราะที่ผ่านมามีการยิงแก๊สน้ำตา วางระเบิดและแม่เล่าให้ฟังว่าวันที่เกิดเหตุเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจบางรายแสดงสีหน้าสมน้ำหน้า ต่อจากนี้อยากให้พันธมิตรฯ สู้ต่อไป แต่หนูคงจะไม่ไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯเพราะเป็นเด็ก ปกติพ่อและแม่จะมาร่วมชุมนุมกับเพื่อนๆ ซึ่งหนูเคยขอจะไปด้วยหลายครั้ง แต่พ่อบอกไม่ให้ไป เนื่องจากเป็นห่วงความปลอดภัยและมีแต่ความลำบาก”ด.ญ.ลิปิการ์กล่าว
**ชี้อยากให้คนดีเป็นนายกฯ
ด.ญ.ลิปิการ์ กล่าวด้วยว่า อยากให้คนดีๆ มาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่เป็นคนไม่ดี เพราะได้เห็นคลิปที่นายกฯพาผู้หญิงเข้าโรงแรมม่านรูดและพาไปซื้อตู้เย็น ซึ่งผู้นำที่ดีจะต้องไม่เอาเปรียบ ไม่เห็นแก่เงิน ไม่ขายชาติ
ทั้งนี้ เวลา 15.00 น. จะนำศพพ่อออกจากโรงพยาบาล และจะเคลื่อนศพไปหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล(บชน.)เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม จากนั้นจะไปตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่ศาลา 3 วัดมกุฎกษัตริยาราม ซึ่งแกนนำพันธมิตรฯได้ติดต่อให้ความช่วยเหลือมาเป็นระยะและจะจัดการเกี่ยวกับพิธีบำเพ็ญกุศลทั้งหมด
ขณะที่นายเด่น แผ่นศิลา อายุ 37 ปี เพื่อนนายเจนกิจ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์กล่าวว่า ตนกับนายเจนกิจมาจากสัตหีบกับกลุ่มเพื่อนเพื่อร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯหลายครั้ง โดยขณะเกิดเหตุนายเจนกิจนอนอยู่ จากนั้นได้ยินเสียงระเบิด เมื่อหันมาก็เห็นนายเจนกิจมีบาดแผลที่บริเวณคอ นางปริญชาน์ สุขภูตานันท์ ภรรยานายเจนกิจและตนจึงช่วยกันห้ามเลือด โดยนายเจนกิจยังมีสติดีอยู่และกล่าวว่า “ทำกันอย่างนี้เลยเล่นแรงจริงๆ” จากนั้นก็ได้นำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
**รามาฯรับผู้บาดเจ็บ 11 ราย เสียชีวิต 1 ราย
ร.ศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ รองผู้อำนวยการ รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า มีผู้บาดเจ็บเริ่มนำส่ง รพ.รามาธิบดี ตั้งแต่เวลา 03.45 น. – 05.50 น. รวมทั้งสิ้น 11 ราย เป็นชาย 5 ราย หญิง 6 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย คือ นายเจนกิจ กลัดสาคร นอกจากนั้น มีผู้บาดเจ็บต้องนอนรักษาอาการ 2 ราย โดยรายแรกเป็นชายอายุประมาณ 39 ปี กระดูกบริเวณใบหน้าแตกทะลุ เศษวัสดุแปลกปลอมเข้าไปฝังในโพรงกระดูกบริเวณหน้า ส่วนอีกรายเป็นผู้หญิง อายุ 52 ปี ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลลึกที่บริเวณสะโพก
สำหรับรายแรก ผลการเอ็กซเรย์พบว่าเนื้อสมองช้ำเป็นจุดเล็กน้อย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสมองประเมินอาการ และคาดว่าอาการไม่น่าเป็นห่วง เพราะไม่มีอาการตกเลือด หรืออาการแทรกซ้อนใดๆ เนื่องจากเป็นเนื้อสมองชั้นตื้นห่างจากขอบกระดูก 1-2 เซนติเมตร แพทย์ลงความเห็นว่า ยังไม่ต้องผ่าตัด ให้ใช้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ 1-2 สัปดาห์ จากนั้นเฝ้าดูอาการว่าจะมีอาการติดเชื้อซ้ำซ้อนหรือไม่ หากไม่มีก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเอาเศษวัสดุออก ขณะนี้ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ความจำไม่ได้รับการกระทบกระเทือนสามารถจดจำเหตุการณ์ได้ ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บมีบริเวณสะโพกนั้น มีเศษวัสดุแปลกปลอมฝังอยู่ แพทย์ได้ล้างแผลให้และรอดูอาการ คาดว่าจะสามารถกลับบ้านได้ภายใน 1-2 วัน
**แพทย์เผยเจนกิจตายเพราะเสียเลือดมาก
ผศ.พล.อ.ต.นพ.วิชาญ เปี้ยวนิ่ม หัวหน้าหน่วยนิติเวช คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตถูกนำตัวส่งมารักษาที่ห้องฉุกเฉินเมื่อเวลา 03.50 น. โดยอาการที่เห็นคือมีเลือดออกบริเวณปากจำนวนมากไม่สามารถวัดความดันโลหิตได้ แพทย์ได้เร่งช่วยชีวิต แต่อาการไม่ดีขึ้นและเสียชีวิตลงในเวลา 04.40 น. ผลจากการชันสูตรศพพบบาดแผลเป็นรอยทะลุที่คอด้านซ้าย ขนาด 0.8-0.9 ซ.ม.บาดแผลทะลุเข้ากล้ามเนื้อคอด้านซ้าย ทิศทางจากซ้ายไปขวา มีแผลทะลุเส้นเลือดแดงใหญ่คอด้านซ้าย ทำให้มีเลือดออกที่หลอดอาหารส่วนบน หลอดลมเหนือบริเวณกล่องเสียง ปาก จมูก พบเศษวัสดุแปลกปลอมสันนิษฐานว่าเป็นสะเก็ดระเบิด ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.4 ซ.ม. ค้างอยู่บริเวณข้างหลอดลมด้านขวา และทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหารปริมาณ 400 ลบ.ซ.ม.
ผลการตรวจอวัยวะภายในพบว่า ที่เนื้อปอด มีการฟกช้ำ และมีเลือดออกกระจาย เป็นหย่อมๆ ทั่วปอดทั้งสองข้าง จากการส่องกล้องจุลทรรศน์ พบว่า ถุงลมในปอดมีขยายใหญ่ขึ้น ทำให้ผนังถุงลมบางจนฉีกขาดหลายแห่ง ลักษณะที่ปอดสันนิษฐานได้ว่าเกิดจากแรงระเบิดระดับกลาง ไม่สูงหรือต่ำมาก
“ แพทย์ได้สรุปสาเหตุการตายว่า เกิดจากเศษวัสดุแปลกปลอม ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นสะเก็ดระเบิด บริเวณคอด้านซ้ายทะลุเข้าเส้นเลือดแดง หลอดอาหาร ทำให้เสียเลือดมากจนช็อค ประกอบกับเนื้อปอดฟกช้ำมีเลือดออก ถุงลมฉีกขาดจากแรงระเบิด ซึ่งหากแรงระเบิดระดับนี้ โดยที่อวัยวะส่วนอื่นอาจจะไม่เสียชีวิต แต่รายดังกล่าวบังเอิญโดยที่บริเวณเส้นเลือดแดงใหญ่ จึงทำให้เสียชีวิต” ผศ.พล.อ.ต.นพ.วิชาญ กล่าวและว่าขณะนี้กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกองทัพบก มาติดต่อขอหลักฐานแล้ว
**สรุปมีผู้บาดเจ็บ 29 รายเสียชีวิต 1 ราย
สำหรับตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น ศูนย์เอราวัณ กทม.สรุปว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 29 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยแยกรักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆ ดังนี้ 1.รพ.พระมงกุฎเกล้า 13 รายยังรักษาตัวอยู่ 1 ราย 2.รพ.กลาง 4 ราย ยังรักษาตัวอยู่ 3 ราย 3.รพ.วชิระพยาบาล 1 ราย ขณะนี้ยังรักษาตัวอยู่ 4.รพ.รามาธิบดี 11 ราย ยังรักษาตัวอยู่ 2 ราย