ผู้จัดการออนไลน์ – “7 ตุลาเลือด” ผ่านมาเดือนกว่า อนุฯ กมธ.วุฒิสภา แจ้งผลตรวจสอบเหตุการณ์ 7 ต.ค. สรุปชัด “นายกฯ-ตำรวจ” สั่งการแต่ไม่แสดงความรับผิดชอบ ยันแพทย์ชันสูตรศพ “น้องโบว์” พบเป็นสารจากแก๊สน้ำตา ไม่ใช่ระเบิดปิงปอง สุดชั่ว! ตร.ใช้แก๊สน้ำตาที่หมดอายุ แถมผสมระเบิดซีโฟร์ด้วย
เมื่อเวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา คณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาสลายกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ในคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล คณะอนุกรรมาธิการพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ในเหตุการณ์หน้าลานพระบรมรูปฯ วันที่ 7 ตุลาคม ในคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข และคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาและติดตามสถานการณ์ความรุนแรงและปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ในคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ร่วมกันจัดเสวนาเรื่อง “รายงานผลการตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงวันที่ 7 ตุลาคม”
พล.ต.ต.เกริก กัลยาณมิตร รองประธาน กมธ.ศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตฯ กล่าวว่า คณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ตรวจสอบหลักฐานต่างๆ ที่ปรากฏ พบ ข้อสังเกต 11 ข้อ คือ
1.รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ยังมีเวลาแถลงนโยบายได้ถึงวันที่ 9 ตุลาคม แต่กลับรีบแถลงวันที่ 7 ตุลาคม ทั้งที่ทราบว่ามีมวลชนมาปิดล้อมรัฐสภาตั้งแต่คืนวันที่ 6 ตุลาคม ซึ่งควรมีเวลาในการเจรจากับผู้ชุมนุม 2.รัฐบาลสามารถเลือกสถานที่อื่นแทนที่ทำการรัฐสภาได้ รองประธานสภา คนที่ 2 ก็หาที่สำรองไว้ 3 แห่ง แต่รัฐบาลกลับเดินหน้าใช้รัฐสภาแถลงนโยบายทั้งที่รู้ว่าจะเกิดความรุนแรง
3.รัฐบาลเข้ามาแถลงนโยบายในรัฐสภา โดยใช้การสลายฝูงชนรุนแรงจนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก และบาดเจ็บสาหัส 4.หลังแถลงนโยบาย รัฐบาลมิได้สั่งการให้ตำรวจหยุดสลายการชุมนุม แต่ยังมีการสลายการชุมนุมต่อจนถึงเวลา 24.00 น.
5.การสลายการชุมนุมไม่ทำตามหลักสากลและแผนกรกฎ 48 ไม่มีการเจรจาและทำตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก 6.ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเลย โดยไม่เริ่มจากการใช้โล่และกระบองผลักดัน หรือใช้น้ำฉีด 7.ตำรวจเจาะจงเลือกใช้แก๊สน้ำตาของจีน ที่มีสารระเบิดมากถึงขั้นทำลายอวัยวะคนได้ ซึ่งการสลายการชุมนุมในช่วงเช้ามีคนขาขาด แขนขาด แต่ตำรวจยังใช้วิธีการแบบเดิมสลายการชุมนุมตลอดทั้งวัน
8.ตำรวจยิงกระสุนแก๊สน้ำตา หรือขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมโดยตรง 9.หลังจาก ส.ส.และ ส.ว.ออกจากรัฐสภาแล้วตำรวจยังสลายการชุมนุมแบบเดิมขณะผู้ชุมนุมเดินทางกลับ ถือว่าไม่สมเหตุสมผล และไม่ชอบธรรม 10.การสลายการชุมนุมมีตำรวจบาดเจ็บ และทรัพย์สินราชการเสียหาย แต่นายกฯ ไม่คำนึงถึง
11.นายกฯ และรัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกระดับ ไม่แสดงความรับผิดชอบ และไม่ตระหนักผลกระทบจากการสลายการชุมนุมที่ทำให้ทัศนคติระหว่างตำรวจและประชาชนไปในทางลบ ทั้งหมดขอให้เป็นบทเรียนครั้งสุดท้ายของการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ทำให้เกิดความสูญเสีย
พล.ต.ต.เกริก กล่าวต่อว่า ในฐานะที่ตนเป็นตำรวจเก่า คิดว่าการสลายการชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจคงไม่มีความรู้ในการใช้อาวุธ และไม่ทราบว่าตำรวจตระเวนชายแดนนำเบิกแก๊สน้ำตามาจากไหน ดังนั้น เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม รัฐบาลจะต้องตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์ขึ้นมารับผิดชอบ เพราะเป็นผู้สั่งการเพียงคนเดียว และจากกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ลาออก ก็ยังไม่มีผู้มารับช่วงต่อ และเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น เนื่องจากตำรวจมาจากหลายหน่วยงาน หลายโรงพัก ทำให้มีความสับสนในการสั่งการ ดังนั้น ผบ.ส่วนหน้าจะต้องมาเล่นในสนามจริงๆ ไม่ใช่อยู่ที่ บชน.แล้วฟังวิทยุสื่อสาร เพื่อสั่งการเท่านั้น
ชัด “น้องโบว์” โดนระเบิดแก๊สน้ำตา ตร.
พล.อ.ต.นพ.วิชาญ เบี้ยวนิ่ม อนุกรรมาธิการ พิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตฯ และหัวหน้าหน่วยนิติเวช รพ.รามาธิบดี ผู้ชันสูตรศพ น.ส.อังคณา กล่าวว่า น.ส.อังคณา เสียชีวิตก่อนมาถึงโรงพยาบาล ทั้งนี้ เมื่อศพมาถึงพบว่า ปนเปื้อนแก๊สน้ำตา จึงต้องล้างหลายครั้งก่อนชันสูตร เมื่อชันสูตรพบว่า เสื้อผ้าฉีก มีรอยไหม้ดำ บาดแผลใหญ่บริเวณอกด้านซ้ายต่อเนื่องมาถึงแขน ขนาด 40x14 ซม. ลึกถึงซี่โครง ซี่โครงหักตลอดแนว ปอดช้ำเลือดออกกระจาย ม้ามแตก เยื่อหุ้มหัวใจและผนังทะลุ เมื่อส่องกล้องจุลทรรศน์พบชัดเจนว่า เป็นเพราะแรงอัดและความร้อน สารเคมีที่ปนเสื้อผ้าก็เป็นสารประกอบของระเบิดแก๊สน้ำตา ไม่ใช่ระเบิดปิงปอง หรือระเบิดสังหาร และเป็นการระเบิดใกล้ตัว ไม่ได้ชิดตัว จึงไม่ใช่การพกระเบิดแล้วระเบิดเอง
ระเบิดแก๊สน้ำตาผสมซีโฟร์!
นายไพบูลย์ นิติตะวัน อนุกมธ.ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองฯ กล่าวว่า สตง. ตรวจพบว่า กองพลาธิการและสรรพาวุธ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซื้อระเบิดแก๊สน้ำตาจากจีน โดยเป็นแบบขว้าง 17,000 ลูก เมื่อปี 36-38 แบบยิงจำนวน 40,800 ลูก เมื่อปี 36 และยังพบว่า รอง ผบ.ตร.คนหนึ่งขอระเบิดแก๊สน้ำตาจาก 4 หน่วย ซึ่งเป็นอาวุธเก่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2551 โดยระบุชัดว่า “ขอชนิดขว้างผลิตในประเทศจีน” เพื่อควบคุมการชุมนุม ไม่ใช่ขอกองพลาธิการ
นอกจากนี้ พล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีตผู้เชี่ยวชาญสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มาให้ข้อมูลว่า ระเบิดแก๊สน้ำตาดังกล่าวมีซีโฟร์ 7 กรัม จุดชนวนแล้วพุ่ง 200-300 ฟุตต่อวินาที สามารถเป็นอันตรายต่อร่างกาย และในลูกระเบิด ส่วนผสมที่เป็นแก๊สน้ำตาจะเสื่อมใน 5-8 ปี ส่วนส่วนผสมที่เป็นซีโฟร์ไม่หมดอายุ ทั้งนี้ ระเบิดแก๊สน้ำตาดังกล่าว ตำรวจเรียกคืนมาเก็บหมด เพราะใช้ตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 และหมดอายุแล้ว นอกจากนี้ ฝ่ายตำรวจยังเคยระงับการซื้อระเบิดแก๊สน้ำตาจากจีนเพราะพบว่าร้ายแรง ไม่รู้ว่าทำไมจึงนำกลับมาใช้อีก ส่วนฝ่ายตำรวจใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาไปจำนวนเท่าใด อนุฯกำลังตามตรวจสอบอยู่
7 ข้อสังเกตชี้ รัฐบาล-ตำรวจ จงใจให้รุนแรง
ขณะที่ นายสมชาย แสวงการ ประธานอนุ กมธ.ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองฯ กล่าวว่า อนุ กมธ.ตรวจสอบหลักฐานพบ เหตุผิดปกติ 7 ข้อ คือ
1.การสลายการชุนุมที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิต เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพของประชาชน ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง 2.รัฐบาลสามารถหลีกเลี่ยงความรุนแรงดังกล่าวได้แต่ไม่ทำ 3.การกระทำของตำรวจเกิดจากมติ ครม.เมื่อคืนวันที่ 6 ตุลาคม ฉะนั้น รัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องรับผิดชอบ 4.ตำรวจปฏิบัติข้ามขั้นตอนที่ 2 ของแผน “กรกฎ 48” คือไม่มีการเจรจาและใช้กำลังจากเบาไปหาหนัก และละเลยข้อ ฝ.ในแผน “กรกฎ 48” ที่ให้พึงระลึกว่า การชุมนุมในขอบเขตของกฎหมายเป็นสิทธิที่ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติละมุนละม่อม แต่ปรากฏว่า ตำรวจทำการรุนแรงมากตลอดทั้งวัน
5.ตำรวจขาดดุลพินิจและความไม่เหมาะสมของการใช้อาวุธในการสลายการชุมนุม เพราะการสลายการชุมนุมช่วงเช้าพบผู้บาดเจ็บสาหัสหลายราย ขาขาด แต่ยังคงใช้อาวุธรุนแรงดังกล่าวตลอดทั้งวัน 6.พบว่ามีการยิงกระสุนแก๊สน้ำตาเข้าใส่รถพยาบาลและมีเจ้าหน้าที่พยาบาลถูกยิงด้วยกระสุนยางจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถือว่าขัดหลักสากลในการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในที่เกิดเหตุ และขัดขั้นตอน 4 ของแผน “กรกฎ 48” 7.งบเยียวยาของรัฐบาล หลักเกณฑ์การพิจารณายังไม่เหมาะสม ไม่เป็นธรรม อาจกระตุ้นให้เกิดการใช้ความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต
ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล กล่าวว่า รัฐบาลน่าจะยับยั้งตั้งแต่มีการสลายการชุมนุมในครั้งแรก เนื่องจากรู้ดีว่าแก๊สน้ำตาส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง แต่ในทางกลับกันกลับใช้การสลายการชุมนุมที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ ตนอยากตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่รัฐถึงมีการเก็บกวาดหลักฐานเร็วมาก ซึ่งตามหลักสากลควรมีการพิสูจน์หลักฐานก่อน
คลิกชมและดาวน์โหลดวิดีโอคลิป “ตำรวจฆ่าประชาชน” 7 ตุลาคม 2551
คลิกอ่านข้อมูลข่าวเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์ 7 ต.ค.2551 (บางส่วน)