ASTVผู้จัดการรายวัน – "พลังแม้ว" กระหายเลือด ขู่พร้อมทำหน้าที่หากพันธมิตรฯ บุกสภา "ประชา" ปูด"อ้อ"กลับไทย 24 พ.ย. "แม้ว" กลับ 25 ธ.ค. ลั่นมี 2 ทางเลือก ถ้าไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมก็ นองเลือด เกิดจลาจลทั้งในเมือง และปริมณฑล ขณะที่ศาลปกครองกลางตัดสินแล้วสั่งคุ้มครองชั่วคราวธนาคารไทยพาณิชย์ ห้ามโอนเงิน 1.2 หมื่นล้านบัญชี "โอ๊ค–เอม" ให้กรมสรรพากรจนกว่าศาลฎีกานักการเมืองจะตัดสินคดีร่ำรวยผิดปกติของตระกูลชินวัตรสิ้นสุด
นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯประกาศชุมนุมใหญ่หน้าสภา วันที่ 24 พ.ย.ซึ่งเป็นวันประชุมร่วมรัฐสภาว่า ต้องไปถามประธานรัฐสภาว่าจะมีการเตรียมรับมืออย่างไร ความจริงกลุ่มพันธมิตรฯ อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลก็ดีแล้ว อย่ามาสร้างให้เกิดความสับสน และอย่าทำให้คนไทยฆ่ากันเลย เพราะเหตุการณ์ในวันที่ 7 ต.ค. ก็รู้แล้วว่า เหตุการณ์เป็นอย่างไร น่าจะรอฟังที่ทำเนียบฯ จะดีกว่า อย่ามาให้เหนื่อยเลย
เมื่อถามว่าจะมีการระดมประชาชนมาเพื่อป้องกันการประชุมสภาหรือไม่ นายประชา กล่าวว่า ไม่จำเป็น เพราะเมื่อพันธมิตรประกาศชุมนุม กลุ่มประชาชนผู้สนับสนุนเขาก็รับทราบอยู่แล้ว ก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ทันที ดังนั้นเมื่อรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกลุ่มพันธมิตรก็ไม่ควรมาชุมนุม เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการร่วมกันหาทางออก ไม่ว่าจะเป็นเวทีสานเสวนา ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ แล้วจะมาก่อความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองได้อย่างไร ซึ่งพรรคพลังประชาชนเห็นว่า แนวทางที่จะสร้างความสมานฉันท์ได้ในขณะนี้คือ แนวทางตาม พ.ร.บ.สร้างความปรองดองแห่งชาติ
**"แม้ว" กลับไทย 25 ธ.ค.
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะให้เกิดความปรองดองได้อย่างไร ในเมื่อ พ.ร.บ.ดังกล่าวมีกลุ่มการเมืองได้ประโยชน์ นายประชา กล่าวว่า ที่ผ่านมามีบางกลุ่ม บางพวกได้ประโยชน์อยู่แล้ว จึงทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นธรรม ไม่มีความเป็นนิติรัฐเกิดขึ้น จึงทำให้เกิดปัญหา เมื่อหาทางออกเพื่อให้กฎหมายได้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
"ขอให้จับตาดูวันที่ 25 พ.ย. และ25 ธ.ค.จะเห็นได้ว่า 1 บวก 1 เป็น 2 หญิงหนึ่งชายหนึ่ง ซึ่งจะมีหญิง หรือชายมาหรือไม่ ขอให้รอการโฟนอิน วันที่ 13 ธ.ค. แต่ก็ต้องติดตามดูว่าจะเป็นอย่างไร โดยในวันที่ 25 ธ.ค.นี้ จะมีคนเดินทางมาจากสนามบินฮ่องกง สู่สนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลา 9.45 น. ด้วยเครื่องของการบินไทย เหตุการณ์วันนี้ มีทางออกให้ 2 ทาง คือ ถ้าไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมก็จะต้องเกิดการนองเลือด เกิดปัญหาการจลาจลทั้งในเมือง และปริมณฑล เพราะเราโดนคดีการเมือง ทางออกที่เหมาะสมคือ ทุกคนต้องถอยกลับไปยืน และให้ประเทศชนะ เพราะหลักนิติรัฐ ไม่สามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองได้"
นายประชา กล่าวอีกว่า คนไทยทุกคนไม่มีใครสามารถถอนสัญชาติความเป็นคนไทยได้ นับถือศาสนาพุทธ เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ทำไมจะกลับเมืองไทยไม่ได้ ดินแดนนี้เป็นของคนไทยที่ทุกคนมีสิทธิ วันที่ 25 ธ.ค. เป็นวันดี เป็นวันขึ้นปีใหม่ของฝรั่ง ซึ่งเหมือนกับวันขึ้นปีใหม่ของไทยจึงอยากให้จับตาดูให้ดี พันธมิตรฯ ยังขู่มาปิดล้อมสภาได้ ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ จะมาประเทศไทย วันที่ 25 ธ.ค.ไม่ได้ สนามบินสุวรรณภูมิ จะมีที่ให้ยืนหรือเปล่า ยืนยันว่าการกลับมาของพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เป็นการยั่วยุ
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางมาถึงเมืองไทย จะต้องถูกดำเนินคดีทันที จะเป็นการสร้างเงื่อนไขให้มีมวลชนมากดดันหรือไม่ นายประชา กล่าวว่า เมื่อผู้ที่ถูกคำพิพากษาต้องถูกจำคุก เมื่อเดินทางมาถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมาจับกุม ควบคุมตัวทันที ขนาดอยู่ต่างประเทศยังนอนเต้นท์ มาประเทศไทยทำไมจะนอนคุกไม่ได้ แต่การถูกจับกุมจะห้ามไม่ให้คนที่สนับสนุนมา คงไม่ได้ ดังนั้นก่อนที่จะเกิดเหตุ ควรหาทางป้องกันเอาไว้ก่อน
นายประชา ยังกล่าวถึงเหตุระเบิด บริเวณการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า ระเบิดตัวเองหรือไม่ เพราะอาจจะเป็นระเบิดที่เขาเก็บเอาไว้ในนั้น เรื่องนี้คงจะต้องไปถาม พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง
อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าทุกฝ่ายจะต้องหยุดทบทวน เพื่อที่จะได้ผลักดัน พ.ร.บ.สร้างความปรองดองสมานฉันท์แห่งชาติ ที่จะผลักดันเข้าสู่สภาภายในสมัยประชุมสามัญทั่วไป ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนมกราคมนี้ เพื่อที่จะได้สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น โดยขอร้องว่าอย่ามองเป็นเรื่องการทำเพื่อประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือผลประโยชน์ของใคร
"วันนี้ต้องถอยหลังทั้งหมด แล้วนับศูนย์ใหม่ รวมไปถึงคดีของกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วย เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายหันหน้ากลับเข้ามาปรองดองกัน ดีกว่าปล่อยไว้ และมีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้น" นายประชา กล่าว
***ศาลห้ามSCBโอนเงินให้สรรพากร
ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ ว่า วานนี้ (20 พ.ย.) ศาลฯ โดย น.ส.อมรา สัจจาสัย ตุลาการศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวนคดีดำหมายเลขที่ 1328/2551 มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ให้ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)SCB ระงับการส่งเงินในบัญชีเงินฝากของนายพานทองแท้ และ นส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) มีคำสั่งวันที่ 11 มิ.ย.50 ให้อายัดเงินในบัญชีฝากธนาคารที่ครอบครัว บุตร บริวาร ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)SHIN ให้แก่กองทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ กับกรมสรรพากร ผู้ถูกฟ้อง จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
โดยคดีนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ โดยนายวุฒิพงษ์ เวชยานนท์ ผู้รับอบอำนาจ ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร เป็นผู้ถูกฟ้องเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา เรื่องพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่ง ธนาคารไทยพาณิชย์ ขอให้ศาลทบทวนคำสั่งกรมสรรพากร ที่มีคำสั่งอายัดห้ามธนาคาร จำหน่าย จ่ายหรือโอนสิทธิ เรียกร้องเงินในบัญชีเงินฝากของนายพานทองแท้ และนส.พินทองทา และมีคำสั่งให้ธนาคารนำส่งเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร เพื่อชำระค่าภาษีอากรค้าง เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มที่คำนวณจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.50 ของนายพานทองแท้ จำนวน 6,075,498,993.21 บาทและ นส.พินทองทา จำนวน 6,075,236,235.38 บาท ซึ่งเป็นคำสั่งอายัดซ้อนกับคำสั่งอายัดของ คตส.
ทั้งนี้ ศาลปกครอง พิจารณาคำฟ้องและเอกสารที่ได้จากการไต่สวนคู่ความและบทบัญญัติกฎหมายแล้ว ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนว่า คำสั่งอายัดของ คตส. ลงวันที่ 11 มิ.ย.50 อาศัยอำนาจตามประกาศ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 ลงวันที่ 30 ก.ย.49 ส่วนคำสั่งอายัดของผู้ถูกฟ้อง อาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 จึงเห็นได้ว่า หน่วยงานทางปกครองทั้งสองแห่ง อาศัยอำนาจตามกฎหมายคนละฉบับออกคำสั่งอายัดในทรัพย์สินรายการเดียวกัน
โดยปรากฏภายหลังที่ คตส. มีคำสั่งอายัดแล้ว เมื่ออัยการสูงสุด ได้ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจำเลย ว่าร่ำรวยผิดปกติ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ขอให้ทรัพย์สินที่ คตส. สั่งอายัดไว้ พร้อมทั้งดอกเบี้ยของทรัพย์สินดังกล่าว ตกเป็นของแผ่นดิน และขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาฯ โดยยังไม่มีการเพิกถอนคำสั่งคตส.
ขณะที่ผู้ฟ้องยังรักษาเงินในบัญชีเงินฝากของบุคคลทั้งสอง ประมาณ 30,000 ล้านบาทไว้ก่อนโดยให้ผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย ซึ่งจากการไต่สวนยังพบว่าผู้รับมอบอำนาจของผู้ถูกฟ้อง ให้ถ้อยคำต่อศาลว่า นายพานทองแท้ และ นส.พินทองทา ผู้ค้างภาษี ได้อุทธรณ์การประเมินภาษีต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งคณะกรรมการฯมีอำนาจวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงจำนวนภาษีและเบี้ยปรับได้
จึงเห็นว่าหากผู้ฟ้องจะส่งเงินในบัญชีเงินฝากให้กับผู้ถูกฟ้อง หรือระงับการส่งเงินให้ผู้ถูกฟ้อง ย่อมอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดี เนื่องจากทั้ง คตส.และผู้ถูกฟ้องต่างออกคำสั่งอายัดทรัพย์รายการเดียวกันโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ผู้ฟ้องจึงอยู่ในฐานะยากลำบากต่อการปฏิบัติทางใดทางหนึ่ง ประกอบกับขณะนี้คดีที่เกี่ยวพันกับการบังคับทรัพย์สินดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองและศาลฎีกาฯ
ดังนั้นหากให้ผู้ฟ้อง ส่งเงินในบัญชีเงินฝากนายพานทองแท้ และ นส.พินทองทา ที่ถูก คตส. อายัดไว้ให้กับผู้ถูกฟ้อง แล้วถ้าภายหลังผู้ฟ้องต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ อาจเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ฟ้อง ซึ่งยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลังเนื่องจากเป็นเงินจำนวนสูงมาก อีกทั้งหากศาลปกครองมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีผลกระทบต่อการบริหารงานของรัฐ กรณีจึงมีเหตุอันสมควรที่ศาลจะกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษาตามคำขอผู้ฟ้องคดี
ศาลจึงมีคำสั่งให้ธนาคารไทยพาณิชย์ระงับการส่งเงินในบัญชีเงินฝากของนายพานทองแท้ และ นส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งถูก คตส. มีคำสั่งวันที่ 11 มิ.ย.50 อายัด ให้กับกรมสรรพากร จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น.
นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯประกาศชุมนุมใหญ่หน้าสภา วันที่ 24 พ.ย.ซึ่งเป็นวันประชุมร่วมรัฐสภาว่า ต้องไปถามประธานรัฐสภาว่าจะมีการเตรียมรับมืออย่างไร ความจริงกลุ่มพันธมิตรฯ อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลก็ดีแล้ว อย่ามาสร้างให้เกิดความสับสน และอย่าทำให้คนไทยฆ่ากันเลย เพราะเหตุการณ์ในวันที่ 7 ต.ค. ก็รู้แล้วว่า เหตุการณ์เป็นอย่างไร น่าจะรอฟังที่ทำเนียบฯ จะดีกว่า อย่ามาให้เหนื่อยเลย
เมื่อถามว่าจะมีการระดมประชาชนมาเพื่อป้องกันการประชุมสภาหรือไม่ นายประชา กล่าวว่า ไม่จำเป็น เพราะเมื่อพันธมิตรประกาศชุมนุม กลุ่มประชาชนผู้สนับสนุนเขาก็รับทราบอยู่แล้ว ก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ทันที ดังนั้นเมื่อรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกลุ่มพันธมิตรก็ไม่ควรมาชุมนุม เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการร่วมกันหาทางออก ไม่ว่าจะเป็นเวทีสานเสวนา ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ แล้วจะมาก่อความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองได้อย่างไร ซึ่งพรรคพลังประชาชนเห็นว่า แนวทางที่จะสร้างความสมานฉันท์ได้ในขณะนี้คือ แนวทางตาม พ.ร.บ.สร้างความปรองดองแห่งชาติ
**"แม้ว" กลับไทย 25 ธ.ค.
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะให้เกิดความปรองดองได้อย่างไร ในเมื่อ พ.ร.บ.ดังกล่าวมีกลุ่มการเมืองได้ประโยชน์ นายประชา กล่าวว่า ที่ผ่านมามีบางกลุ่ม บางพวกได้ประโยชน์อยู่แล้ว จึงทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นธรรม ไม่มีความเป็นนิติรัฐเกิดขึ้น จึงทำให้เกิดปัญหา เมื่อหาทางออกเพื่อให้กฎหมายได้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
"ขอให้จับตาดูวันที่ 25 พ.ย. และ25 ธ.ค.จะเห็นได้ว่า 1 บวก 1 เป็น 2 หญิงหนึ่งชายหนึ่ง ซึ่งจะมีหญิง หรือชายมาหรือไม่ ขอให้รอการโฟนอิน วันที่ 13 ธ.ค. แต่ก็ต้องติดตามดูว่าจะเป็นอย่างไร โดยในวันที่ 25 ธ.ค.นี้ จะมีคนเดินทางมาจากสนามบินฮ่องกง สู่สนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลา 9.45 น. ด้วยเครื่องของการบินไทย เหตุการณ์วันนี้ มีทางออกให้ 2 ทาง คือ ถ้าไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมก็จะต้องเกิดการนองเลือด เกิดปัญหาการจลาจลทั้งในเมือง และปริมณฑล เพราะเราโดนคดีการเมือง ทางออกที่เหมาะสมคือ ทุกคนต้องถอยกลับไปยืน และให้ประเทศชนะ เพราะหลักนิติรัฐ ไม่สามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองได้"
นายประชา กล่าวอีกว่า คนไทยทุกคนไม่มีใครสามารถถอนสัญชาติความเป็นคนไทยได้ นับถือศาสนาพุทธ เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ทำไมจะกลับเมืองไทยไม่ได้ ดินแดนนี้เป็นของคนไทยที่ทุกคนมีสิทธิ วันที่ 25 ธ.ค. เป็นวันดี เป็นวันขึ้นปีใหม่ของฝรั่ง ซึ่งเหมือนกับวันขึ้นปีใหม่ของไทยจึงอยากให้จับตาดูให้ดี พันธมิตรฯ ยังขู่มาปิดล้อมสภาได้ ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ จะมาประเทศไทย วันที่ 25 ธ.ค.ไม่ได้ สนามบินสุวรรณภูมิ จะมีที่ให้ยืนหรือเปล่า ยืนยันว่าการกลับมาของพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เป็นการยั่วยุ
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางมาถึงเมืองไทย จะต้องถูกดำเนินคดีทันที จะเป็นการสร้างเงื่อนไขให้มีมวลชนมากดดันหรือไม่ นายประชา กล่าวว่า เมื่อผู้ที่ถูกคำพิพากษาต้องถูกจำคุก เมื่อเดินทางมาถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมาจับกุม ควบคุมตัวทันที ขนาดอยู่ต่างประเทศยังนอนเต้นท์ มาประเทศไทยทำไมจะนอนคุกไม่ได้ แต่การถูกจับกุมจะห้ามไม่ให้คนที่สนับสนุนมา คงไม่ได้ ดังนั้นก่อนที่จะเกิดเหตุ ควรหาทางป้องกันเอาไว้ก่อน
นายประชา ยังกล่าวถึงเหตุระเบิด บริเวณการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า ระเบิดตัวเองหรือไม่ เพราะอาจจะเป็นระเบิดที่เขาเก็บเอาไว้ในนั้น เรื่องนี้คงจะต้องไปถาม พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง
อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าทุกฝ่ายจะต้องหยุดทบทวน เพื่อที่จะได้ผลักดัน พ.ร.บ.สร้างความปรองดองสมานฉันท์แห่งชาติ ที่จะผลักดันเข้าสู่สภาภายในสมัยประชุมสามัญทั่วไป ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนมกราคมนี้ เพื่อที่จะได้สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น โดยขอร้องว่าอย่ามองเป็นเรื่องการทำเพื่อประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือผลประโยชน์ของใคร
"วันนี้ต้องถอยหลังทั้งหมด แล้วนับศูนย์ใหม่ รวมไปถึงคดีของกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วย เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายหันหน้ากลับเข้ามาปรองดองกัน ดีกว่าปล่อยไว้ และมีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้น" นายประชา กล่าว
***ศาลห้ามSCBโอนเงินให้สรรพากร
ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ ว่า วานนี้ (20 พ.ย.) ศาลฯ โดย น.ส.อมรา สัจจาสัย ตุลาการศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวนคดีดำหมายเลขที่ 1328/2551 มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ให้ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)SCB ระงับการส่งเงินในบัญชีเงินฝากของนายพานทองแท้ และ นส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) มีคำสั่งวันที่ 11 มิ.ย.50 ให้อายัดเงินในบัญชีฝากธนาคารที่ครอบครัว บุตร บริวาร ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)SHIN ให้แก่กองทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ กับกรมสรรพากร ผู้ถูกฟ้อง จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
โดยคดีนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ โดยนายวุฒิพงษ์ เวชยานนท์ ผู้รับอบอำนาจ ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร เป็นผู้ถูกฟ้องเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา เรื่องพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่ง ธนาคารไทยพาณิชย์ ขอให้ศาลทบทวนคำสั่งกรมสรรพากร ที่มีคำสั่งอายัดห้ามธนาคาร จำหน่าย จ่ายหรือโอนสิทธิ เรียกร้องเงินในบัญชีเงินฝากของนายพานทองแท้ และนส.พินทองทา และมีคำสั่งให้ธนาคารนำส่งเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร เพื่อชำระค่าภาษีอากรค้าง เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มที่คำนวณจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.50 ของนายพานทองแท้ จำนวน 6,075,498,993.21 บาทและ นส.พินทองทา จำนวน 6,075,236,235.38 บาท ซึ่งเป็นคำสั่งอายัดซ้อนกับคำสั่งอายัดของ คตส.
ทั้งนี้ ศาลปกครอง พิจารณาคำฟ้องและเอกสารที่ได้จากการไต่สวนคู่ความและบทบัญญัติกฎหมายแล้ว ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนว่า คำสั่งอายัดของ คตส. ลงวันที่ 11 มิ.ย.50 อาศัยอำนาจตามประกาศ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 ลงวันที่ 30 ก.ย.49 ส่วนคำสั่งอายัดของผู้ถูกฟ้อง อาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 จึงเห็นได้ว่า หน่วยงานทางปกครองทั้งสองแห่ง อาศัยอำนาจตามกฎหมายคนละฉบับออกคำสั่งอายัดในทรัพย์สินรายการเดียวกัน
โดยปรากฏภายหลังที่ คตส. มีคำสั่งอายัดแล้ว เมื่ออัยการสูงสุด ได้ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจำเลย ว่าร่ำรวยผิดปกติ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ขอให้ทรัพย์สินที่ คตส. สั่งอายัดไว้ พร้อมทั้งดอกเบี้ยของทรัพย์สินดังกล่าว ตกเป็นของแผ่นดิน และขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาฯ โดยยังไม่มีการเพิกถอนคำสั่งคตส.
ขณะที่ผู้ฟ้องยังรักษาเงินในบัญชีเงินฝากของบุคคลทั้งสอง ประมาณ 30,000 ล้านบาทไว้ก่อนโดยให้ผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย ซึ่งจากการไต่สวนยังพบว่าผู้รับมอบอำนาจของผู้ถูกฟ้อง ให้ถ้อยคำต่อศาลว่า นายพานทองแท้ และ นส.พินทองทา ผู้ค้างภาษี ได้อุทธรณ์การประเมินภาษีต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งคณะกรรมการฯมีอำนาจวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงจำนวนภาษีและเบี้ยปรับได้
จึงเห็นว่าหากผู้ฟ้องจะส่งเงินในบัญชีเงินฝากให้กับผู้ถูกฟ้อง หรือระงับการส่งเงินให้ผู้ถูกฟ้อง ย่อมอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดี เนื่องจากทั้ง คตส.และผู้ถูกฟ้องต่างออกคำสั่งอายัดทรัพย์รายการเดียวกันโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ผู้ฟ้องจึงอยู่ในฐานะยากลำบากต่อการปฏิบัติทางใดทางหนึ่ง ประกอบกับขณะนี้คดีที่เกี่ยวพันกับการบังคับทรัพย์สินดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองและศาลฎีกาฯ
ดังนั้นหากให้ผู้ฟ้อง ส่งเงินในบัญชีเงินฝากนายพานทองแท้ และ นส.พินทองทา ที่ถูก คตส. อายัดไว้ให้กับผู้ถูกฟ้อง แล้วถ้าภายหลังผู้ฟ้องต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ อาจเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ฟ้อง ซึ่งยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลังเนื่องจากเป็นเงินจำนวนสูงมาก อีกทั้งหากศาลปกครองมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีผลกระทบต่อการบริหารงานของรัฐ กรณีจึงมีเหตุอันสมควรที่ศาลจะกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษาตามคำขอผู้ฟ้องคดี
ศาลจึงมีคำสั่งให้ธนาคารไทยพาณิชย์ระงับการส่งเงินในบัญชีเงินฝากของนายพานทองแท้ และ นส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งถูก คตส. มีคำสั่งวันที่ 11 มิ.ย.50 อายัด ให้กับกรมสรรพากร จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น.