"ศาลปกครอง" สั่งคุ้มครองชั่วคราว "ธ.ไทยพาณิชย์" ห้ามส่งเงินในบัญชี "โอ๊ค-เอม" จ่ายภาษีสรรพากร 1.2 หมื่นล้านบาท จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาคดีธนาคารร้องขอเพิกถอนคำสั่ง "กรมสรรพากร" ออกคำสั่งอายัดทรัพย์ซ้ำซ้อน คตส.
วันนี้ ( 20 พ.ย.) ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ระงับการส่งเงินในบัญชีเงินฝากของนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท ที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) สั่งให้อายัดเงินครอบครัว บุตร และบริวาร พ.ต.ท.ทักษิณ กรณีการขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้แก่กองทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2550 แก่กรมสรรพากร จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
คำสั่งศาลปกครองฯ ระบุว่า หากให้ผู้ฟ้องส่งเงินในบัญชีเงินฝากของนายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา ที่ถูก คตส.อายัดไว้ให้กับผู้ถูกฟ้องแล้ว ถ้าภายหลังผู้ฟ้องต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ อาจเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ฟ้อง ซึ่งยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลังเนื่องจากเป็นเงินจำนวนสูงมาก อีกทั้งหากศาลปกครองมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวแล้วก็ไม่ปรากฏว่าจะมีผลกระทบต่อการบริหารงานของรัฐ กรณีจึงมีเหตุอันสมควรที่ศาลจะกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษาตามคำขอผู้ฟ้องคดี
ศาลฯ ยังเห็นว่า หากธนาคารไทยพาณิชย์ จะส่งเงินในบัญชีเงินฝากให้กับกรมสรรพากร หรือระงับการส่งเงินให้กรมสรรพากรย่อมอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดี เนื่องจากทั้ง คตส.และกรมสรรพากรต่างออกคำสั่งอายัดทรัพย์รายการเดียวกันโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ธ.ไทยพาณิชย์ จึงอยู่ในฐานะยากลำบากต่อการปฏิบัติทางใดทางหนึ่ง ประกอบกับขณะนี้คดีที่เกี่ยวพันกับการบังคับทรัพย์สินดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
คดีนี้ ธ.ไทยพาณิชย์ ยื่นฟ้องเรื่องพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไทยพาณิชย์ขอให้ศาลทบทวนคำสั่งกรมสรรพากรที่ให้อายัดห้ามธนาคาร จำหน่าย จ่ายหรือโอนสิทธิ เรียกร้องเงินในบัญชีเงินฝากของนายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา และมีคำสั่งให้ ธ.ไทยพาณิชย์ นำส่งเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร เพื่อชำระค่าภาษีอากรค้าง เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มที่คำนวณจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.50 ของนายพานทองแท้ จำนวน 6,075,498,993.21 บาท และนางสาวพิณทองทา จำนวน 6,075,236,235.38 บาท ซึ่งเป็นคำสั่งอายัดซ้อนกับคำสั่งอายัดของ คตส.
ทั้งนี้ ศาลปกครองพิจารณาคำฟ้องและเอกสารที่ได้จากการไต่สวนคู่ความและบทบัญญัติกฎหมายแล้ว ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนว่า คำสั่งอายัดของ คตส.ลงวันที่ 11 มิ.ย.50 อาศัยอำนาจตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 ลงวันที่ 30 ก.ย.49 ส่วนคำสั่งอายัดของกรมสรรพากรอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 จึงเห็นได้ว่า หน่วยงานทางปกครองทั้งสองแห่งอาศัยอำนาจตามกฎหมายคนละฉบับออกคำสั่งอายัดในทรัพย์สินรายการเดียวกัน
ปรากฏภายหลังที่ คตส.มีคำสั่งอายัดแล้ว เมื่ออัยการสูงสุดได้ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจำเลยว่าร่ำรวยผิดปกติ ต่อศาลฎีกาฯ ได้ขอให้ทรัพย์สินที่ คตส. สั่งอายัดไว้ พร้อมทั้งดอกเบี้ยของทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน และขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ฯ โดยยังไม่มีการเพิกถอนคำสั่งของ คตส.
ขณะเดียวกัน ธนาคารไทยพาณิชย์ ยังคงรักษาเงินในบัญชีเงินฝากของบุคคลทั้งสองประมาณ 30,000 ล้านบาทไว้ก่อนโดยให้ผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย ซึ่งจากการไต่สวนยังพบว่าผู้รับมอบอำนาจของธนาคารให้ถ้อยคำต่อศาลว่า นายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา ผู้ค้างภาษี ได้อุทธรณ์การประเมินภาษีต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งคณะกรรมการฯ มีอำนาจวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงจำนวนภาษีและเบี้ยปรับได้