อัยการ ชี้ “แม้ว หย่า อ้อ” ไม่มีผลต่อคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ระบุ คดีนี้ “แม้ว” เป็นจำเลยเพียงคนเดียว ตามมติของ คตส.ที่ชี้มูลความผิดว่าร่ำรวยผิดปกติจากการขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเส็ก
วันนี้ (17 พ.ย.) นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูงเขต 8 ในฐานะคณะทำงานรับผิดชอบว่าความ คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จดทะเบียนหย่ากับ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ว่า การจดทะเบียนหย่าของทั้งสองคนไม่มีผลต่อคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด เนื่องจากคดีนี้อัยการยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นจำเลยเพียงคนเดียว ตามมติของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ชี้มูลความผิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยผิดปกติจากการขายหุ้นให้กับกลุ่มทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ ที่แม้จะโอนหุ้นให้กับบุคคลธรรมดา นิติบุคคล และห้างหุ้นส่วนต่างๆ แล้ว แต่ก็ยังมีการกระทำแทนในลักษณะของนอมินี และปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง ไม่ได้ยื่นฟ้องคุณหญิงพจมาน อีกทั้งตอนต้นทั้งสองไม่ได้แจ้งกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า เป็นทรัพย์สินของตนเอง แต่ได้แจ้งว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้โอนไปให้กับบุตรชาย บุตรสาว ญาติสนิทใกล้ชิด และบุคคลอื่นก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งทางการเมือง จึงไม่มีชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เป็นเจ้าของทรัพย์
“ประเด็นการหย่าแล้วจะเป็นเหตุผลให้คุณหญิงพจมาน ยื่นคำร้องค้านและขอให้ศาลฎีกาฯสั่งแยกทรัพย์สินในส่วนของตัวเองออกจากส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่ได้ เพราะทั้งสองเคยให้การกับ ป.ป.ช.ว่า ได้โอนขาดหรือโอนพราง หรือขายให้โดยมีค่าตอบแทนไปแล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะต้องพิสูจน์ ส่วนคุณหญิงพจมาน อาจจะมาเป็นพยานให้ก็ได้ รวมทั้งการหย่าแม้จะทำให้ทั้งสองสามารถทำนิติกรรมเพียงลำพังได้ แต่ก็ไม่สามารถยื่นคำร้องของเพิกถอนทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ได้ เพราะขณะนี้ คตส.นั้นไม่มีสถานะภาพแล้ว ส่วน ป.ป.ช.ก็เคยวินิจฉัยว้าแล้วว่าไม่มีอำนาจที่จะเพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สิน ซึ่งธนาคารพาณิชย์หรือหน่วยงานที่อายัดทรัพย์ไว้คงไม่กล้าดำเนินการอะไร จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดก่อน” นายนันทศักดิ์ กล่าว
นายนันทศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ประกาศลงในหนังสือพิมพ์ ให้บุคคลธรรมดา นิติบุคคล และห้างหุ้นส่วนต่างๆ ที่เป็นผู้มีชื่อครอบครองบัญชีในธนาคาร หรือทรัพย์สินตามคำร้องที่อัยการขอให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ได้ยื่นคำร้องคัดค้าน เพื่อพิสูจน์ความเป็นเจ้าของและการได้มาซึ่งทรัพย์สินแล้ว แต่ยังไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้มีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินรายใดได้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลฎีกาฯไปแล้วหรือไม่ โดยคดีนี้ศาลนัดพร้อมคู่ความรวมทั้งผู้ร้องคัดค้านเพื่อยื่นบัญชีรายชื่อพยานและกำหนดประเด็นนำสืบในวันที่ 25 ธันวาคม นี้ เวลา 10.00 น.