xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

เวทีนโยบาย:สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพวีรชน

เผยแพร่:   โดย: ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ

กล่าวถึงที่สุด พัฒนาการของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนับเป็นการผสานอารยะขัดขืนแนวปฏิวัติ (Revolutionary civil disobedience) ที่มุ่งมั่นบั่นทอนระบอบการเมืองอยุติธรรมด้วยการสร้างการเมืองใหม่ไร้ทุจริตคอร์รัปชันเข้ากับอารยะขัดขืนเชิงป้องกัน (Defensive civil disobedience) เพื่อพิทักษ์ธำรงระบอบการเมืองการปกครองเดิมอันชอบธรรมให้พ้นภัยจากระบอบใหม่ไม่ชอบธรรม

ปรากฏการณ์มวลมหาประชาชนพันธมิตรฯ จึงไม่ใช่แค่การรวมตัวกันของพลเมือง (Citizens) ที่ปฏิเสธอำนาจรัฐผ่านวิธีการเปิดเผยและสันติเท่านั้น ด้วยขณะเดียวกันยังได้ทำหน้าที่ของชนชาวไทยตามมาตรา 70 แห่งรัฐธรรมนูญ 2550 พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นหลักการคงเดิมตามรัฐธรรมนูญ 2540 ที่บัญญัติครั้งแรกไว้ในรัฐธรรมนูญ 2492

ด้วยนับแต่บัญญัติรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทยมานั้นยังไม่มีห้วงยามใดวิกฤตเท่าปัจจุบัน แม้นช่วงผ่านมาจะมีภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์และรัฐบาลเผด็จการทหาร หากสุดท้ายก็ไม่แผ้วพานหนักหนาสาหัสเท่า

ภายใต้บริบทประชาธิปไตย พันธมิตรฯ มีความชอบธรรมกระทำอารยะขัดขืนเข้มข้นสุดด้วยการประกาศสงครามครั้งสุดท้ายกับรัฐบาลขาดความชอบธรรม ไม่เชื่อฟังกฎหมายใต้อาณัติอิทธิพลรัฐตำรวจ (Police state) ในอุ้งมือนักการเมืองเถื่อน เนื่องจากพันธกิจผูกพันกับกฎเกณฑ์ศีลธรรมซึ่งสูงส่งกว่ากฎหมายที่มนุษย์ด้วยกันตราขึ้นและนำมากลั่นแกล้งกล่าวหาว่าเป็น ‘กบฏ’ แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับการลงโทษจากรัฐข้อหาอื่นๆ ถ้าผ่านกระบวนการยุติธรรม ละม้ายมหาตมะ คานธีที่ปฏิบัติตามคำสั่งแห่งความผิดชอบชั่วดีแทนที่กฎหมายอังกฤษ

การยกระดับกลุ่มกดดันทางสังคม (Pressure group) เป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (Social movement) อริยะแนวราบที่ทุ่มเทยึดโยงสำนึกยุติธรรมของผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเมืองเข้าด้วยกันนั้นนับวันจะหลอมรวมชนชั้นกลางแตกปัจเจกจนกลายเป็นมวลชนหนึ่งเดียวที่มีขนาดกลุ่ม สถานภาพสังคม ความสามัคคี และความเป็นผู้นำ ครบถ้วน กระทั่งสัประยุทธ์รัฐบาลตัวจริง-นอมินี-แฟมิลี่ได้

กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายในนามศีลธรรมที่เหนือกว่าเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองให้ดีขึ้นด้วยสันติวิธี (Nonviolent) โดยปัจเจกผู้ตระหนักบทบาทอำนาจของตนเอง

ทว่าก้าวย่างมรรคาอารยะขัดขืนภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่รัฐบาลอ้างเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งข่มขู่คุกคามคนเห็นต่าง การพลัดพรากพิการบาดเจ็บจึงเกิดแก่กลุ่มต่อต้านคัดค้านทั้งจากการกระทำของกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐผู้สอพลอนักการเมือง และประชาชนผู้ทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของตัวเองเป็นศัตราวุธสังหารศัตรูการเมือง (Political enemies) ของนักการเมือง

แม้ธรรมดาประชาชนถูกนิยามว่ายืนอยู่ตรงข้ามอำนาจรัฐ หากกระนั้นปัจจุบันกงล้อประวัติศาสตร์ 6 ตุลาไทยฆ่าไทยก็กำลังกลับมาบดขยี้จิตวิญญาณประเทศชาติอีกคราจากการสถาปนาประชาชนเป็นกลไกรัฐไล่ล่าสังหารคนไทยอีกฟากฝั่ง ดังกลุ่มกระทิงแดง นวพล และลูกเสือชาวบ้านก่ออาชญากรรมล้อมปราบนักศึกษาธรรมศาสตร์ยามรุ่งอรุณเมื่อ 3 ทศวรรษที่แล้ว

ประชาชนของอดีตเหล่านั้นสมัครใจเป็นกลไกรัฐด้วยอุดมการณ์ทางการเมือง เหมือนดังเหตุการณ์เฉพาะหน้าสังคมไทยวันนี้ที่มวลชนเสื้อแดงผู้จงรักภักดีรัฐบาลกำลังจะกระทำตัวเป็นกลไกรัฐเสียเองด้วยการลงมือจัดการกับมวลมหาชนตรงข้ามด้วยความรุนแรงเลียนแบบรัฐที่เป็นผู้ผูกขาดความรุนแรงผ่านกลไกกฎหมายและข้ออ้างรักษาความสงบสุขเรียบร้อยของสังคม ตลอดจนยังถูกกระตุ้นหนักหน่วงจากเงื่อนไขให้ประชาชนปะทะกันเองของรัฐด้วย

ต่างแต่ว่ามวลม็อบเสื้อแดง แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกองกำลังประชาธิปไตยที่จะถูกจัดตั้งขึ้นโดยยึดโยงกับพรรคการเมืองเพื่อสร้างความหวาดกลัวและข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม (Deterrence) จักไม่อาจอธิบายการกระทำของตัวเองด้วยกรอบหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งบังคับบัญชาเฉกเช่นเจ้าหน้าที่รัฐได้ ไม่เหมือนตำรวจที่อธิบายเหตุการณ์สลายกลุ่มผู้ชุมนุมหน้ารัฐสภา 7 ตุลาคม 2551 ว่าเพราะมีคำสั่งนักการเมือง

ประชาชนถ้าไม่ ‘สมัครใจ’ ใครก็บังคับข่มขู่ให้ลุกมาฆ่าคนไทยด้วยกันเองไม่ได้ หรือยังอยากอุปโลกน์ตัวเองเป็นพลเมืองดีมือเปื้อนเลือดยินดีปรีดาประหัตประหารประชาชนเช่นเดียวกันกับตนเองเพื่อปกปักภักดีรัฐอาชญากรทรราช!?

การกร้าวประกาศสงครามประชาชนแท้จริงจึงเป็นเกมอำนาจของนักการเมืองผู้ไม่ยอมรับผิด อาฆาตแค้นแฝงเร้นเจตนาเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเพื่อจะกลับมากุมอำนาจผ่านเกมบนดินใต้ดิน ดังถ้อยแถลงการณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ส่งให้สื่อต่างประเทศตอนหนึ่งว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผม ล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงขับเคลื่อนทางการเมืองซึ่งเป็นการสมคบกันของบรรดาชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ (Privileged elites) ทั้งหลายผู้เชื่อในทุกสิ่งอย่าง ยกเว้นประชาธิปไตย

ทั้งๆ สิ่งเกิดขึ้นเป็นผลพวงจากความย่ามใจในอำนาจตนเองจนกระทำการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ละเมิดจริยธรรมเลือกประโยชน์ส่วนตัวที่ได้มาจากการเสียไปซึ่งประโยชน์สาธารณะ

แทนจะสำนึกกฎแห่งกรรม กลับก่อกรรมมหันต์ซ้ำ เชิดชักรัฐบาลให้ไปชักใยประชาชนอีกต่อหนึ่งด้วยการสร้างความเกลียดกลัวอย่างรุนแรงกับพันธมิตรฯ ว่าเป็นอนาธิปไตยไม่เคารพกติกาประชาธิปไตย แล้วก็สถาปนาตนเองเป็นผู้ปกป้องรักษาประชาธิปไตยถึงต้องใช้ความรุนแรงเถื่อนถ่อยก็ต้องทำภายใต้บรรยากาศพยักหน้าเห็นชอบของประชาชนที่ถูกปลุกปั่นจากนักการเมือง นักวิชาการ และนักเคลื่อนไหวจนหวาดกลัวพันธมิตรฯ มากว่าจะทำลายหลักประชาธิปไตย

เมื่อความกลัวกลายเป็นชิงชังรังเกลียด ปรปักษ์จักต้องขจัดออกไปไม่ว่าจะใช้ความเฉียบขาดรุนแรงละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าใด ระหว่างรุกรับรบในอาณาจักรแห่งความกลัวที่รัฐสถาปนาขึ้นมาเพื่อระดมความเกลียดกลัวเช่นนี้ พันธมิตรฯ ผู้ปวารณาตัวบนมรรคาอารยะขัดขืนเพื่อสร้างอารยะประชาธิปไตยจักต้องต่อกรทั้งกับรัฐบาลและมวลชนชื่นชมอำนาจนิยมด้วยพลังปัญญามากกว่าความรุนแรงแม้ทางข้างหน้าอันตรายปานใดก็ตาม

ด้วยถึงพันธมิตรฯ จะควบคุมกลุ่มตนเองให้ยึดมั่นศรัทธาสันติอหิงสา ทว่าหากมวลชนตรงข้ามมีเจตนาปะทะ เคลื่อนมาประชิดตามแรงรุกเร้า เลือดนองแผ่นดินเกิดแน่ และพ่ายแพ้สูญเสียจักเกิดกับสองฝ่าย ชัยชนะจะตกเป็นของนักการเมืองเบื้องหลังผู้อำมหิตเห็นประชาชนเป็น ‘เบี้ย’

พันธมิตรฯ ผู้ปัดปฏิเสธการใช้ความรุนแรงมาตลอดหากเผชิญการคุกคามจักต้องกุมหัวใจให้เข้มแข็ง เพราะสงครามความขัดแย้งเขม็งเกลียวนี้ต้องการยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่อยู่เหนืออารมณ์และอดีตคับแค้น ไม่เช่นนั้นจะเดินกลยุทธ์ผิดพลาดเพราะทอนตัวเองเป็นอาวุธเหมือนฝั่งตรงข้าม

การก้าวข้ามความเกลียดกลัวด้วยสติปัญญานับว่าจำเป็นยิ่งในสมรภูมินี้ เพราะถึงที่สุดแล้วเมื่อประชาชนซัดสาดศัตราวุธใส่กันอย่างบ้าคลั่งนั้น ความเป็นวีรชนจะไม่ส่องประกายโดดเด่นเป็นสง่ามีความชอบธรรมเข้าทำเนียบวีรชนเท่าตอนหักหาญกับรัฐ ทั้งยังมิเอ่ยว่าการช่วงชิง ‘วีรกรรมวีรชน’ จากมวลชนสองฟากฝั่งจะเป็นไปอย่างแหลมคมยิ่งนัก

ถึงเวลาแล้วสังคมไทยต้องเอกฉันท์เลี่ยงมายาภาพวีรชนอาชญากรรมคร่าคนไทยด้วยกันเอง

กระนั้นสังคมไทยในห้วงยามผู้เคยครองอำนาจรัฐแผ่รังสีสงครามอาฆาตเคียดแค้น การสิ้นสุดนับศพวีรชนแค่วันนี้จึงไร้ค่าด้วยอนาคตคงต้องจารจดวีรชนทบทวีทุกๆ เดือน เหมือนเคยมีวีรชนคนเดือนตุลา พฤษภา มาแล้ว เพียงแต่ว่าครานี้จะอีหลักอีเหลื่อยิ่งกว่าเมื่อไทยฆ่าไทยจะมหาศาลทั้งปริมาณและปริมณฑลแตกหัก.-

คอลัมน์เวทีนโยบายสาธารณะ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org
กำลังโหลดความคิดเห็น