อธิบดีอัยการต่างประเทศ ยันไทย-กัมพูชา มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนเช่นเดียวกับอังกฤษ ขอตัว “วัฒนา” มาลงโทษได้ ส่วนกรณี “แม้ว-เมีย” ข้อเท็จจริงของคดีต่างจากคดีของ “ปิ่น จักกะพาก” แต่ต้องทำการบ้านหนัก
วันนี้ (20 ส.ค.) นายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า รัฐบาลไทยกับกัมพูชาไม่มีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกันทำให้อาจมีปัญหาในการขอตัวนายวัฒนา อัศวเหม จำเลยคดีทุจริตโครงการสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งจำคุก 10 ปี ว่า ผู้ที่ให้ข่าวคงเข้าใจข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน เนื่องจากตนได้ตรวจสอบชัดเจนแล้วว่าไทยกับกัมพูชามีสนธิสัญญาระหว่างกันโดยราชอาณาจักรไทย กับราชอาณาจักรกัมพูชา ลงวันที่ 6 พ.ค. ค.ศ.1998 โดยนายสาโรจน์ ชวารัตน์ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ (ขณะนั้น) กับ ฯพณฯ อุน เชน อาน รมว.ต่างประเทศกัมพูชา ดังนั้นอัยการจึงสามารถขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากเขมรได้
นายศิริศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับภริยานั้นก็มีสนธิสัญญาระหว่างกรุงสยาม กับราชอาณาจักรอังกฤษ ค.ศ.130 ประกอบ พ.ร.บ.ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนพ.ศ.2472 และฉบับแก้ไขพ.ศ.2551
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลไทยเคยขอตัว นายปิ่น จักกะพาก อดีตผู้บริหารเงินทุนหลักทรัพย์ฟินวันแล้วมีอุปสรรคอย่างไร และหาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะอาศัยบทเรียนดังกล่าวเป็นข้อต่อสู้จะทำอย่างไร นายศิริศักดิ์ กล่าวว่า คดีนายปิ่น ศาลชั้นต้นอังกฤษมีคำสั่ง ให้ส่งตัว แต่ศาลอุทธรณ์กลับพิเคราะห์ลงไปว่า พฤติกรรมของนายปิ่น ไม่เป็นการยักยอกทรัพย์ เป็นคำพิพากษานอกเหนือไปจากคำขอ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่กฎหมายอังกฤษทำให้เราไม่อาจยื่นฎีกาต่อไปได้ ข้อเท็จจริงระหว่างสองคดีนี้ต่างกัน ขณะนี้อัยการอยู่ระหว่างรวบรวมพยานเอกสารที่ต้องใช้ และต้องประชุมหาข้อบกพร่องทุกระยะ