“จงรัก” หมดหนทางนำ “วัฒนา” กลับมารับโทษ หลังศาลตัดสินมีความผิดคดีทุจริตโครงการบำบัดน้ำเสียคลองด่าน เชื่อการการเจรจาส่งตัวกลับทำได้ยาก ติดที่สนธิสัญญาที่ทำร่วมกับกัมพูชา แต่พร้อมส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการหาช่องทางอื่นต่อ
วันนี้ (19 ส.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.(ปป.3) กล่าวถึงความคืบหน้าในการติดตามตัวนายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อแผ่นดิน หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่ามีความผิดคดีทุจริตโครงการบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ว่า จากการประชุมหารือเพื่อนำตัวนายวัฒนาจากประเทศกัมพูชามาลงโทษในประเทศไทย นั้นตามสนธิสัญญาการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนที่ไทยได้ทำร่วมกับประเทศกัมพูชานั้นมีประกาศบังคับใช้ซึ่งมีผลหลังจากสนธิสัญญาบังคับใช้เท่านั้นคือเมื่อวันที่ 1 เม.ย.พ.ศ.2544
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม จากคำพิพากษาของศาลปรากฏว่าความผิดของนายวัฒนากระทำขึ้น 2 ช่วง คือ ระหว่างวันที่ 10 ส.ค.2531 ถึง 23 ก.พ.2534 และวันที่ 21 เม.ย.2535 ถึง 15 มิ.ย.2538 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่สนธิสัญญาบังคับใช้ เมื่อพิจารณาแล้วจึงไม่สามารถใช้สนธิสัญญาร้องขอประเทศกัมพูชาให้ส่งตัวนายวัฒนากลับมาดำเนินคดีได้ ซึ่งต่อจากนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะส่งเรื่องไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการต่อ โดยอาจหาช่องทางอื่นเพื่อเจรจาในเรื่องผลต่างตอบแทนเพื่อแลกเปลี่ยนในการนำตัวนายวัฒนากลับมาดำเนินคดี
“นายวัฒนามีธุรกิจและลงทุนในประเทศกัมพูชามาเป็นเวลานาน จนมีบ่อนกาสิโนถึง 2 แห่ง จึงมีความสนิทสนมกับนักการเมืองและนักธุรกิจในกัมพูชา คาดว่าการเจรจาเพื่อส่งตัวกลับจึงทำได้ค่อนข้างยาก เพราะสามารถอ้างได้ว่าความผิดมีผลก่อนสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนบังคับใช้” รอง ผบ.ตร.กล่าว
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า ทั้งนี้ก็มีเป็นไปได้ว่านายวัฒนาจะเดินทางออกจากกัมพูชา เพราะมีผู้พบเห็นปรากฏตัวอยู่ที่มาเก๊าเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เพราะเมื่ออยู่ประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศไทยก็สามารถเดินทางไปประเทศใดก็ได้ แต่เป็นการปรากฏตัวชั่วคราว การไปยื่นเรื่องคงไม่ทันการณ์ แต่เชื่อว่านายวัฒนายังอยู่ในประเทศกัมพูชาเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากมีธุรกิจที่นั่น