ปลัดยุติธรรม ชี้แนะรัฐควรคุมเข้มระบบเข้า-ออกประเทศให้มีประสิทธิภาพ ป้องกันผู้ต้องหาข้ามพรมแดนหนีคดีอาญา ส่วน “วัฒนา อัศวเหม” ต้องรอศาลพิพากษาก่อน หากศาลพิพากษามีความผิดจริง ขั้นตอนการขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนจะเดินหน้าทันที
วันนี้ (15 ก.ค.) นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่นายวัฒนา อัศวเหม ประธานพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ถูกออกหมายจับหลังไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน โดยหลบหนีไปอยู่ปอยเปต ประเทศกัมพูชาว่า ขณะนี้ยังไม่ถือว่านายวัฒนากระทำความผิดคดีทุจริต เนื่องจากศาลยังไม่มีคำพิพากษา จึงต้องรอให้ศาลมีคำพิพากษาก่อน หากศาลพิพากษาว่านายวัฒนามีความผิดจริง ขั้นตอนการขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนจะเดินหน้าทันที โดยตำรวจจะประสานไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด และพิจารณาว่าไทย และกัมพูชา มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน หากไม่มีจะต้องประสานการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ผู้ต้องหาเข้าไปลงทุนทำธุรกิจในต่างประเทศ ทำให้การส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนลำบากขึ้นหรือไม่ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ทั้ง 2 ประเทศคู่สัญญาจะพิจารณาว่าเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายของทั้ง 2 ประเทศหรือไม่ อาจต้องพิจารณาในเบื้องต้นว่ากระทำผิดจริงหรือไม่กระทำผิดในข้อหาใด เป็นความผิดที่จำเป็นต้องส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ เมื่อพิจารณาแล้วว่าเข้าข่ายจะต้องดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป โดยประเทศที่ว่าผู้ต้องหาจะเข้าไปลงทุนทำธุรกิจใดๆ ไม่ถือเป็นเหตุผลที่จะไม่ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน
ผู้สื่อข่าวถามว่า นักการเมืองส่วนใหญ่ที่ถูกดำเนินคดีอาญามักหลบหนีทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า จะต้องพยายามทำเรื่องระบบการเข้า-ออกประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยมีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านหลายช่องทาง ซึ่งทุกประเทศจะต้องหาทางแก้ไขร่วมกันเนื่องจากทุกประเทศมีปัญหาผู้ร้ายหลบหนีข้ามแดน เพื่อให้มีกลไกนำตัวมารับโทษในประเทศ