ตลาดหุ้นไทยไร้ทิศทางรอผลการพิจารณาแผนฟื้นฟูวิกฤตสถาบันการเงิน สหรัฐฯ ปิดที่ 597.69 จุด เพิ่มขึ้น 3.24 จุด ขณะที่นักลงทุนปรับพฤติกรรมหันมาเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กแทน ส่งผลให้ “TRUE-GSTEEL-SINGHA” วอลุ่มคึกคักติดทอปเท็น “ธีระชัย” มั่นใจแผนกู้วิกฤตจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ส่วนโบรกเกอร์ เผยสหรัฐฯ อาจต้องใช้เวลากู้วิกฤตการเงินนานถึง 4 ปี พร้อมสั่งจับตาแนวรับสำคัญที่ 570 จุด ด้านรมว.คลังเงา “กรณ์” ตั้งข้อสังเกตบทบาทหน้าที่ตลาดหุ้นไทยในการจัดตั้งกองทุนแมทชิ่งฟันด์
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (2 ต.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้น-ลงอยู่ในกรอบแคบๆ ทั้งแดนบวกและแดนลบ แม้วุฒิสภาของสหรัฐฯ ได้อนุมัติแผนฟื้นฟูวิกฤตสถาบันการเงิน มูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ แต่นักลงทุนยังมีความกังวลว่าจะไม่ผ่านการพิจารณาของสภาคองเกรส เหมือนกับการประชุมในครั้งที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนต่างรอดูสถานการณ์อีกครั้ง
โดยดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปเคลื่อนไหวเหนือระดับ 600 จุด คือจุดสูงสุดที่ 601..46 จุด และต่ำสุด 595.24 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 597.69 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 3.24 จุด หรือคิดเป็น 0.55% มูลค่าการซื้อขาย 10,369.32 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิออกมากว่า 744.69 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 35.38 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 709.32 ล้านบาท
สำหรับหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด 10 อันดับแรกนั้น ได้มีหุ้นขนาดเล็กติดอันดับถึง 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ราคาปิดที่ 3.00 บาท ลดลงจากวันก่อน 0.60 บาท หรือคิดเป็น 17.58% มูลค่าการซื้อขายรวม 751.42 ล้านบาท บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL ปิดที่ 1.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่า 428.19 ล้านบาท และบริษัท สิงห์ พาราเทค จำกัด (มหาชน) หรือ SINGHA ปิดที่ 0.63 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 13.70% มูลค่าการซื้อขายรวม 323.41 ล้านบาท
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต.) กล่าวว่า จากการที่วุฒิสภาสหรัฐฯ อนุมัติแผนฟื้นฟูสถาบันการเงิน มูลค่า 7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนและจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะมาตรการดังกล่าวจะช่วยระบบการเงินของสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการผ่อนคลายปัญหาที่เกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ การดำเนินการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินนั้นคงไม่ช้าเกินไป และเชื่อว่าสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯจะอนุมัติแผนฟื้นฟูภาคการเงินของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะทำให้สร้างความมั่นใจแกประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯกลับมาจากที่รัฐบาลมีการดูแลปัญหาที่ดี และคาดว่า นักลงทุนต่างประเทศจะมีการขายหุ้นไทยออกมาเพื่อนำเงินไปเพิ่มสภาพคล่องในประเทศของตน
“ผมเชื่อว่าหากต่างชาติเทขายหุ้นออกมา ถือเป็นจังหวะที่นักลงทุนไทยจะเข้าไปลงทุน เพราะนักลงทุนไทยยังมีเงินออมมากพอที่จะเข้าไปซื้อหุ้น รวมทั้งตลาดหุ้นไทยเองยังมีศักยภาพและน่าสนใจเข้าไปลงทุน หลังจากช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ได้ปรับตัวขึ้นสูงมาก หรือปรับตัวลดก็ไม่มาก หากเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน ดังนั้นนักลงทุนไทยจึงไม่ความตื่นตระหนกกับปัญหาดังกล่าว”
***กรณ์ตั้งข้อสังเกต “แมทชิ่งฟันด์”
นายกรณ์ จาติกวณิช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อนุมัติการจัดตั้งกองทุนร่วมทุน (แมทชิ่งฟันด์) ว่า มูลค่ากองทุนหลักแค่พันล้านบาท ถือเป็นจำนวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะที่ตั้งแต่ต้นปี 51 ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นไทยออกมาแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท จึงไม่ทราบวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนแมทชิ่งฟันด์ดังกล่าว และไม่แน่ใจจะช่วยเหลือได้อย่างไร รวมทั้งไม่มั่นใจในเป็นหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการเข้าเก็งกำไรหรือไม่
นายวิวัฒน์ เดชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ภายหลังวุฒิสภาอนุมัติผ่านร่างนโยบายการแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเงินมูลค่า 7 แสนล้านเหรียญ ของรัฐบาลสหรัฐฯ
ขณะที่แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ให้จับตาผลการประชุมของสภาคองเกรส สหรัฐฯ ว่าจะอนุมัติแผนแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเงินมูลค่า 7 แสนล้านบาทหรือไม่ ให้แนวรับที่ 595 จุด และแนวต้านที่ 603-605 จุด ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวนการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวในกรอบแคบๆ เนื่องจากวุฒิสภา สหรัฐฯ อนุมัติร่างนโยบายการแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเงินมูลค่า 7 แสนล้านเหรียญ และคาดว่าวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทย จะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยแนวรับที่ 585-590 จุด และแนวต้านที่ 600-605 จุด ดังนั้นนักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน
นายณัฐวัฒน์ อ้นรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บีที กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา อาจต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ปีถึงจะแก้ปัญหาได้ ซึ่งควรรอดูผลประกอบการในไตรมาส 3 ของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ว่าจะเป็นอย่างไร และสถาบันการเงินในประเทศอังกฤษ คาดว่าจะมีปัญหาสภาพคล่อง
“หากดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถยืนแนวรับที่ 570 จุดได้ จะสามารถพลิกกลับมาอยู่ที่ดีดเพิ่มขึ้นได้ แต่ถ้าหากดัชนีตลาดหุ้นไทยหลุดแนวรับที่ 570 จุด แนะนักลงทุนชะลอการลงทุนออกไปก่อน ส่วนผู้ที่มีหุ้นอยู่แล้วให้ถือหุ้นต่อไประยะยาวประมาณ 1 ปีขึ้นไป”
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือSYRUS กล่าวว่า แม้ว่าสภาคองเกรสของสหรัฐฯ อนุมัติเงินแก้ไขปัญหาวิกฤตทางเงินมูลค่า 7 แสนล้านเหรียญอาจไม่เพียงพอ หากราคาบ้านลดลงเกิน 50%
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (2 ต.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้น-ลงอยู่ในกรอบแคบๆ ทั้งแดนบวกและแดนลบ แม้วุฒิสภาของสหรัฐฯ ได้อนุมัติแผนฟื้นฟูวิกฤตสถาบันการเงิน มูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ แต่นักลงทุนยังมีความกังวลว่าจะไม่ผ่านการพิจารณาของสภาคองเกรส เหมือนกับการประชุมในครั้งที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนต่างรอดูสถานการณ์อีกครั้ง
โดยดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปเคลื่อนไหวเหนือระดับ 600 จุด คือจุดสูงสุดที่ 601..46 จุด และต่ำสุด 595.24 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 597.69 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 3.24 จุด หรือคิดเป็น 0.55% มูลค่าการซื้อขาย 10,369.32 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิออกมากว่า 744.69 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 35.38 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 709.32 ล้านบาท
สำหรับหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด 10 อันดับแรกนั้น ได้มีหุ้นขนาดเล็กติดอันดับถึง 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ราคาปิดที่ 3.00 บาท ลดลงจากวันก่อน 0.60 บาท หรือคิดเป็น 17.58% มูลค่าการซื้อขายรวม 751.42 ล้านบาท บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL ปิดที่ 1.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่า 428.19 ล้านบาท และบริษัท สิงห์ พาราเทค จำกัด (มหาชน) หรือ SINGHA ปิดที่ 0.63 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 13.70% มูลค่าการซื้อขายรวม 323.41 ล้านบาท
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต.) กล่าวว่า จากการที่วุฒิสภาสหรัฐฯ อนุมัติแผนฟื้นฟูสถาบันการเงิน มูลค่า 7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนและจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะมาตรการดังกล่าวจะช่วยระบบการเงินของสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการผ่อนคลายปัญหาที่เกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ การดำเนินการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินนั้นคงไม่ช้าเกินไป และเชื่อว่าสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯจะอนุมัติแผนฟื้นฟูภาคการเงินของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะทำให้สร้างความมั่นใจแกประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯกลับมาจากที่รัฐบาลมีการดูแลปัญหาที่ดี และคาดว่า นักลงทุนต่างประเทศจะมีการขายหุ้นไทยออกมาเพื่อนำเงินไปเพิ่มสภาพคล่องในประเทศของตน
“ผมเชื่อว่าหากต่างชาติเทขายหุ้นออกมา ถือเป็นจังหวะที่นักลงทุนไทยจะเข้าไปลงทุน เพราะนักลงทุนไทยยังมีเงินออมมากพอที่จะเข้าไปซื้อหุ้น รวมทั้งตลาดหุ้นไทยเองยังมีศักยภาพและน่าสนใจเข้าไปลงทุน หลังจากช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ได้ปรับตัวขึ้นสูงมาก หรือปรับตัวลดก็ไม่มาก หากเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน ดังนั้นนักลงทุนไทยจึงไม่ความตื่นตระหนกกับปัญหาดังกล่าว”
***กรณ์ตั้งข้อสังเกต “แมทชิ่งฟันด์”
นายกรณ์ จาติกวณิช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อนุมัติการจัดตั้งกองทุนร่วมทุน (แมทชิ่งฟันด์) ว่า มูลค่ากองทุนหลักแค่พันล้านบาท ถือเป็นจำนวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะที่ตั้งแต่ต้นปี 51 ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นไทยออกมาแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท จึงไม่ทราบวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนแมทชิ่งฟันด์ดังกล่าว และไม่แน่ใจจะช่วยเหลือได้อย่างไร รวมทั้งไม่มั่นใจในเป็นหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการเข้าเก็งกำไรหรือไม่
นายวิวัฒน์ เดชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ภายหลังวุฒิสภาอนุมัติผ่านร่างนโยบายการแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเงินมูลค่า 7 แสนล้านเหรียญ ของรัฐบาลสหรัฐฯ
ขณะที่แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ให้จับตาผลการประชุมของสภาคองเกรส สหรัฐฯ ว่าจะอนุมัติแผนแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเงินมูลค่า 7 แสนล้านบาทหรือไม่ ให้แนวรับที่ 595 จุด และแนวต้านที่ 603-605 จุด ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวนการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวในกรอบแคบๆ เนื่องจากวุฒิสภา สหรัฐฯ อนุมัติร่างนโยบายการแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเงินมูลค่า 7 แสนล้านเหรียญ และคาดว่าวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทย จะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยแนวรับที่ 585-590 จุด และแนวต้านที่ 600-605 จุด ดังนั้นนักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน
นายณัฐวัฒน์ อ้นรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บีที กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา อาจต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ปีถึงจะแก้ปัญหาได้ ซึ่งควรรอดูผลประกอบการในไตรมาส 3 ของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ว่าจะเป็นอย่างไร และสถาบันการเงินในประเทศอังกฤษ คาดว่าจะมีปัญหาสภาพคล่อง
“หากดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถยืนแนวรับที่ 570 จุดได้ จะสามารถพลิกกลับมาอยู่ที่ดีดเพิ่มขึ้นได้ แต่ถ้าหากดัชนีตลาดหุ้นไทยหลุดแนวรับที่ 570 จุด แนะนักลงทุนชะลอการลงทุนออกไปก่อน ส่วนผู้ที่มีหุ้นอยู่แล้วให้ถือหุ้นต่อไประยะยาวประมาณ 1 ปีขึ้นไป”
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือSYRUS กล่าวว่า แม้ว่าสภาคองเกรสของสหรัฐฯ อนุมัติเงินแก้ไขปัญหาวิกฤตทางเงินมูลค่า 7 แสนล้านเหรียญอาจไม่เพียงพอ หากราคาบ้านลดลงเกิน 50%