หลายคนคงนึกไม่ถึงว่ารัฐบาล “น้องเขย” จะออกมาหน้าตาทุเรศทุรังได้ถึงเพียงนี้ แม้ว่าจะทำใจเอาไว้ล่วงหน้ามาแล้วว่าจะต้องมีแต่ประเภท “ยี้” ตบเท้าเข้ามาเป็นพรวน แต่บอกตรงๆว่าเมื่อเปิดโผออกมาจริงๆ ปรากฎว่าแทบช็อก เพราะเกินความคาดหมาย
นี่มันรัฐบาล “ไอ้เสือเอาวา” ประเภทรอ “ลักวิ่งชิงปล้น” กันชัดๆ !!
ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามมันทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เจตนาของคนที่เป็นนายกฯตัวจริงที่กำหนดสเป็กรัฐมนตรี วางตัวบุคคลมาจากลอนดอน ต้องการอะไรกันแน่
เพราะรู้ทั้งรู้ว่ารัฐมนตรีแต่ละคนที่พอเปิดรายชื่อออกมา คนจะรุมโห่กันทั้งบ้านเมือง ไล่เรียงกันไปตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว ล้วนไม่ได้มาตรฐาน มีแต่ไก่รองบ่อน ตกยุค หรือหนักไปกว่านั้น หลายคนยังออกมาในรูปของกุ๊ยอันธพาล และมีแม้กระทั่งโจร ที่มีคดีทุจริตติดตัวคาราคาซังยุบยับไปหมด
เอาเป็นว่าเป็นคณะรัฐมนตรีที่ถือว่าไร้มาตรฐานที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยยุคใหม่นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.2475 เป็นต้นมา
ถือเป็นรัฐมนตรีที่กระทืบความรู้สึกของคนไทยได้มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
พิสูจน์ได้จากโพลล์ล่าสุด ที่เพิ่งสำรวจความเห็นชาวบ้านสดๆร้อนๆ ก็แล้วกัน พบว่า 63.4 เปอร์เซ็นต์ ยี้รัฐบาลทั้งคณะ เพราะเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกคนไม่มีคุณสมบัติ ไร้ความสามารถ ประวัติไม่ดี
สรุปก็คือ “ไม่เชื่อน้ำยา” นั่นแหละ
ที่สำคัญ คนไม่เชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรีชื่อ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ มากเกินครึ่ง คือ 51.7 เปอร์เซ็นต์ และนี่ถือว่าครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกันที่ผลสำรวจออกมาแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาทุกรัฐบาลชาวบ้านจะให้โอกาสในการทำงานก่อนสักระยะ อย่างน้อย 3-6 เดือน
และที่น่าวิตกก็คือ ความไม่เชื่อมั่นในตัวผู้นำรัฐบาลด้วยแล้วถือว่าอันตรายอย่างมาก ยิ่งในภาวะวิกฤตทั้งภายในและภายนอกกำลังถาโถมเข้ามา ยิ่งต้องการผู้นำที่สร้างความเชื่อมั่น
เปรียบเหมือนเรือที่กำลังเข้าสู่พายุใหญ่ ยิ่งต้องการกัปตันที่มีฝีมือ มากประสบการณ์ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากลูกเรือ ไม่ให้เสียขวัญ แต่นี่ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม
ถ้าเปรียบกัปตันคือ นายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่นอกจากถูกสังคมมองอย่างเหยียดหยามว่า เป็นแค่ “หุ่นยนต์” แล้วแต่ “พี่เมีย” และเมียตัวเองบงการ ไร้สมอง ไร้อำนาจในการตัดสินใจ ทุกอย่างต้องรอฟังคำสั่งทั้งสิ้น เห็นได้ชัดเจนจากการฟอร์มคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ โผรายชื่อสำคัญล้วนถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้า
เริ่มจาก กระทรวงการคลัง ที่ดัน “เด็กในบ้าน” อย่าง “สุชาติ ธาดาธำรงเวช” มาคุม โดยไม่สนใจเสียงวิจารณ์รอบทิศว่า ชื่อชั้น “ไร้ราคา” ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่ก็ยังจับยัดเข้ามาจนได้
ที่ผ่านมาหากให้สังคมจดจำได้คือผลงานเมื่อครั้งส้มหล่นคราวแรกช่วงเป็น รมช.คลัง ในเรื่องแสดงท่าทีไล่บี้เพื่อกดดันให้ "ธาริษา วัฒนเกส" พ้นจากเก้าอี้ผู้ว่าแบงก์ชาติให้ได้ นอกจากนั้นก็มีเรื่องโหนรถเมล์ สร้างภาพแบบไร้สาระ ในวันเข้ารับตำแหน่งใหม่
ชาวบ้านเขาพอเค้นสมองจำได้แค่นี้จริงๆ
ดังนั้นการเลื่อนชั้นขึ้นมารับหน้าที่ “ขุนคลัง” คนใหม่ในท่ามกลางภาวะวิกฤตรุมเร้าเข้ามา สารพัด และกำลังถูกปรามาสรอบทิศ มันก็ยิ่งไปกันใหญ่
อย่างไรก็ดี แม้ว่าอีกมุมหนึ่งอาจมีเสียงแย้งว่ามีการตั้ง “เสี่ยโอ” โอฬาร ชัยประวัติ มาเป็นรองนายกฯ เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคอยกำกับ และ“สกรีน” อีกชั้นก็น่าจะพอสบายใจได้ไม่ใช่หรือ แต่เพราะคนๆนี้นี่แหละที่เคยพาเจ๊งกันระนาวเมื่อ วิกฤต “ต้มย้ำกุ้ง” ปี 2540 ออกมาทำตัวเป็นกูรูเศรษฐกิจ การรันตีวันละสามเวลาว่า รัฐบาลในยุคนั้น (รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) ไม่มีทางลดค่าเงินบาท
แต่เมื่อทุกอย่างตรงกันข้ามทำให้“เสียรังวัด” ต้องหายหน้าหายตาไปพักใหญ่ จนกระทั่งไปโผล่เป็นนายกสภามหาวิทยาลัยชินวัตร หน้าตาเฉย
มาถึงกระทรวงต่างประเทศที่ระบอบทักษิณได้สร้างวัฒนธรรมใหม่ ไม่จำเป็นต้องมาจากนักการทูตอาชีพ หรือมีประวัติดี แต่ขอให้มีเงิน และพูดภาษาอังกฤษได้ ก็ถือว่าโอเคแล้ว วิธีการแบบนี้เคยริเริ่มมาตั้งแต่สมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยนั่งว่าการ “บัวแก้ว” เมื่อครั้งเริ่มเข้ามาสู่วงการเมืองใหม่ๆ และถัดมาก็ดัน “ทนายหน้าหอ” นพดล ปัทมะ มาทำภารกิจยกอธิปไตยเรื่องปราสาทพระวิหารให้เขมร ทุกอย่างก็จบเกม
ล่าสุดก็ส่ง สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ มาสานต่อ ซึ่งหลายฝ่ายอดไม่ได้ต้องโฟกัสไปที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนจะเป็นเรื่องผลประโยชน์น้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยหรือเปล่า ข่าวยังไม่สรุป แต่ทุกอย่างกำลังเข้าเค้ามากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีเรื่อง “พาสปอร์ตแดง” ที่ต้องใช้คนกันเองมาดูแลเท่านั้น ถึงจะไว้ใจได้
ส่วนยุติธรรมก็ถือหัวใจสำคัญในเรื่องคดีความของ “นายหน้าเหลี่ยม” เพราะคุมทั้ง ดีเอสไอ และ ปปง.และบางโอกาสยังใช้เป็นไม้เด็ด ดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามอย่างได้ผล
มหาดไทย กลาโหม สองหน่วยงานนี้ไม่ต้องสาธยายกันมากมองออกกันอยู่แล้ว
ขณะที่ สาธารณสุข และศึกษาธิการ ก็ส่ง “ราชายี้” ขนานแท้และดั้งเดิมอย่าง “เป็ดเหลิม” และศรีเมือง เจริญศิริ มาคุม
นี่ยังไม่นับ “พ่อใหญ่จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ล้มเหลวในยุควิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ยอมลดตัวมารับบทเป็น “พระรอง” อีกรอบ
แม้ว่าในเชิงการเมืองเป็นเรื่องที่สามารถอธิบายได้ ว่าเป็นการสมประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย โดยคนที่ชักใยอยู่ที่ลอนดอนหวังให้มารับบทนายกฯ ตัวจริง เป็น “พี่เลี้ยง” คอยประคองให้น้องเขยที่ยังเป็น “มือใหม่หัดขับ” ประคองเอาตัวรอดเป็นการเฉพาะหน้า
ขณะที่ พล.อ.ชวลิต ก็แอบลุ้นลึกๆว่า หากพรรคพลังประชาชนถูกสั่งยุบพรรค กรรมการบริหารพรรครวมทั้ง สมชาย ก็จะพ้นสภาพ ต้องไหลไปรวมกับพวกบ้านเลขที่ 111 ก่อนหน้านี้ ทำให้ความหวังจะได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบภายใต้การกุมบังเหียน “พรรคเพื่อไทย” ที่ตั้งแท่นรอเอาไว้ล่วงหน้า ก็ใกล้ความจริงมากขึ้น
เมื่อโฟกัสเรียงตัวชี้ให้เห็น ขบวนการยี้ ตบเท้าเข้ามาเป็นพรวน ตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว หาดีไม่ได้แม้แต่คนเดียวแบบนี้ ทำให้ต้องคิดหนักว่าเจ้าของอำนาจที่แท้จริงจากแดนไกล ต้องการอะไรกันแน่
เพราะถ้าจะให้รัฐบาลชุดนี้ดูดีกว่านี้ก็ย่อมทำได้ ประเภทที่ผสมผสานกันไปดีบ้าง เลวบ้างตบตากันไป แต่นี่เล่นจงใจส่ง “ของร้อน” เข้ามาล้วนๆ ทำให้มองกันได้หลายแง่
อย่างแรก จะเอาประเภทมือใหม่หัดขับอย่างนี้แหละ เพราะไหนๆ ก็ถือว่าเป็นหุ่นเชิด หุ่นยนต์ อยู่แล้วไม่มีความหมาย แต่คนที่บริหารแท้จริงคอยนั่งชักใยอยู่ “หลังม่าน” เพราะถ้าสังเกตให้ดีนโยบายรัฐบาลใหม่ล้วน “ก๊อบปี้” นโยบายประชานิยมมาทั้งดุ้น
ขณะที่อีกอย่างเจตนาตั้งพวกเหลือขอเข้ามา เพื่อยั่วอารมณ์โกรธให้กับสังคม โดยเฉพาะในสังคมเมือง คนชั้นกลางที่พอเห็นโฉมหน้าแต่ละคนแล้วจะต้องโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ขณะที่คนในชนบทห่างไกลข้อมูลมั่นใจเต็มร้อยว่า “นิ่ง” ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล ขอให้มาจากเครือข่าย “แม้ว” เป็นใช้ได้
นอกจากนี้ถ้าสังเกตให้ดีเริ่มมีขบวนการจัดตั้งมวลชนในต่างจังหวัดทั้งภาคเหนือ-อีสานในหลายจังหวัดกันอย่างคึกคักผิดปกติ
เป็นไปได้หรือไม่ว่า การตั้งรัฐบาล “โคตรยี้” ออกมาเที่ยวนี้ เพื่อจงใจให้เกิดเงื่อนไขขัดแย้งในหมู่คนในสังคม เป็นไปได้หรือไม่ที่จงใจเพื่อให้เกิดสงครามประชาชน ที่บางกลุ่มมีความปราถนาให้เกิดขึ้น เพื่อหวังผลเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ ชนิด “พลิกฟ้าพลิกดิน” หรือไม่
แม้นาทีนี้ยังไม่กล้าฟันธง แต่ด้วยระบบคิดของ “คนหน้าเหลี่ยม” ที่มีระดับมันสมองจากพวกซ้ายอกหักทั้งหลายที่เชี่ยวชาญด้านอารมณ์มวลชน น่าจะรู้ดี ดังนั้นข้อสังเกตเรื่อง “เจตนาป่วน” มันจึงเข้าเค้า !!
นี่มันรัฐบาล “ไอ้เสือเอาวา” ประเภทรอ “ลักวิ่งชิงปล้น” กันชัดๆ !!
ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามมันทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เจตนาของคนที่เป็นนายกฯตัวจริงที่กำหนดสเป็กรัฐมนตรี วางตัวบุคคลมาจากลอนดอน ต้องการอะไรกันแน่
เพราะรู้ทั้งรู้ว่ารัฐมนตรีแต่ละคนที่พอเปิดรายชื่อออกมา คนจะรุมโห่กันทั้งบ้านเมือง ไล่เรียงกันไปตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว ล้วนไม่ได้มาตรฐาน มีแต่ไก่รองบ่อน ตกยุค หรือหนักไปกว่านั้น หลายคนยังออกมาในรูปของกุ๊ยอันธพาล และมีแม้กระทั่งโจร ที่มีคดีทุจริตติดตัวคาราคาซังยุบยับไปหมด
เอาเป็นว่าเป็นคณะรัฐมนตรีที่ถือว่าไร้มาตรฐานที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยยุคใหม่นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.2475 เป็นต้นมา
ถือเป็นรัฐมนตรีที่กระทืบความรู้สึกของคนไทยได้มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
พิสูจน์ได้จากโพลล์ล่าสุด ที่เพิ่งสำรวจความเห็นชาวบ้านสดๆร้อนๆ ก็แล้วกัน พบว่า 63.4 เปอร์เซ็นต์ ยี้รัฐบาลทั้งคณะ เพราะเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกคนไม่มีคุณสมบัติ ไร้ความสามารถ ประวัติไม่ดี
สรุปก็คือ “ไม่เชื่อน้ำยา” นั่นแหละ
ที่สำคัญ คนไม่เชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรีชื่อ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ มากเกินครึ่ง คือ 51.7 เปอร์เซ็นต์ และนี่ถือว่าครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกันที่ผลสำรวจออกมาแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาทุกรัฐบาลชาวบ้านจะให้โอกาสในการทำงานก่อนสักระยะ อย่างน้อย 3-6 เดือน
และที่น่าวิตกก็คือ ความไม่เชื่อมั่นในตัวผู้นำรัฐบาลด้วยแล้วถือว่าอันตรายอย่างมาก ยิ่งในภาวะวิกฤตทั้งภายในและภายนอกกำลังถาโถมเข้ามา ยิ่งต้องการผู้นำที่สร้างความเชื่อมั่น
เปรียบเหมือนเรือที่กำลังเข้าสู่พายุใหญ่ ยิ่งต้องการกัปตันที่มีฝีมือ มากประสบการณ์ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากลูกเรือ ไม่ให้เสียขวัญ แต่นี่ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม
ถ้าเปรียบกัปตันคือ นายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่นอกจากถูกสังคมมองอย่างเหยียดหยามว่า เป็นแค่ “หุ่นยนต์” แล้วแต่ “พี่เมีย” และเมียตัวเองบงการ ไร้สมอง ไร้อำนาจในการตัดสินใจ ทุกอย่างต้องรอฟังคำสั่งทั้งสิ้น เห็นได้ชัดเจนจากการฟอร์มคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ โผรายชื่อสำคัญล้วนถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้า
เริ่มจาก กระทรวงการคลัง ที่ดัน “เด็กในบ้าน” อย่าง “สุชาติ ธาดาธำรงเวช” มาคุม โดยไม่สนใจเสียงวิจารณ์รอบทิศว่า ชื่อชั้น “ไร้ราคา” ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่ก็ยังจับยัดเข้ามาจนได้
ที่ผ่านมาหากให้สังคมจดจำได้คือผลงานเมื่อครั้งส้มหล่นคราวแรกช่วงเป็น รมช.คลัง ในเรื่องแสดงท่าทีไล่บี้เพื่อกดดันให้ "ธาริษา วัฒนเกส" พ้นจากเก้าอี้ผู้ว่าแบงก์ชาติให้ได้ นอกจากนั้นก็มีเรื่องโหนรถเมล์ สร้างภาพแบบไร้สาระ ในวันเข้ารับตำแหน่งใหม่
ชาวบ้านเขาพอเค้นสมองจำได้แค่นี้จริงๆ
ดังนั้นการเลื่อนชั้นขึ้นมารับหน้าที่ “ขุนคลัง” คนใหม่ในท่ามกลางภาวะวิกฤตรุมเร้าเข้ามา สารพัด และกำลังถูกปรามาสรอบทิศ มันก็ยิ่งไปกันใหญ่
อย่างไรก็ดี แม้ว่าอีกมุมหนึ่งอาจมีเสียงแย้งว่ามีการตั้ง “เสี่ยโอ” โอฬาร ชัยประวัติ มาเป็นรองนายกฯ เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคอยกำกับ และ“สกรีน” อีกชั้นก็น่าจะพอสบายใจได้ไม่ใช่หรือ แต่เพราะคนๆนี้นี่แหละที่เคยพาเจ๊งกันระนาวเมื่อ วิกฤต “ต้มย้ำกุ้ง” ปี 2540 ออกมาทำตัวเป็นกูรูเศรษฐกิจ การรันตีวันละสามเวลาว่า รัฐบาลในยุคนั้น (รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) ไม่มีทางลดค่าเงินบาท
แต่เมื่อทุกอย่างตรงกันข้ามทำให้“เสียรังวัด” ต้องหายหน้าหายตาไปพักใหญ่ จนกระทั่งไปโผล่เป็นนายกสภามหาวิทยาลัยชินวัตร หน้าตาเฉย
มาถึงกระทรวงต่างประเทศที่ระบอบทักษิณได้สร้างวัฒนธรรมใหม่ ไม่จำเป็นต้องมาจากนักการทูตอาชีพ หรือมีประวัติดี แต่ขอให้มีเงิน และพูดภาษาอังกฤษได้ ก็ถือว่าโอเคแล้ว วิธีการแบบนี้เคยริเริ่มมาตั้งแต่สมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยนั่งว่าการ “บัวแก้ว” เมื่อครั้งเริ่มเข้ามาสู่วงการเมืองใหม่ๆ และถัดมาก็ดัน “ทนายหน้าหอ” นพดล ปัทมะ มาทำภารกิจยกอธิปไตยเรื่องปราสาทพระวิหารให้เขมร ทุกอย่างก็จบเกม
ล่าสุดก็ส่ง สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ มาสานต่อ ซึ่งหลายฝ่ายอดไม่ได้ต้องโฟกัสไปที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนจะเป็นเรื่องผลประโยชน์น้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยหรือเปล่า ข่าวยังไม่สรุป แต่ทุกอย่างกำลังเข้าเค้ามากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีเรื่อง “พาสปอร์ตแดง” ที่ต้องใช้คนกันเองมาดูแลเท่านั้น ถึงจะไว้ใจได้
ส่วนยุติธรรมก็ถือหัวใจสำคัญในเรื่องคดีความของ “นายหน้าเหลี่ยม” เพราะคุมทั้ง ดีเอสไอ และ ปปง.และบางโอกาสยังใช้เป็นไม้เด็ด ดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามอย่างได้ผล
มหาดไทย กลาโหม สองหน่วยงานนี้ไม่ต้องสาธยายกันมากมองออกกันอยู่แล้ว
ขณะที่ สาธารณสุข และศึกษาธิการ ก็ส่ง “ราชายี้” ขนานแท้และดั้งเดิมอย่าง “เป็ดเหลิม” และศรีเมือง เจริญศิริ มาคุม
นี่ยังไม่นับ “พ่อใหญ่จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ล้มเหลวในยุควิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ยอมลดตัวมารับบทเป็น “พระรอง” อีกรอบ
แม้ว่าในเชิงการเมืองเป็นเรื่องที่สามารถอธิบายได้ ว่าเป็นการสมประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย โดยคนที่ชักใยอยู่ที่ลอนดอนหวังให้มารับบทนายกฯ ตัวจริง เป็น “พี่เลี้ยง” คอยประคองให้น้องเขยที่ยังเป็น “มือใหม่หัดขับ” ประคองเอาตัวรอดเป็นการเฉพาะหน้า
ขณะที่ พล.อ.ชวลิต ก็แอบลุ้นลึกๆว่า หากพรรคพลังประชาชนถูกสั่งยุบพรรค กรรมการบริหารพรรครวมทั้ง สมชาย ก็จะพ้นสภาพ ต้องไหลไปรวมกับพวกบ้านเลขที่ 111 ก่อนหน้านี้ ทำให้ความหวังจะได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบภายใต้การกุมบังเหียน “พรรคเพื่อไทย” ที่ตั้งแท่นรอเอาไว้ล่วงหน้า ก็ใกล้ความจริงมากขึ้น
เมื่อโฟกัสเรียงตัวชี้ให้เห็น ขบวนการยี้ ตบเท้าเข้ามาเป็นพรวน ตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว หาดีไม่ได้แม้แต่คนเดียวแบบนี้ ทำให้ต้องคิดหนักว่าเจ้าของอำนาจที่แท้จริงจากแดนไกล ต้องการอะไรกันแน่
เพราะถ้าจะให้รัฐบาลชุดนี้ดูดีกว่านี้ก็ย่อมทำได้ ประเภทที่ผสมผสานกันไปดีบ้าง เลวบ้างตบตากันไป แต่นี่เล่นจงใจส่ง “ของร้อน” เข้ามาล้วนๆ ทำให้มองกันได้หลายแง่
อย่างแรก จะเอาประเภทมือใหม่หัดขับอย่างนี้แหละ เพราะไหนๆ ก็ถือว่าเป็นหุ่นเชิด หุ่นยนต์ อยู่แล้วไม่มีความหมาย แต่คนที่บริหารแท้จริงคอยนั่งชักใยอยู่ “หลังม่าน” เพราะถ้าสังเกตให้ดีนโยบายรัฐบาลใหม่ล้วน “ก๊อบปี้” นโยบายประชานิยมมาทั้งดุ้น
ขณะที่อีกอย่างเจตนาตั้งพวกเหลือขอเข้ามา เพื่อยั่วอารมณ์โกรธให้กับสังคม โดยเฉพาะในสังคมเมือง คนชั้นกลางที่พอเห็นโฉมหน้าแต่ละคนแล้วจะต้องโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ขณะที่คนในชนบทห่างไกลข้อมูลมั่นใจเต็มร้อยว่า “นิ่ง” ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล ขอให้มาจากเครือข่าย “แม้ว” เป็นใช้ได้
นอกจากนี้ถ้าสังเกตให้ดีเริ่มมีขบวนการจัดตั้งมวลชนในต่างจังหวัดทั้งภาคเหนือ-อีสานในหลายจังหวัดกันอย่างคึกคักผิดปกติ
เป็นไปได้หรือไม่ว่า การตั้งรัฐบาล “โคตรยี้” ออกมาเที่ยวนี้ เพื่อจงใจให้เกิดเงื่อนไขขัดแย้งในหมู่คนในสังคม เป็นไปได้หรือไม่ที่จงใจเพื่อให้เกิดสงครามประชาชน ที่บางกลุ่มมีความปราถนาให้เกิดขึ้น เพื่อหวังผลเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ ชนิด “พลิกฟ้าพลิกดิน” หรือไม่
แม้นาทีนี้ยังไม่กล้าฟันธง แต่ด้วยระบบคิดของ “คนหน้าเหลี่ยม” ที่มีระดับมันสมองจากพวกซ้ายอกหักทั้งหลายที่เชี่ยวชาญด้านอารมณ์มวลชน น่าจะรู้ดี ดังนั้นข้อสังเกตเรื่อง “เจตนาป่วน” มันจึงเข้าเค้า !!