สื่อมวลชนหลายสำนักได้นำเสนอข่าวไปในทางเดียวกันว่ากระทรวงการต่างประเทศตื่นแล้ว และได้ยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาแล้ว ทำให้ผู้คนเข้าใจผิด ทั้ง ๆ ที่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้นเลย
กระทรวงการต่างประเทศยังเยี่ยวไม่สุด ยังจะต้องเยี่ยวให้สุดก่อนที่จะเยี่ยวรดกางเกง แล้วเกิดความเสียหายขึ้นกับชาติบ้านเมือง ในขณะที่ได้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างรุนแรงในหมู่ประชาชน
ทำไมจึงกล่าวอย่างนี้?
ก็เพราะหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศในเรื่องนี้ได้อ้างถึงคำแถลงของนายฮุนเซนนายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้นจึงถือว่าแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวสิ้นสุดลง
หนังสือดังกล่าวมีเงื่อนงำและกลบเกลื่อนความจริงและข้อกฎหมายอยู่หลายเรื่อง ซึ่งยังคงทำให้ประเทศไทยเสียหายต่อไป ทั้งยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำมากกว่านี้ กล่าวคือ
ประการแรก กระทรวงการต่างประเทศใช้คำว่า “แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวสิ้นสุดลง” ซึ่งในทางกฎหมายถือว่าแถลงการณ์ร่วมนั้นมีผลมาแล้ว การที่แถลงการณ์ร่วมมีผลระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่งก็แสดงว่ามีผลบังคับไปแล้ว การสิ้นสุดลงในภายหลังไม่ทำให้การปฏิบัติและผลที่เกิดขึ้นก่อนหน้าลบล้างไป นี่คือการยืนยันหรือยอมรับเพื่อประโยชน์ของกัมพูชาไม่ใช่หรือ?
ประการที่สอง กระทรวงการต่างประเทศระบุว่าแถลงการณ์ร่วมสิ้นสุดลงเพราะเหตุที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาพูดว่าไม่ถือว่าเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งไม่เป็นความจริงและไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ
ความจริงก็คือแถลงการณ์ร่วมนั้นเป็นโมฆะเพราะศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามนำไปใช้อย่างหนึ่ง และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึงเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับใช้แม้แต่วินาทีเดียว แถลงการณ์นี้จึงไม่ได้สิ้นสุดลง แต่ไม่มีผลบังคับใช้เลยเพราะเป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น
ความเป็นโมฆะดังกล่าวมีผลมาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มีการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญอย่างโจ่งแจ้ง และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นที่สุดแล้ว เป็นคนละเรื่องกับการสิ้นสุดของแถลงการณ์ร่วม และไม่ใช่สิ้นสุดหรือโมฆะเพราะคำแถลงของนายฮุนเซนดังที่กระทรวงการต่างประเทศกล่าวถึง
ประการที่สาม นอกจากแถลงการณ์ร่วมลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 แล้ว ยังมีแถลงการณ์ร่วมซึ่งนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศไปทำความตกลงกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาในเดือนพฤษภาคม 2551 อีกฉบับหนึ่ง ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้พูดถึงเลย ข้อตกลงนั้นยังคงมีผลอยู่
ประการที่สี่ กระทรวงการต่างประเทศยังไม่ยอมปฏิเสธมติของคณะกรรมการมรดกโลกที่จะให้ 7 ชาติเข้ามาบริหารจัดการดินแดนของประเทศไทยโดยรอบปราสาทพระวิหาร ภายใต้ข้ออ้างว่าเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งมีอาณาบริเวณร่วมหมื่นไร่
ดังนั้นการกระทำของกระทรวงการต่างประเทศดังกล่าวจึงไม่เพียงแต่ไม่เป็นผลดีใด ๆ ต่อประเทศไทย หากยังเป็นการยืนยันถึงการมีผลในระยะเวลาหนึ่งของแถลงการณ์ร่วม และยังมีเรื่องราวอีกหลายเรื่องที่ต้องทำต่อไป
ถ้าจะเยี่ยวให้สุด กระทรวงการต่างประเทศจะต้องดำเนินการดังต่อไปนี้
ข้อหนึ่ง จะต้องมีหนังสือถึงรัฐบาลกัมพูชาว่าข้อตกลงที่นายนพดล ปัทมะ ในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศทำกับกัมพูชาและแถลงการณ์ร่วมฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 เป็นโมฆะ เพราะกระทำขึ้นโดยฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไม่มีผลบังคับใด ๆ ทั้งสิ้น จะใช้อ้างอิงใด ๆ มิได้ และประเทศไทยไม่ยอมรับมติของคณะกรรมการมรดกโลกที่จะให้ 7 ชาติเข้ามาบริหารจัดการดินแดนของประเทศไทย
ข้อสอง กระทรวงการต่างประเทศจะต้องมีหนังสือไปถึงเลขาธิการสหประชาชาติเพื่อแจ้งแก่นานาชาติที่เป็นสมาชิกว่าข้อตกลงและแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาทุกฉบับเป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อเป็นหลักฐานในระดับนานาชาติ ป้องกันความเสียหายให้กับประเทศชาติในอนาคต
ข้อสาม กระทรวงการต่างประเทศจะต้องมีหนังสือถึงคณะกรรมการมรดกโลกและ 6 ชาติที่จะเข้ามาบริหารจัดการดินแดนของประเทศไทยว่าประเทศไทยไม่ยอมรับมติของคณะกรรมการมรดกโลกที่จะให้ 7 ชาติเข้ามาบริหารจัดการดินแดนของประเทศไทย
ทั้งสามประการนี้คือภารกิจสำคัญและเร่งด่วนที่กระทรวงการต่างประเทศจะต้องทำ มิฉะนั้นความเสียหายจะเกิดขึ้นแก่ราชอาณาจักรไทยและประชาชนชาวไทยอย่างร้ายแรงที่สุด
ทั้งสามประการนี้คือภารกิจอันสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และจะเป็นข้อบ่งชี้ว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือเป็นนายกรัฐมนตรีในแฟมิลี่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศจะต้องรู้เท่าทัน จะต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นก็จะถูกมายาและภาษาบ้า ๆ บอ ๆ ทางการทูตปกปิดกลบเกลื่อนความจริงจนทำให้ลืมเลือนเรื่องใหญ่และสำคัญนี้ไป
กว่าจะรู้ตัวอีกทีดินแดนไทยก็ถูกเขาเอาไปครองเสียแล้ว เมื่อนั้นจะแก้ไขประการใดก็คงจะไม่ทันท่วงที วันนี้จึงต้องร่วมกันเร่งรัดและกดดันให้กระทรวงการต่างประเทศเยี่ยวให้สุดเสียทีหนึ่ง
จะต้องกดดันบังคับให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีจัดการเรื่องนี้ แก้ไขความฉิบหายที่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติสมัคร สุนทรเวช ได้ทำไว้กับบ้านเมืองให้จงได้!
กระทรวงการต่างประเทศยังเยี่ยวไม่สุด ยังจะต้องเยี่ยวให้สุดก่อนที่จะเยี่ยวรดกางเกง แล้วเกิดความเสียหายขึ้นกับชาติบ้านเมือง ในขณะที่ได้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างรุนแรงในหมู่ประชาชน
ทำไมจึงกล่าวอย่างนี้?
ก็เพราะหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศในเรื่องนี้ได้อ้างถึงคำแถลงของนายฮุนเซนนายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้นจึงถือว่าแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวสิ้นสุดลง
หนังสือดังกล่าวมีเงื่อนงำและกลบเกลื่อนความจริงและข้อกฎหมายอยู่หลายเรื่อง ซึ่งยังคงทำให้ประเทศไทยเสียหายต่อไป ทั้งยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำมากกว่านี้ กล่าวคือ
ประการแรก กระทรวงการต่างประเทศใช้คำว่า “แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวสิ้นสุดลง” ซึ่งในทางกฎหมายถือว่าแถลงการณ์ร่วมนั้นมีผลมาแล้ว การที่แถลงการณ์ร่วมมีผลระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่งก็แสดงว่ามีผลบังคับไปแล้ว การสิ้นสุดลงในภายหลังไม่ทำให้การปฏิบัติและผลที่เกิดขึ้นก่อนหน้าลบล้างไป นี่คือการยืนยันหรือยอมรับเพื่อประโยชน์ของกัมพูชาไม่ใช่หรือ?
ประการที่สอง กระทรวงการต่างประเทศระบุว่าแถลงการณ์ร่วมสิ้นสุดลงเพราะเหตุที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาพูดว่าไม่ถือว่าเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งไม่เป็นความจริงและไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ
ความจริงก็คือแถลงการณ์ร่วมนั้นเป็นโมฆะเพราะศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามนำไปใช้อย่างหนึ่ง และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึงเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับใช้แม้แต่วินาทีเดียว แถลงการณ์นี้จึงไม่ได้สิ้นสุดลง แต่ไม่มีผลบังคับใช้เลยเพราะเป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น
ความเป็นโมฆะดังกล่าวมีผลมาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มีการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญอย่างโจ่งแจ้ง และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นที่สุดแล้ว เป็นคนละเรื่องกับการสิ้นสุดของแถลงการณ์ร่วม และไม่ใช่สิ้นสุดหรือโมฆะเพราะคำแถลงของนายฮุนเซนดังที่กระทรวงการต่างประเทศกล่าวถึง
ประการที่สาม นอกจากแถลงการณ์ร่วมลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 แล้ว ยังมีแถลงการณ์ร่วมซึ่งนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศไปทำความตกลงกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาในเดือนพฤษภาคม 2551 อีกฉบับหนึ่ง ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้พูดถึงเลย ข้อตกลงนั้นยังคงมีผลอยู่
ประการที่สี่ กระทรวงการต่างประเทศยังไม่ยอมปฏิเสธมติของคณะกรรมการมรดกโลกที่จะให้ 7 ชาติเข้ามาบริหารจัดการดินแดนของประเทศไทยโดยรอบปราสาทพระวิหาร ภายใต้ข้ออ้างว่าเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งมีอาณาบริเวณร่วมหมื่นไร่
ดังนั้นการกระทำของกระทรวงการต่างประเทศดังกล่าวจึงไม่เพียงแต่ไม่เป็นผลดีใด ๆ ต่อประเทศไทย หากยังเป็นการยืนยันถึงการมีผลในระยะเวลาหนึ่งของแถลงการณ์ร่วม และยังมีเรื่องราวอีกหลายเรื่องที่ต้องทำต่อไป
ถ้าจะเยี่ยวให้สุด กระทรวงการต่างประเทศจะต้องดำเนินการดังต่อไปนี้
ข้อหนึ่ง จะต้องมีหนังสือถึงรัฐบาลกัมพูชาว่าข้อตกลงที่นายนพดล ปัทมะ ในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศทำกับกัมพูชาและแถลงการณ์ร่วมฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 เป็นโมฆะ เพราะกระทำขึ้นโดยฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไม่มีผลบังคับใด ๆ ทั้งสิ้น จะใช้อ้างอิงใด ๆ มิได้ และประเทศไทยไม่ยอมรับมติของคณะกรรมการมรดกโลกที่จะให้ 7 ชาติเข้ามาบริหารจัดการดินแดนของประเทศไทย
ข้อสอง กระทรวงการต่างประเทศจะต้องมีหนังสือไปถึงเลขาธิการสหประชาชาติเพื่อแจ้งแก่นานาชาติที่เป็นสมาชิกว่าข้อตกลงและแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาทุกฉบับเป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อเป็นหลักฐานในระดับนานาชาติ ป้องกันความเสียหายให้กับประเทศชาติในอนาคต
ข้อสาม กระทรวงการต่างประเทศจะต้องมีหนังสือถึงคณะกรรมการมรดกโลกและ 6 ชาติที่จะเข้ามาบริหารจัดการดินแดนของประเทศไทยว่าประเทศไทยไม่ยอมรับมติของคณะกรรมการมรดกโลกที่จะให้ 7 ชาติเข้ามาบริหารจัดการดินแดนของประเทศไทย
ทั้งสามประการนี้คือภารกิจสำคัญและเร่งด่วนที่กระทรวงการต่างประเทศจะต้องทำ มิฉะนั้นความเสียหายจะเกิดขึ้นแก่ราชอาณาจักรไทยและประชาชนชาวไทยอย่างร้ายแรงที่สุด
ทั้งสามประการนี้คือภารกิจอันสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และจะเป็นข้อบ่งชี้ว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือเป็นนายกรัฐมนตรีในแฟมิลี่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศจะต้องรู้เท่าทัน จะต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นก็จะถูกมายาและภาษาบ้า ๆ บอ ๆ ทางการทูตปกปิดกลบเกลื่อนความจริงจนทำให้ลืมเลือนเรื่องใหญ่และสำคัญนี้ไป
กว่าจะรู้ตัวอีกทีดินแดนไทยก็ถูกเขาเอาไปครองเสียแล้ว เมื่อนั้นจะแก้ไขประการใดก็คงจะไม่ทันท่วงที วันนี้จึงต้องร่วมกันเร่งรัดและกดดันให้กระทรวงการต่างประเทศเยี่ยวให้สุดเสียทีหนึ่ง
จะต้องกดดันบังคับให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีจัดการเรื่องนี้ แก้ไขความฉิบหายที่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติสมัคร สุนทรเวช ได้ทำไว้กับบ้านเมืองให้จงได้!