xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นระบอบชั่วเป็นประชาธิปไตย

เผยแพร่:   โดย: ป.เพชรอริยะ

เราๆ ท่านๆ ทั้งหลาย ควรจะได้วิเคราะห์สถานการณ์ให้ถูกต้องว่าสถานการณ์ปัจจุบัน ที่มันเกิดขึ้นปรากฎเป็นความขัดแย้งทางการเมืองของชนในชาติ และปรากฎการณ์ทางการเมืองในแง่มุมต่างๆ เช่น การค อร์รัปชัน การบริหารราชการแผ่นดินที่สนองตอบเพียงเพื่อบุคคล กลุ่ม เขต จังหวัด ภาค เป็นต้น เหล่าล้วนมาจากมูลเหตุของระบอบเผด็จการทั้งสิ้น ระบอบเผด็จการ คือระบอบที่ไม่มีหลักการปกครอง (Principle of Government) มีแต่เพียงรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นระเบียบวิธีการปกครอง (Methods of Government) ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ) แต่ผู้ปกครองทั้งหลายกลับเข้าใจรูปแบบการปกครอง คือระบบรัฐสภา และวิธีการปกครอง คือ รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อต่างก็มีความเห็นผิดอย่างนี้เสียแล้ว ก็ยากยิ่งนักที่จะแก้ไขให้การเมืองไทยเดินไปในแนวทางที่ถูกต้องได้ และในสถานการณ์ปัจจุบันมันเป็นผล เป็นปรากฏการณ์ของระบอบเผด็จการ ความขัดแย้งทางการเมืองอยู่หลายขั้ว หลายลัทธิ ซึ่งก็โผล่ออกมาให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ ส่วนความขัดแย้งที่เห็นเด่นชัดคือระหว่างขั้วการเมืองใหญ่ สองขั้วใหญ่ คือ

1. ขั้วรัฐบาล มีพรรคพลังประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาล 5 พรรค มีมวลชนสนับสนุนซึ่งตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายรัฐบาล คนในฝ่ายรัฐบาลให้เงินทุนสนับสนุน ส่วนใหญ่มาจากทางภาคอีสาน ได้ตกเป็นทาสรับใช้นักการเมืองเลวทรามต่ำช้าในพรรคพลังประชาชน คือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นกลุ่มการเมืองอันธพาลกลุ่มนี้ถูกจ้างมาเพื่อใช้ความรุนแรงทำลายล้างกลุ่มพันธมิตรฯ

เราได้เห็นจากภาพข่าวที่แพร่ออกไปทั่วโลกทางอินเทอร์เน็ต กลุ่ม นปช. เป็นกลุ่มอันธพาลทางการเมือง ที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ได้ตระเตรียมอาวุธมีมีด ดาบ ไม้คมแฝก ไม้หน้าสอง หนังสติ๊กเป็นอาวุธ ได้เดินขบวนจากบริเวณท้องสนามหลวงมุ่งไปยังสะพานมัฆวานรังสรรค์ และได้ปะทะกับการ์ดของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งตำรวจไม่สามารถเข้าห้ามปรามหรือป้องกันได้ หรือจงใจที่จะให้นองเลือดเกิดขึ้นเพื่อจะได้เป็นงื่อนไขให้รัฐบาลได้ประกาศใช้ พ.ร.ก. ภาวะฉุกเฉิน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการขจัดกลุ่มพันธมิตรฯ ให้สิ้นซาก แท้จริงเป็นการเตรียมการ จงใจ ในกระทำการดังกล่าว มีนักการเมืองอันธพานสันดานชั่วหยาบบางคนในซีกของรัฐบาล ยังโชคดีทีมีทหารออกมาป้องกันไว้ได้ทัน ทำให้เกิดสูญเสียน้อยลง คือตายหนึ่ง บาดเจ็บร่วม 40 คน

แนวทางของรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ซึ่งเนื้อแท้ก็คือพรรคไทยรักไทยเดิมที่ถูกยุบไปแล้วนั่นเอง พรรคนี้มีแนวทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญในลักษณะการปกครองแบบกึ่งประธานาธิบดี (Simi-Presidential System) และมีบุคคลเป็นศูนย์กลาง หรือรวมศูนย์อยู่ที่นายใหญ่ก็คือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการใช้จ่ายเงินให้เหล่าบริวารทั้งหมด

คุณทักษิณ ชินวัตร เขาพูดย้ำอยู่เสมอในขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรีขณะที่มีอำนาจว่า “ผมเป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย” ผมอยู่เพื่อรักษาระบอบประชาธิไตย” จนกระทั่งมาถึงนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ก็พูดอย่างเดียวกันและพูดซ้ำบ่อยๆ ว่า “ผมเป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผมไม่ยุบสภา ไม่ลาออก ผมต้องการรักษาระบอบประชาธิปไตยนี้ไว้” เราเห็นชัดว่าแท้จริงแล้วมันเป็นคำพูดที่ออกมาจากความเห็นผิด เป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายแรงที่สุด ความจริงแล้วนายสมัคร สุนทรเวช ควรจะพูดว่าๆ “ผมไม่ยุบสภา ไม่ลาออก เพราะผมต้องการรักษาระบอบเผด็จการนี้ไว้ให้ยืนยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้” และภาพรวมของแนวคิดนี้ รวมทั้งแนวร่วมทั้งหมดต่างก็พูดว่า “สนับสนุนรัฐบาลสมัครเพื่อพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย” ล้วนมีความเห็นผิดอย่างสิ้นเชิง แท้จริงก็คือ “สนับสนุนรัฐบาลสมัครเพื่อพิทักษ์ระบอบเผด็การให้คงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน” นั่นเอง

แท้จริงพวกเขากำลังพิทักษ์ระบอบเผด็จการโดยรัฐสภา นี้ไว้ให้ยาวนานที่สุด (การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเพียงวิธีการหนึ่งเท่านั้น ในการก้าวขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองซึ่งเห็นว่าชอบธรรมที่สุด ขอให้ทำความเข้าใจอย่างถูกต้องว่าการเลือกตั้ง ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย เป็นแต่เพียงวิธีการ (Means) หนึ่งเท่านั้น ระบอบอะไรๆ ก็เอาไปใช้ได้) ส่วนระบบรัฐสภา (Parliamentary System) คือรูปการปกครองชนิดหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย นี่คือความจริงเราจะแสดงให้เห็นลักษณะวิถีความคิด แนวทางของพรรคพลังประชาชน ที่นำโดยนายสมัคร สุนทรเวช โดยได้รวมศูนย์อยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ถูกคณะนายทหารทำรัฐประหารล้มล้าง เมื่อ 19 กันยายน 2549 แต่แนวทางการเมืองนี้ยังมั่นคงอยู่ได้และมีการสืบทอด ดังกล่าว

2. ขั้วพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีแนวคิด แนวทางปฏิเสธการเมืองที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นศูนย์กลาง โดยมีนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช เป็นหุ่นเชิด กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ออกมาประท้วงกล่าวโจมตีรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นรัฐบาลหุ่นเชิด ที่รักษาประโยชน์ให้คุณทักษิณ ชินวัตร มากกว่าประโยชน์ของชาติ เช่น คิดเตรียมการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา เพื่อช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ้นผิด หรือผ่อนหนักให้เป็นเบา และเห็นว่ารัฐบาล สมัคร สุนทรเวช เป็นรัฐบาลที่บริหารประเทศชาติเลือกที่รักมักที่ชัง เช่น ให้งบประมาณอย่างเต็มที่กับภาคเหนือ และภาคอีสาน ส่วนทางใต้ไม่สนใจไยดี เช่น ปัญหาก่อการร้ายมุสลิมแบ่งแยก 3 จังหวัดภาคใต้ รัฐบาลสมัครไม่เคยเหลียวแลปล่อยปละละเลย และไม่สามารถเดินทางไปตรวจราชการที่ภาคใต้ได้เลย

ลักษณะแนวคิดของกลุ่มพันธมิตรฯ ผูกติดอยู่ขบวนการของรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 50 ได้คัดค้านรัฐบาลที่คิดจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันทุกรูปแบบ ทั้งนี้เกรงว่ารัฐบาลจะเอื้ออำนวยประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคพลังประชาชนนั่นเอง

ลักษณะเด่นที่สำคัญของกลุ่มพันธมิตรฯ คือ รักษาประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ เชิดชูสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

นอกจากนี้ยังมีมวลชน ชนชั้นกลางภาคส่วนต่างๆ เช่น สหภาพรัฐวิสาหกิจ นักวิชาการ ครู-อาจารย์ พ่อค้า เกษตรกร นิสิตนักศึกษาอุทิศตนร่วมชุมนมกลุ่มพันธมิตรฯ กันอย่างกว้างขวางและสนุกสนาน และบอกให้ทราบว่า สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจอยู่ฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายชนะเสมอไป

ภาพปรากฏการณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้นก็คือผล อันเกิดจากเหตุ ฉันใด การขัดแย้งทางการเมืองภายในชาติ ย่อมเกิดจากเหตุระบอบเผด็จการรูปแบบใดแบบหนึ่ง ฉันนั้น

บุคคลใดก็ตาม องค์กรใดๆ ก็ตามที่มีความเห็น มีความเชื่อว่าประเทศไทย มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้ว นั่นคือเป็นมิจฉาทิฐิ และไม่สามารถที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาเหตุวิกฤตชาติได้เลย


แนวทางแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ ในสถานการณ์ปัจจุบัน เราฟังธงเลยว่า ไม่ว่าฝ่ายไหนๆ ก็ไม่สามารถแก้ปัหาเหตุวิกฤตชาติได้ ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลและพรรคร่วมฯ ก็ดี ฝ่ายค้าน ก็ดี ฝ่ายข้าราชการนำโดยกองทัพ ก็ดี

ทางเดียวเท่านั้นที่จะสัมฤทธิผล คือการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม หรือสถาปนาระบอบการปกครองโดยธรรมอันเป็นพระราชกรณียกิจอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น ซึ่งไม่มีใครทำได้เลย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้กระทำ อีกหลายฝ่ายก็จะไม่เห็นด้วย จะขัดแย้งและนองเลือด

ดังนั้น ทางออกอันยิ่งยวด ยิ่งใหญ่ของชาติ คือให้ทุกฝ่ายร่วมกันผลัก เรียกร้องให้ พระเจ้าแผ่นดินทรงดำเนินพระราชกรณียกิจอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่สูงสุด ตามแนวทางพระปฐมบรมราชโองการของพระองค์ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” สู่การสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมในทางการเมืองแบบสมัยใหม่ที่ก้าวหน้าที่สุดแห่งแรกของโลก

หลักการปกครอง คือรากฐานของชาติ ได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และธรรมอันเป็นสัมพันธภาพระหว่างประชาชนเพื่อความมั่นของชาติ
ร่วมกันตามลักษณะพิเศษของประเทศไทย คือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (อย่างมีรูปธรรม) (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักดุลยภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม หลักการปกครองทั้ง 9 นี้ จะเป็นศูนย์กลางของปวงชนในชาติ ที่สามารถนำไปใช้ได้ทุกองค์กร ดังลักษณะโดยสังเขป ดังนี้

ขอผู้ปกครองยอมรับความจริงกันเสียที่เถอะ ความจริงอันปรากฎความแตกแยกของชาติ มันเริ่มขึ้นนับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 นับแต่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวฉบับแรก เป็นต้นมา เพราะผู้ปกครองยุคนั้นสร้างการปกครองไม่ถูกต้องโดยธรรม และการสืบทอดแนวทางรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีหลักการปกครอง อันแนวทางมิจฉาทิฐิเรื่อยมาจนปัจุบัน ซึ่งได้ล้มลุกคลุกคลานด้วยการรัฐประหาร สลับกับการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่าผิดพลาดแล้ว ผิดพลาดอีกซ้ำรอยเดิมมากถึง 18 ครั้ง จนกลายเป็นวงจรอุบาทว์ จนยากที่จะแก้ไขให้ตกไปได้ จับต้นจนปลายไม่ถูก โกลาหล กันไปหมด มันน่าเสียดาย มันน่าเสียใจที่ผู้ปกครองได้ละเลยเรื่องหลักการปกครองมายาวนานถึง 76 ปี เห็นผิด คิดผิด ทำผิดอยู่อย่างไร ก็ยังคงทำเช่นเดิมอย่างนั้น โดยมิได้ฉุกคิดกันเลยแม้แต่น้อย

ขอย้ำว่า โปรดทราบว่า ฝ่ายไหนเชิดชู ผลักดันสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม ฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายชนะ และเป็นชัยชนะอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ของปวงชนทั้งแผ่นดิน เราแนะนำท่านแล้ว ระวังจะเกิดสงครามกลางเมือง และยากที่จะแก้ไขโดยสันติอีกต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น