หลังจากประกาศภาวะฉุกเฉินและตั้งให้ผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้รับผิดชอบแล้ว แต่วัตถุประสงค์ในการสลายม็อบยังไม่บรรลุผล เพราะฝ่ายทหารไม่ยอมให้มือเปื้อนเลือดประชาชน เพื่อสังเวยความกระหายเลือดของฝ่ายการเมือง
จนเป็นเหตุให้ใครบางคนต้องตีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมออกรายการวิทยุในตอนเช้าวันที่ 4 กันยายน 2551 แล้วย้ำพูดย้ำคำว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออก แต่แล้วก็ออกประกาศเพิ่มเติมมาอีก 2 ฉบับ
รวบเอาอำนาจของคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกกระทรวง รวมทั้งอำนาจตามกฎหมาย 20 ฉบับมาไว้ที่นายสมัคร สุนทรเวช เพียงคนเดียว จากนั้นก็มีข่าวลือว่าจะมีการปลดผู้บัญชาการทหารบก และจะมีการรัฐประหารโดยฝ่ายการเมืองเอง
เป็นเหตุให้ผู้บัญชาการทหารทุกเหล่าทัพต้องประชุมกันเป็นการด่วน เพื่อรับมือกับเหตุการณ์วิปริตวิปลาสที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน เพราะอำนาจแบบนี้หากอยู่ในมือคนที่วิปริตวิปลาสเมื่อใด อะไรๆ ที่เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้นได้เสมอ
เมื่อทุกเหล่าทัพเป็นเอกภาพกันเช่นนี้ การรัฐประหารเงียบของฝ่ายการเมืองจึงกลายเป็นการรัฐประหารบนกระดาษ และในที่สุดก็มีข่าวว่าฝ่ายการเมืองต้องวิ่งเข้าเคลียร์กับฝ่ายทหาร และยอมถ่ายโอนอำนาจที่รวบมานั้นกลับไปสู่ฝ่ายทหารอีก
จะจริงหรือเท็จประการใด ข่าวคราวดังกล่าวนี้ควรได้รับการตรวจสอบให้แน่นอน เพราะจะปล่อยให้บ้านเมืองอยู่ในภาวะเสี่ยงภัยในท่ามกลางเหตุการณ์วิปริตวิปลาสไม่ได้อีกแล้ว!
ความจริงเกี่ยวกับการประกาศภาวะฉุกเฉินถูกเปิดเผยออกมาชัดเจนแล้ว โดยการเปิดเผยของสื่อมวลชนต่างประเทศซึ่งเขาไม่เข้าใครออกใคร และสอดคล้องกับการรายงานข่าวของสื่อมวลชนส่วนใหญ่ของประเทศไทยด้วย ซึ่งมีสาระสำคัญตรงกันดังต่อไปนี้
ประการแรก ประชาชนที่ชุมนุมอยู่ในทำเนียบรัฐบาลและบริเวณโดยรอบไม่ได้ไปรุกรานหรือทำร้ายทำลายอะไรใครทั้งนั้น เป็นการชุมนุมโดยสงบและมีข้อเรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช ลาออก
ประการที่สอง นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลและตำรวจได้ร่วมมือกันขนผู้คนมาจากต่างจังหวัด และบางส่วนในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ มาตั้งวงชุมนุมปราศรัยที่ท้องสนามหลวง ซึ่งห่างจากที่ชุมนุมของอีกฝ่ายหนึ่งราว 4 กิโลเมตร
ประการที่สาม กลางดึกของคืนวันที่ 1 กันยายน 2551 นักการเมืองระดับแกนนำและนักการเมืองท้องถิ่นของฝ่ายรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้รู้เห็นให้มีการเคลื่อนม็อบจากสนามหลวงไปตามถนนราชดำเนิน มุ่งหน้าไปยังบริเวณทำเนียบรัฐบาล มีการประกาศว่าใครฆ่าแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะได้รางวัล 1 ล้านบาท ใครตีนักดนตรีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะได้รางวัล 1 หมื่นบาท
ประการที่สี่ เมื่อเคลื่อนม็อบมาถึงบริเวณสี่แยก จ.ป.ร. ก็มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด จากนั้นก็เกิดเหตุปะทะกันระหว่างพวกที่เคลื่อนมากับพวกที่รักษาความปลอดภัยให้กับพวกที่ชุมนุมอยู่ในทำเนียบรัฐบาล เป็นเหตุให้มีคนตายและได้รับบาดเจ็บหลายคน
ประการที่ห้า เวลาเช้า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีได้อ้างเหตุดังกล่าวประกาศภาวะฉุกเฉิน ซึ่งจะสั่งการผู้บัญชาการทหารบกอย่างไรไม่ปรากฏ แต่ผู้บัญชาการทหารบกแถลงว่าได้รายงานนายสมัคร สุนทรเวช ว่าการสลายม็อบเป็นเรื่องยาก การเมืองต้องแก้ไขด้วยการเมือง ทหารจะยืนเคียงข้างประชาชน
ประการที่หก เป็นประการที่สำคัญมาก เพราะจะเป็นกุญแจไขความจริงให้เห็นภาพรวมทั้งหมดของเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเกิดขึ้นเพื่อใคร? เพราะหลังเกิดเหตุนี้แล้วก็มีนักการเมืองคนสำคัญได้ยื่นเรื่องขอลี้ภัยในอังกฤษ โดยอ้างว่าเกิดจลาจลขึ้นในประเทศไทย หากถูกส่งตัวกลับไปจะไม่ปลอดภัย
จากนั้นประธานสโมสรฟุตบอลชื่อดังแห่งหนึ่งของอังกฤษก็ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศว่าการจลาจลในกรุงเทพฯ จะเป็นอันตรายถ้าหากทางการอังกฤษส่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย
เหตุผลในการขอลี้ภัยในต่างประเทศตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายของอังกฤษนั้นมีอยู่ว่าถ้าหากเกิดเหตุจลาจลหรือเหตุการณ์รุนแรงในรัฐที่ขอตัวผู้ร้ายข้ามแดน หากส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามคำขอของรัฐนั้นแล้วอาจเกิดอันตรายขึ้นแก่ผู้ถูกส่งตัวตามคำขอ ก็จะต้องปฏิเสธคำขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น
ดังนั้นสถานการณ์รุนแรงดังกล่าวและการประกาศภาวะฉุกเฉินที่เกิดขึ้นนั้นจึงเป็นการสร้างเหตุผลให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายต่างประเทศและกฎหมายของประเทศอังกฤษว่าด้วยการขอลี้ภัย
ทำให้เหตุผลในการขอลี้ภัยครบหลักครบเกณฑ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายของอังกฤษว่าด้วยการขอลี้ภัยทุกประการ
ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจึงเป็นประโยชน์แก่การขอลี้ภัยโดยตรงและโดยแท้
มันจะเกิดจากการวางแผนของใคร เกิดจากการดำเนินงานตามแผนของใคร และเพื่อใคร ก็ขอสาธุชนทั้งหลายได้พิจารณาใคร่ครวญกันเอาเองก็จะเห็นได้ชัด
แต่ทว่าผลที่เกิดขึ้นเช่นนั้นมันคุ้มกันหรือไม่กับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยและคนไทย
ใครที่ร่วมสร้างสถานการณ์และสร้างเงื่อนไขแบบนี้จึงเป็นคนใจดำอำมหิตต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง
นี่คืออุบายชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า “จะตีเหนือแต่ทำทีเป็นตีใต้” ซึ่งได้ผลไปแล้ว เพราะผู้คนในประเทศไทยกำลังสนใจและสาละวนอยู่กับการประกาศภาวะฉุกเฉิน และวุ่นวายอยู่กับความสับสน สูญเสีย และเสียหายสุดคณานับที่เกิดขึ้นกับบ้านเกิดเมืองนอนของตน และแก่ทุกคนที่อยู่ในราชอาณาจักรแห่งนี้
ทุกคนมัวแต่สาละวนสนใจที่จะแก้ไขและบรรเทาความเสียหายและความเสี่ยงภัยทั้งหลายจากเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้น และจากความเสี่ยงภัยที่มีการรวบอำนาจทั้งหมดของบ้านเมืองไว้กับคนเพียงคนเดียว
มิน่าเล่า นายสมัคร สุนทรเวช จึงตีสีหน้าปลอดโปร่งโล่งใจ กลั้วหัวเราะไม่ขาดระยะ
แต่ก็มีคนจับได้ไล่ทันว่าหาใช่ความปลอดโปร่งโล่งใจที่แท้จริงไม่ หากเป็นเรื่องกลบเกลื่อนความจริงและความวิกฤตที่ใกล้ถึงตัวต่างหาก
ไม่เห็นหรือว่าในวันนี้นายสมัคร สุนทรเวช ไม่มีความเป็นปกติสุขอีกแล้ว ความไม่เป็นปกติสุขนี้ส่งผลกระทบต่อเมียและลูกหลานมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะความระแวงระวังในเรื่องความปลอดภัย
จนต้องเรียกตำรวจไปดูแลรักษาความปลอดภัยที่บ้านนับร้อยนาย นึกดูเอาเถิดว่าที่พักอาศัยปกติที่สงบสุขมาแต่เดิม ครั้นมามีตำรวจเข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัยนับร้อยนายนั้น จะนอนหลับสนิทได้ละหรือ? มีแต่จะผุดลุกผุดนั่งและนอนหลับตาไม่ลงตลอดทั้งคืนเป็นแน่แท้
ระวังระแวงทุกผู้ทุกนามจนวุ่นวายไปหมด ขนาดนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงจะไปประท้วงแถวนั้นก็เกิดอาการตื่นตระหนกตกใจ
แล้วใครก็ไม่รู้ลอบยิงนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงจนบาดเจ็บไปถึง 2 คน ซึ่งฝ่ายตำรวจก็รวดเร็ว แถลงข่าวว่าสงสัยจะเป็นชาวบ้านรำคาญนักศึกษาจึงยิงสั่งสอน แต่ถัดมาอีกเพียงวันเดียวก็สงสัยใหม่ว่านักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงยิงกันเอง
พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย! อย่าราดน้ำมันเข้ากองไฟมากไปกว่านี้เลย เอากันแค่ลักษณะการยิงเบื้องต่ำ หมายให้ถูกขาอย่างแม่นยำนั้น มันไม่ใช่ฝีมือชาวบ้านธรรมดาดอก แต่ต้องจัดเป็นคนคุ้นเคยกับปืนผาหน้าไม้ หมายเอาเพียงให้กลัวและไม่กล้าเข้าไปถึงหน้าบ้านนายสมัคร สุนทรเวช ต่างหาก
เป็นการกระทำของคนมีความรู้เรื่องปืนผาหน้าไม้ที่มิได้มุ่งหมายเอาชีวิตนักศึกษา เป็นการกระทำที่หวังผลได้ดังใจว่าจะให้เกิดผลเพียงความหวาดกลัว เพียงประการเดียวนี้คนที่มีสายตาแจ่มใสก็ย่อมรู้ได้ว่าเป็นฝีมือของพวกไหน
การตั้งข้อสงสัยแบบไร้เหตุผลจึงมีแต่จะทำลายภาพลักษณ์ของตำรวจไทยให้ทรุดต่ำลงไปอีก และนอกจากจะไม่สามารถข่มขวัญเยาวชนที่มีความบริสุทธิ์ได้แล้ว กลับจะยิ่งเพิ่มพลังต่อต้านรัฐบาลให้ขยายตัวลุกลามและหนักหน่วงยิ่งขึ้นไปอีก
ตำรวจนั่นแหละจะเสียหายหนัก เพราะอารมณ์ความรู้สึกและสายตาที่ผู้คนมองภาพลักษณ์ตำรวจในวันนี้ออกจะหนักหนาสาหัสกว่าภาพลักษณ์ที่ผู้คนมองตำรวจในยุค 14 ตุลาคม 2516 ไปมากมายก่ายกองแล้ว
อุบาย “จะตีเหนือแต่ทำทีเป็นตีใต้” จึงได้ประโยชน์สำหรับคนเพียงคนเดียว แต่เกิดความพินาศฉิบหายกับประเทศไทยและคนไทยอย่างกว้างขวางลึกซึ้ง และกำลังสร้างวิกฤตให้กับตัวนายสมัคร สุนทรเวช อย่างหนักหน่วงยิ่งขึ้นด้วย
การรวบอำนาจทั้งหมดในประเทศนี้มาอยู่ที่ตัวคนเดียวนั้น ก็เหมือนกับการแบกกำลังพล กองทัพ และตำรวจไว้ถึง 500,000 คน พร้อมรถถังและอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้บนหัวของตัวเอง
ที่ไหนเลยคนคนเดียวจะแบกรับเอาไว้ได้! มีแต่จะทับกดจนจมธรณีไปเท่านั้น
เท่านั้นยังมิหนำใจ อุบายใหม่ที่แหกตาประชาราษฎร์ก็ตามมาอีก นั่นคืออุบายซื้อเวลา ชี้ว่าหนทางแก้ปัญหาอยู่ที่การลงประชามติ แล้วผลักดันจะให้มีการลงประชามติว่าประชาชนจะเลือกเอารัฐบาลหรือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย?
คนจำนวนหนึ่งไม่รู้เท่าทัน จำนวนหนึ่งรู้เท่าทันแต่แกล้งโง่ พากันเฮไปในเรื่องลงประชามติ ซึ่งแท้จริงเป็นแค่อุบายซื้อเวลาอยู่ในอำนาจ หาคุณค่าทางความจริงใดๆ ไม่ได้เลย
เพราะการจะลงประชามตินั้นต้องมีกฎหมายรองรับ กว่าจะทำได้ก็ต้องใช้เวลาอีกราว 7 เดือนข้างหน้า ทั้งการทำประชามติแบบนี้ก็ขัดกับรัฐธรรมนูญและไม่มีผลใด ๆ เลย
ที่สำคัญยังจะก่อปัญหาใหญ่หลวงตามมาอีก เพราะอาจแฝงนัยให้ผู้คนเลือกข้างว่าจะเลือกเอาสีเหลืองหรือเลือกเอาสีแดงกันแน่?
ดีไม่ดีอาจจะเป็นลูกไม้ให้เป็นประชามติเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์แบบเนปาลดังที่คนในรัฐบาลกล่าวขานกันมาแล้ว แฝงซ่อนเร้นอยู่ในเรื่องการลงประชามติก็ได้ใครจะรู้!
จึงฟันธงไปได้เลยว่าอุบายการลงประชามตินั้นไม่มีวันสำเร็จ! เป็นได้แค่การผายลมซื้อเวลาอยู่ในอำนาจเท่านั้น
ผายลมซื้อเวลาอยู่ในอำนาจ แล้วจะได้อะไร? คงใกล้ได้คำตอบเต็มทีแล้ว!
จนเป็นเหตุให้ใครบางคนต้องตีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมออกรายการวิทยุในตอนเช้าวันที่ 4 กันยายน 2551 แล้วย้ำพูดย้ำคำว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออก แต่แล้วก็ออกประกาศเพิ่มเติมมาอีก 2 ฉบับ
รวบเอาอำนาจของคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกกระทรวง รวมทั้งอำนาจตามกฎหมาย 20 ฉบับมาไว้ที่นายสมัคร สุนทรเวช เพียงคนเดียว จากนั้นก็มีข่าวลือว่าจะมีการปลดผู้บัญชาการทหารบก และจะมีการรัฐประหารโดยฝ่ายการเมืองเอง
เป็นเหตุให้ผู้บัญชาการทหารทุกเหล่าทัพต้องประชุมกันเป็นการด่วน เพื่อรับมือกับเหตุการณ์วิปริตวิปลาสที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน เพราะอำนาจแบบนี้หากอยู่ในมือคนที่วิปริตวิปลาสเมื่อใด อะไรๆ ที่เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้นได้เสมอ
เมื่อทุกเหล่าทัพเป็นเอกภาพกันเช่นนี้ การรัฐประหารเงียบของฝ่ายการเมืองจึงกลายเป็นการรัฐประหารบนกระดาษ และในที่สุดก็มีข่าวว่าฝ่ายการเมืองต้องวิ่งเข้าเคลียร์กับฝ่ายทหาร และยอมถ่ายโอนอำนาจที่รวบมานั้นกลับไปสู่ฝ่ายทหารอีก
จะจริงหรือเท็จประการใด ข่าวคราวดังกล่าวนี้ควรได้รับการตรวจสอบให้แน่นอน เพราะจะปล่อยให้บ้านเมืองอยู่ในภาวะเสี่ยงภัยในท่ามกลางเหตุการณ์วิปริตวิปลาสไม่ได้อีกแล้ว!
ความจริงเกี่ยวกับการประกาศภาวะฉุกเฉินถูกเปิดเผยออกมาชัดเจนแล้ว โดยการเปิดเผยของสื่อมวลชนต่างประเทศซึ่งเขาไม่เข้าใครออกใคร และสอดคล้องกับการรายงานข่าวของสื่อมวลชนส่วนใหญ่ของประเทศไทยด้วย ซึ่งมีสาระสำคัญตรงกันดังต่อไปนี้
ประการแรก ประชาชนที่ชุมนุมอยู่ในทำเนียบรัฐบาลและบริเวณโดยรอบไม่ได้ไปรุกรานหรือทำร้ายทำลายอะไรใครทั้งนั้น เป็นการชุมนุมโดยสงบและมีข้อเรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช ลาออก
ประการที่สอง นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลและตำรวจได้ร่วมมือกันขนผู้คนมาจากต่างจังหวัด และบางส่วนในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ มาตั้งวงชุมนุมปราศรัยที่ท้องสนามหลวง ซึ่งห่างจากที่ชุมนุมของอีกฝ่ายหนึ่งราว 4 กิโลเมตร
ประการที่สาม กลางดึกของคืนวันที่ 1 กันยายน 2551 นักการเมืองระดับแกนนำและนักการเมืองท้องถิ่นของฝ่ายรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้รู้เห็นให้มีการเคลื่อนม็อบจากสนามหลวงไปตามถนนราชดำเนิน มุ่งหน้าไปยังบริเวณทำเนียบรัฐบาล มีการประกาศว่าใครฆ่าแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะได้รางวัล 1 ล้านบาท ใครตีนักดนตรีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะได้รางวัล 1 หมื่นบาท
ประการที่สี่ เมื่อเคลื่อนม็อบมาถึงบริเวณสี่แยก จ.ป.ร. ก็มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด จากนั้นก็เกิดเหตุปะทะกันระหว่างพวกที่เคลื่อนมากับพวกที่รักษาความปลอดภัยให้กับพวกที่ชุมนุมอยู่ในทำเนียบรัฐบาล เป็นเหตุให้มีคนตายและได้รับบาดเจ็บหลายคน
ประการที่ห้า เวลาเช้า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีได้อ้างเหตุดังกล่าวประกาศภาวะฉุกเฉิน ซึ่งจะสั่งการผู้บัญชาการทหารบกอย่างไรไม่ปรากฏ แต่ผู้บัญชาการทหารบกแถลงว่าได้รายงานนายสมัคร สุนทรเวช ว่าการสลายม็อบเป็นเรื่องยาก การเมืองต้องแก้ไขด้วยการเมือง ทหารจะยืนเคียงข้างประชาชน
ประการที่หก เป็นประการที่สำคัญมาก เพราะจะเป็นกุญแจไขความจริงให้เห็นภาพรวมทั้งหมดของเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเกิดขึ้นเพื่อใคร? เพราะหลังเกิดเหตุนี้แล้วก็มีนักการเมืองคนสำคัญได้ยื่นเรื่องขอลี้ภัยในอังกฤษ โดยอ้างว่าเกิดจลาจลขึ้นในประเทศไทย หากถูกส่งตัวกลับไปจะไม่ปลอดภัย
จากนั้นประธานสโมสรฟุตบอลชื่อดังแห่งหนึ่งของอังกฤษก็ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศว่าการจลาจลในกรุงเทพฯ จะเป็นอันตรายถ้าหากทางการอังกฤษส่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย
เหตุผลในการขอลี้ภัยในต่างประเทศตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายของอังกฤษนั้นมีอยู่ว่าถ้าหากเกิดเหตุจลาจลหรือเหตุการณ์รุนแรงในรัฐที่ขอตัวผู้ร้ายข้ามแดน หากส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามคำขอของรัฐนั้นแล้วอาจเกิดอันตรายขึ้นแก่ผู้ถูกส่งตัวตามคำขอ ก็จะต้องปฏิเสธคำขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น
ดังนั้นสถานการณ์รุนแรงดังกล่าวและการประกาศภาวะฉุกเฉินที่เกิดขึ้นนั้นจึงเป็นการสร้างเหตุผลให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายต่างประเทศและกฎหมายของประเทศอังกฤษว่าด้วยการขอลี้ภัย
ทำให้เหตุผลในการขอลี้ภัยครบหลักครบเกณฑ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายของอังกฤษว่าด้วยการขอลี้ภัยทุกประการ
ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจึงเป็นประโยชน์แก่การขอลี้ภัยโดยตรงและโดยแท้
มันจะเกิดจากการวางแผนของใคร เกิดจากการดำเนินงานตามแผนของใคร และเพื่อใคร ก็ขอสาธุชนทั้งหลายได้พิจารณาใคร่ครวญกันเอาเองก็จะเห็นได้ชัด
แต่ทว่าผลที่เกิดขึ้นเช่นนั้นมันคุ้มกันหรือไม่กับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยและคนไทย
ใครที่ร่วมสร้างสถานการณ์และสร้างเงื่อนไขแบบนี้จึงเป็นคนใจดำอำมหิตต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง
นี่คืออุบายชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า “จะตีเหนือแต่ทำทีเป็นตีใต้” ซึ่งได้ผลไปแล้ว เพราะผู้คนในประเทศไทยกำลังสนใจและสาละวนอยู่กับการประกาศภาวะฉุกเฉิน และวุ่นวายอยู่กับความสับสน สูญเสีย และเสียหายสุดคณานับที่เกิดขึ้นกับบ้านเกิดเมืองนอนของตน และแก่ทุกคนที่อยู่ในราชอาณาจักรแห่งนี้
ทุกคนมัวแต่สาละวนสนใจที่จะแก้ไขและบรรเทาความเสียหายและความเสี่ยงภัยทั้งหลายจากเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้น และจากความเสี่ยงภัยที่มีการรวบอำนาจทั้งหมดของบ้านเมืองไว้กับคนเพียงคนเดียว
มิน่าเล่า นายสมัคร สุนทรเวช จึงตีสีหน้าปลอดโปร่งโล่งใจ กลั้วหัวเราะไม่ขาดระยะ
แต่ก็มีคนจับได้ไล่ทันว่าหาใช่ความปลอดโปร่งโล่งใจที่แท้จริงไม่ หากเป็นเรื่องกลบเกลื่อนความจริงและความวิกฤตที่ใกล้ถึงตัวต่างหาก
ไม่เห็นหรือว่าในวันนี้นายสมัคร สุนทรเวช ไม่มีความเป็นปกติสุขอีกแล้ว ความไม่เป็นปกติสุขนี้ส่งผลกระทบต่อเมียและลูกหลานมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะความระแวงระวังในเรื่องความปลอดภัย
จนต้องเรียกตำรวจไปดูแลรักษาความปลอดภัยที่บ้านนับร้อยนาย นึกดูเอาเถิดว่าที่พักอาศัยปกติที่สงบสุขมาแต่เดิม ครั้นมามีตำรวจเข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัยนับร้อยนายนั้น จะนอนหลับสนิทได้ละหรือ? มีแต่จะผุดลุกผุดนั่งและนอนหลับตาไม่ลงตลอดทั้งคืนเป็นแน่แท้
ระวังระแวงทุกผู้ทุกนามจนวุ่นวายไปหมด ขนาดนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงจะไปประท้วงแถวนั้นก็เกิดอาการตื่นตระหนกตกใจ
แล้วใครก็ไม่รู้ลอบยิงนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงจนบาดเจ็บไปถึง 2 คน ซึ่งฝ่ายตำรวจก็รวดเร็ว แถลงข่าวว่าสงสัยจะเป็นชาวบ้านรำคาญนักศึกษาจึงยิงสั่งสอน แต่ถัดมาอีกเพียงวันเดียวก็สงสัยใหม่ว่านักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงยิงกันเอง
พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย! อย่าราดน้ำมันเข้ากองไฟมากไปกว่านี้เลย เอากันแค่ลักษณะการยิงเบื้องต่ำ หมายให้ถูกขาอย่างแม่นยำนั้น มันไม่ใช่ฝีมือชาวบ้านธรรมดาดอก แต่ต้องจัดเป็นคนคุ้นเคยกับปืนผาหน้าไม้ หมายเอาเพียงให้กลัวและไม่กล้าเข้าไปถึงหน้าบ้านนายสมัคร สุนทรเวช ต่างหาก
เป็นการกระทำของคนมีความรู้เรื่องปืนผาหน้าไม้ที่มิได้มุ่งหมายเอาชีวิตนักศึกษา เป็นการกระทำที่หวังผลได้ดังใจว่าจะให้เกิดผลเพียงความหวาดกลัว เพียงประการเดียวนี้คนที่มีสายตาแจ่มใสก็ย่อมรู้ได้ว่าเป็นฝีมือของพวกไหน
การตั้งข้อสงสัยแบบไร้เหตุผลจึงมีแต่จะทำลายภาพลักษณ์ของตำรวจไทยให้ทรุดต่ำลงไปอีก และนอกจากจะไม่สามารถข่มขวัญเยาวชนที่มีความบริสุทธิ์ได้แล้ว กลับจะยิ่งเพิ่มพลังต่อต้านรัฐบาลให้ขยายตัวลุกลามและหนักหน่วงยิ่งขึ้นไปอีก
ตำรวจนั่นแหละจะเสียหายหนัก เพราะอารมณ์ความรู้สึกและสายตาที่ผู้คนมองภาพลักษณ์ตำรวจในวันนี้ออกจะหนักหนาสาหัสกว่าภาพลักษณ์ที่ผู้คนมองตำรวจในยุค 14 ตุลาคม 2516 ไปมากมายก่ายกองแล้ว
อุบาย “จะตีเหนือแต่ทำทีเป็นตีใต้” จึงได้ประโยชน์สำหรับคนเพียงคนเดียว แต่เกิดความพินาศฉิบหายกับประเทศไทยและคนไทยอย่างกว้างขวางลึกซึ้ง และกำลังสร้างวิกฤตให้กับตัวนายสมัคร สุนทรเวช อย่างหนักหน่วงยิ่งขึ้นด้วย
การรวบอำนาจทั้งหมดในประเทศนี้มาอยู่ที่ตัวคนเดียวนั้น ก็เหมือนกับการแบกกำลังพล กองทัพ และตำรวจไว้ถึง 500,000 คน พร้อมรถถังและอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้บนหัวของตัวเอง
ที่ไหนเลยคนคนเดียวจะแบกรับเอาไว้ได้! มีแต่จะทับกดจนจมธรณีไปเท่านั้น
เท่านั้นยังมิหนำใจ อุบายใหม่ที่แหกตาประชาราษฎร์ก็ตามมาอีก นั่นคืออุบายซื้อเวลา ชี้ว่าหนทางแก้ปัญหาอยู่ที่การลงประชามติ แล้วผลักดันจะให้มีการลงประชามติว่าประชาชนจะเลือกเอารัฐบาลหรือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย?
คนจำนวนหนึ่งไม่รู้เท่าทัน จำนวนหนึ่งรู้เท่าทันแต่แกล้งโง่ พากันเฮไปในเรื่องลงประชามติ ซึ่งแท้จริงเป็นแค่อุบายซื้อเวลาอยู่ในอำนาจ หาคุณค่าทางความจริงใดๆ ไม่ได้เลย
เพราะการจะลงประชามตินั้นต้องมีกฎหมายรองรับ กว่าจะทำได้ก็ต้องใช้เวลาอีกราว 7 เดือนข้างหน้า ทั้งการทำประชามติแบบนี้ก็ขัดกับรัฐธรรมนูญและไม่มีผลใด ๆ เลย
ที่สำคัญยังจะก่อปัญหาใหญ่หลวงตามมาอีก เพราะอาจแฝงนัยให้ผู้คนเลือกข้างว่าจะเลือกเอาสีเหลืองหรือเลือกเอาสีแดงกันแน่?
ดีไม่ดีอาจจะเป็นลูกไม้ให้เป็นประชามติเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์แบบเนปาลดังที่คนในรัฐบาลกล่าวขานกันมาแล้ว แฝงซ่อนเร้นอยู่ในเรื่องการลงประชามติก็ได้ใครจะรู้!
จึงฟันธงไปได้เลยว่าอุบายการลงประชามตินั้นไม่มีวันสำเร็จ! เป็นได้แค่การผายลมซื้อเวลาอยู่ในอำนาจเท่านั้น
ผายลมซื้อเวลาอยู่ในอำนาจ แล้วจะได้อะไร? คงใกล้ได้คำตอบเต็มทีแล้ว!