กาฬสินธุ์ - “ชิงชัย มงคลธรรม” ชี้การประกาศภาวะฉุกเฉินส่งกองทัพปราบประชาชนเป็นวิธีโยนความรับผิดชอบของ “รัฐบาลที่ไร้ปัญญา” เตือนทหารที่คิดจะใช้ความรุนแรงปราบประชาชนควรฉุกคิดให้ดี ชี้กวาดล้างนักการเมืองง่ายกว่า ขณะที่ “ลิ่วล้อแม้ว” ดิ้นไม่เลิกจ่ายหัวละ 1,000 บาทส่งป่วนกรุงเทพฯ แฉมี ส.ส.นักการเมืองสาย อบจ.กาฬสินธุ์ ร่วมด้วย
นายชิงชัย มงคลธรรม หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กรณีรัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ ประกาศภาวะฉุกเฉินหลังจากที่ได้ว่าจ้างกลุ่ม นปก.จากทั่วทุกจังหวัดในภาคอีสานหัวละ 1,000 บาทเข้าไปป่วนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่หน้าทำเนียบฯจนเห็นการปะทะกันจนมีผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นไปตามคาดรัฐบาลได้อาศัยจังหวะนี้ในการประกาศภาวะฉุกเฉินไปแล้วนั้น
นายชิงชัย กล่าวว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินเกิดขึ้นตามที่หลายฝ่ายได้คาดเอาไว้ เนื่องจากสถานการณ์มีความรุนแรง มีความพยายามในการยั่วยุจาก 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน ซึ่งเกิดปัญหาที่รัฐบาลนายสมัคร ควรที่จะรับผิดชอบ แต่กลับมีท่าทีที่นิ่งเฉยไม่สนใจพลังมวลชนที่ไม่ยอมรับแล้วอ้างไปในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาสังคม การประกาศภาวะฉุกเฉินจึงเป็นไปตามกระบวนการการเมืองจาก นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่ไม่มีความรับผิดชอบในทุกกรณี เพราะการประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นการโยนความรับผิดชอบให้กับฝ่ายราชการ โดยเฉพาะทหารที่เมื่อมีการประกาศมาตรการนี้ออกมา ก็จะต้องออกไปดำเนินการในการปราบปรามฝูงชน
“พฤติกรรมนี้ รัฐบาลได้โยนความรับผิดชอบไปให้ทหารจะด้วยเหตุผลใดหรือไม่นั้นในส่วนตัวมองว่า เป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยิ่ง ทั้งที่จริง นายสมัครควรที่จะประกาศลาออกหรือยุบสภาฯเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน แต่กลับไม่ทำ ซ้ำร้ายกลับมีการเคลื่อนไหวจะด้วยคำสั่งหรือไม่ให้ประชาชนออกไปปะทะ ทำร้ายร่างกายกัน จนทำให้เกิดการตาย แล้วก็อาศัยจังหวะนี้ประกาศภาวะฉุกเฉิน”
หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ กล่าวต่อว่า ในการประกาศภาวะฉุกเฉินนั้น หน้าที่ของทหารก็คือการปราบปรามฝูงชนที่จะต้องทำตามหน้าที่ แต่ในส่วนตัวมองว่าทหารถึงแม้จะได้รับคำสั่งมาก็ไม่ควรที่จะไปทำร้ายประชาชนหรือปราบปรามฝูงชน ซึ่งก็ควรจะรู้ด้วยตัวเองว่าการเคลื่อนไหวนั้น พันธมิตรฯมีความชอบธรรมอย่างไร จึงของเตือน ทหารที่มีความคิดจะปราบฝูงชนว่า ปัญหาความวุ่นวายทั้งหมดก็เกิดจากนักการเมืองที่คดโกงประเทศชาติ
อีกทั้งการกวาดล้างประชาชนโดยทหารก็ไม่เคยมีประวัติศาสตร์ชาติใดระบุว่า เมื่อมีการกวาดล้างประชาชนจะได้รับชัยชนะจะมีก็แต่สงครามกลางเมือง อีกทั้งสมรภูมิที่กรุงเทพฯ ก็ไม่เหมาะสมเพราะจะไปกระทบต่อประเทศในทุกด้าน “แต่หากทหารคิดที่จะหยุดเหตุการณ์นี้ก็ควรจะหันไปปราบนักการเมืองจะง่ายกว่า เพราะนักการเมืองมีไม่กี่คนแต่ได้สร้างปัญหาให้กับประเทศชาติอย่างหนักอยู่ในขณะนี้”
สำหรับความเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมาได้มีกลุ่มประชาชนในจังหวัดกาฬสินธุ์กว่า 1 พันคน อ้างตัวว่าเป็น นปก.กาฬสินธุ์ โดยการนำของ นายสำรอง โพธิ์ซก นำพาชาวบ้านเข้ามาชุมนุมสนับสนุนรัฐบาล พร้อมกับกล่าวปราศรัยโจมตีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างรุนแรง
พร้อมกับได้มอบหนังสือสนับสนุนรัฐบาลให้แก่นายเดชา ตันติยวรงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อส่งไปให้กำลังใจ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้บริหารประเทศต่อไป ที่ได้ให้เหตุผลว่ายังมีประชาชนอีกกลุ่มที่ยังคงต้องการให้รัฐบาลบริหารประเทศต่อไป
แหล่งข่าวแจ้งว่า ในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นในรูปแบบการจัดตั้งหลังจากที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำการกดดันอย่างหนัก อีกทั้งผลจากการประชุม สภาฯที่ผ่านมาก็ไม่ส่งผลให้ภาพบอกที่จะทำให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาให้กับสังคมได้ ซึ่งในอนาคตทางออกของรัฐบาลที่มีความพยายามในการประวิงเวลา ก็จะมีการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อให้เกิดความรุนแรง ซึ่งในภาคอีสานส่วนใหญ่ประชาชนยังไม่เรียนรู้ข้อเท็จจริง
จึงได้มีการสั่งการให้ บรรดา ส.ส.พรรคพลังประชาชน ทำการปลุกระดม โดยการเคลื่อนไหวที่หน้าศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ มีการจ้างวาน ชาวบ้าน หัวละ 400 บาท แต่มีการจ่ายจริงเพียงหัวละ 100 บาทโดยมี กลุ่ม ส.ส.และนักการเมืองท้องถิ่น อบจ.กาฬสินธุ์ อยู่เบื้องหลัง
“ขณะที่ในค่ำคืนนี้เฉพาะในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ ได้มีการระดมชาวบ้านเข้าไปเป็น นปก.ที่กรุงเทพฯ เพื่อทำการเคลื่อนไหวในลักษณะม็อบชนม็อบ ด้วยค่าจ้างหัวละ 1 พันบาทต่อไป ที่ต้องการจะให้เกิดความยืดเยื้อยาวนานที่สุดจนกว่า รัฐบาลจะสามารถทำการผ่านงบประมาณแผ่นดินแล้วทำการ แต่งตั้ง ข้าราชการให้แล้วเสร็จ”
แหล่งข่าวยังระบุอีกว่า สถานการณ์ในพื้นที่ภาคอีสาน นับเป็นพื้นที่ที่น่าสนใจมากที่สุด เพราะการเมืองสามารถที่จะเปลี่ยนได้ หากสื่อได้ทำการรายงานข่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้วมีการแจ้งถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลทั้งหมดว่าเหตุผลอะไร จึงมีกลุ่มพันธมิตรฯ แล้วชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทำไมประชาชนส่วนใหญ่ จึงไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ก็จะทำให้คนอีสานรู้ความจริงแล้วเกิดการตัดสินใจแต่ในทางกลับกัน ในพื้นที่ภาคอีสานทุกจังหวัดพบว่า
นอกจากสื่อที่ส่งมายังพื้นที่จะยังไม่แจ้งข้อเท็จจริงแล้ว บรรดา ส.ส.พรรคพลังประชาชน กลับเข้าไปปิดหูปิดตาประชาชน ที่ได้เข้าไปเล่าความเท็จอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นผู้ต้องหาทางการเมือง ในคดีคอรัปชั่น ประเทศไทย แต่กลับแจ้งว่าเป็นการกลั่นแกล้ง พ.ต.ท.ทักษิณ
นายชิงชัย มงคลธรรม หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กรณีรัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ ประกาศภาวะฉุกเฉินหลังจากที่ได้ว่าจ้างกลุ่ม นปก.จากทั่วทุกจังหวัดในภาคอีสานหัวละ 1,000 บาทเข้าไปป่วนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่หน้าทำเนียบฯจนเห็นการปะทะกันจนมีผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นไปตามคาดรัฐบาลได้อาศัยจังหวะนี้ในการประกาศภาวะฉุกเฉินไปแล้วนั้น
นายชิงชัย กล่าวว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินเกิดขึ้นตามที่หลายฝ่ายได้คาดเอาไว้ เนื่องจากสถานการณ์มีความรุนแรง มีความพยายามในการยั่วยุจาก 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน ซึ่งเกิดปัญหาที่รัฐบาลนายสมัคร ควรที่จะรับผิดชอบ แต่กลับมีท่าทีที่นิ่งเฉยไม่สนใจพลังมวลชนที่ไม่ยอมรับแล้วอ้างไปในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาสังคม การประกาศภาวะฉุกเฉินจึงเป็นไปตามกระบวนการการเมืองจาก นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่ไม่มีความรับผิดชอบในทุกกรณี เพราะการประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นการโยนความรับผิดชอบให้กับฝ่ายราชการ โดยเฉพาะทหารที่เมื่อมีการประกาศมาตรการนี้ออกมา ก็จะต้องออกไปดำเนินการในการปราบปรามฝูงชน
“พฤติกรรมนี้ รัฐบาลได้โยนความรับผิดชอบไปให้ทหารจะด้วยเหตุผลใดหรือไม่นั้นในส่วนตัวมองว่า เป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยิ่ง ทั้งที่จริง นายสมัครควรที่จะประกาศลาออกหรือยุบสภาฯเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน แต่กลับไม่ทำ ซ้ำร้ายกลับมีการเคลื่อนไหวจะด้วยคำสั่งหรือไม่ให้ประชาชนออกไปปะทะ ทำร้ายร่างกายกัน จนทำให้เกิดการตาย แล้วก็อาศัยจังหวะนี้ประกาศภาวะฉุกเฉิน”
หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ กล่าวต่อว่า ในการประกาศภาวะฉุกเฉินนั้น หน้าที่ของทหารก็คือการปราบปรามฝูงชนที่จะต้องทำตามหน้าที่ แต่ในส่วนตัวมองว่าทหารถึงแม้จะได้รับคำสั่งมาก็ไม่ควรที่จะไปทำร้ายประชาชนหรือปราบปรามฝูงชน ซึ่งก็ควรจะรู้ด้วยตัวเองว่าการเคลื่อนไหวนั้น พันธมิตรฯมีความชอบธรรมอย่างไร จึงของเตือน ทหารที่มีความคิดจะปราบฝูงชนว่า ปัญหาความวุ่นวายทั้งหมดก็เกิดจากนักการเมืองที่คดโกงประเทศชาติ
อีกทั้งการกวาดล้างประชาชนโดยทหารก็ไม่เคยมีประวัติศาสตร์ชาติใดระบุว่า เมื่อมีการกวาดล้างประชาชนจะได้รับชัยชนะจะมีก็แต่สงครามกลางเมือง อีกทั้งสมรภูมิที่กรุงเทพฯ ก็ไม่เหมาะสมเพราะจะไปกระทบต่อประเทศในทุกด้าน “แต่หากทหารคิดที่จะหยุดเหตุการณ์นี้ก็ควรจะหันไปปราบนักการเมืองจะง่ายกว่า เพราะนักการเมืองมีไม่กี่คนแต่ได้สร้างปัญหาให้กับประเทศชาติอย่างหนักอยู่ในขณะนี้”
สำหรับความเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมาได้มีกลุ่มประชาชนในจังหวัดกาฬสินธุ์กว่า 1 พันคน อ้างตัวว่าเป็น นปก.กาฬสินธุ์ โดยการนำของ นายสำรอง โพธิ์ซก นำพาชาวบ้านเข้ามาชุมนุมสนับสนุนรัฐบาล พร้อมกับกล่าวปราศรัยโจมตีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างรุนแรง
พร้อมกับได้มอบหนังสือสนับสนุนรัฐบาลให้แก่นายเดชา ตันติยวรงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อส่งไปให้กำลังใจ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้บริหารประเทศต่อไป ที่ได้ให้เหตุผลว่ายังมีประชาชนอีกกลุ่มที่ยังคงต้องการให้รัฐบาลบริหารประเทศต่อไป
แหล่งข่าวแจ้งว่า ในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นในรูปแบบการจัดตั้งหลังจากที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำการกดดันอย่างหนัก อีกทั้งผลจากการประชุม สภาฯที่ผ่านมาก็ไม่ส่งผลให้ภาพบอกที่จะทำให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาให้กับสังคมได้ ซึ่งในอนาคตทางออกของรัฐบาลที่มีความพยายามในการประวิงเวลา ก็จะมีการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อให้เกิดความรุนแรง ซึ่งในภาคอีสานส่วนใหญ่ประชาชนยังไม่เรียนรู้ข้อเท็จจริง
จึงได้มีการสั่งการให้ บรรดา ส.ส.พรรคพลังประชาชน ทำการปลุกระดม โดยการเคลื่อนไหวที่หน้าศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ มีการจ้างวาน ชาวบ้าน หัวละ 400 บาท แต่มีการจ่ายจริงเพียงหัวละ 100 บาทโดยมี กลุ่ม ส.ส.และนักการเมืองท้องถิ่น อบจ.กาฬสินธุ์ อยู่เบื้องหลัง
“ขณะที่ในค่ำคืนนี้เฉพาะในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ ได้มีการระดมชาวบ้านเข้าไปเป็น นปก.ที่กรุงเทพฯ เพื่อทำการเคลื่อนไหวในลักษณะม็อบชนม็อบ ด้วยค่าจ้างหัวละ 1 พันบาทต่อไป ที่ต้องการจะให้เกิดความยืดเยื้อยาวนานที่สุดจนกว่า รัฐบาลจะสามารถทำการผ่านงบประมาณแผ่นดินแล้วทำการ แต่งตั้ง ข้าราชการให้แล้วเสร็จ”
แหล่งข่าวยังระบุอีกว่า สถานการณ์ในพื้นที่ภาคอีสาน นับเป็นพื้นที่ที่น่าสนใจมากที่สุด เพราะการเมืองสามารถที่จะเปลี่ยนได้ หากสื่อได้ทำการรายงานข่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้วมีการแจ้งถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลทั้งหมดว่าเหตุผลอะไร จึงมีกลุ่มพันธมิตรฯ แล้วชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทำไมประชาชนส่วนใหญ่ จึงไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ก็จะทำให้คนอีสานรู้ความจริงแล้วเกิดการตัดสินใจแต่ในทางกลับกัน ในพื้นที่ภาคอีสานทุกจังหวัดพบว่า
นอกจากสื่อที่ส่งมายังพื้นที่จะยังไม่แจ้งข้อเท็จจริงแล้ว บรรดา ส.ส.พรรคพลังประชาชน กลับเข้าไปปิดหูปิดตาประชาชน ที่ได้เข้าไปเล่าความเท็จอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นผู้ต้องหาทางการเมือง ในคดีคอรัปชั่น ประเทศไทย แต่กลับแจ้งว่าเป็นการกลั่นแกล้ง พ.ต.ท.ทักษิณ