เอเอฟพี - เงินวอนของเกาหลีใต้ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 46 เดือนเมื่อวานนี้ (2) แม้ว่าทางการจะพยายามออกมาแสดงท่าทีขึงขังเพื่อพยุงค่าเงินไว้ก็ตาม นอกจากนี้ตลาดหุ้นโซลก็ขยับลงไปสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 18 เดือน เพราะนักลงทุนต่างชาติพากันเทขายออกมา
ค่าเงินวอนปิดที่ 1,134 วอนต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลง 18 วอนจากราคาปิดของวันจันทร์(1) และเป็นอัตราต่ำสุดตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2004 เป็นต้นมา
ในปีนี้ ค่าเงินของเกาหลีใต้ตกลงมากกว่า 18% แล้วเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ผลก็คือทำให้เงินเฟ้อในประเทศพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดที่รอบเกือบหนึ่งทศวรรษ
แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามออกมาแสดงท่าทีเพื่อหนุนค่าเงินของตนเอง แต่ก็ไม่เป็นไปดังประสงค์ เนื่องจากไม่มีการปฏิบัติที่เป็นจริงมารองรับ ดังที่ เจินเซิงอิล นักวิเคราะห์ค่าเงินของซัมซุง ฟิวเจอร์ส กล่าวกับสำนักข่าวยอนฮัปว่า ”ค่าเงินของประเทศเริ่มอ่อนลงเมื่อแลกเปลี่ยนกับ กรีนแบ็ก (เงินดอลลาร์สหรัฐฯ) ตลอดทั้งวัน จนกระทั่งตลาดปิด เพราะว่าไม่มีการเข้าแทรกแซงโดยการขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯออกมาแต่อย่างใด”
คิมดงซู รองรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของโสมขาว กล่าววานนี้ก่อนที่ตลาดค้าเงินจะเปิดและก่อนที่จะมีการเรียกประชุมนโยบายการเงินฉุกเฉินว่า รัฐบาลจะใช้มาตรการอันเข้มงวดหนักแน่น เพื่อรักษาค่าเงินวอนเอาไว้
“รัฐบาลวิตกมากเกี่ยวกับความผันผวนที่เกินสมควรไปแล้วของตลาดการเงิน และจะออกมาตรการอันเข้มงวดจริงจัง เพื่อระงับความตื่นตระหนกที่ทำให้ค่าเงินวอนเคลื่อนไหวดิ่งลงไปอีก”
อย่างไรก็ตาม พวกนักวิเคราะห์กล่าวว่ารัฐบาลเอาแต่พูดอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่สื่อท้องถิ่นได้รายงานข่าวที่ก่อให้เกิดความกังวลว่า จะเกิดวิกฤตการเงินในสัปดาห์หน้า เมื่อพันธบัตรเงินวอนมูลค่าราว 6,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯที่ถือโดยชาวต่างชาติ กำลังจะหมดอายุลง
“อารมณ์ความรู้สึกของตลาดอยู่ในสภาพเปราะบางมาก โดยมีต้นตอมาจากการกะเก็งกันว่าจะมีเงินทุนไหลออกนับจากเดือนกันยายนเป็นต้นไป และอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้น่าจะยังคงดำเนินต่อไป จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินวอนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ มีเสถียรภาพในระยะเวลาอันสั้น” เจินกล่าว
การที่ตลาดเก็งกันมากว่าจะมีการทิ้งสินทรัพย์สกุลเงินวอน ที่สำคัญที่สุดมาจากการที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯกำลังมีค่าแข็งขึ้น ไม่ใช่เฉพาะเมื่อเทียบกับเงินวอนแต่กับสกุลเงินตราอื่นๆ ของโลกด้วย จึงทำให้มีแนวโน้มที่นักลงทุนจะหันไปถือสินทรัพย์สกุลดอลลาร์มากขึ้นอยู่แล้ว
แต่นอกเหนือไปจากสาเหตุพื้นฐานเช่นนี้ ค่าเงินวอนเองยังมีปัจจัยเฉพาะที่ทำให้อ่อนตัวลง กล่าวคือ การที่เกาหลีใต้กำลังประสบภาวะขาดดุลบัญชีเงินสะพัดสูงขึ้นมาก สืบเนื่องจากภาระหนี้สินต่างประเทศกำลังมีมูลค่าเพิ่มสูง ขณะที่นักลงทุนต่างชาติก็กำลังเร่งเทขายหุ้นโสมขาว
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์กรุงโซลกำลังทรุดลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 18 เดือน เพราะนักลงทุนต่างชาติกังวลต่อเรื่องที่ทุนต่างประเทศที่ไหลออกไปอย่างมหาศาล
ดัชนีคอสปีของตลาดโซลวานนี้ลดลง 7.29 จุดหรือ 0.52% ปิดที่ 1,407.14 จุด หลังที่วันจันทร์ ร่วงลงไปถึง 4.1%
เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังพยายามออกมาปัดเป่าความกังวลเรื่องวิกฤต โดยกล่าวว่าประเทศยังมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ถึง 243,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพียงพอที่จะรับกับปัญหาได้
ชินจียูน รัฐมนตรีช่วยว่าการคลังฝ่ายกิจการต่างประเทศกล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างจากวิกฤตการเงินของเอเชียเมื่อปี 1997 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ต่างประเทศในช่วงหลังๆ มานี้ เกิดขึ้นจากบรรดาบริษัทต่อเรือรายใหญ่พากันซื้อเครื่องมือการเงินเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงในตลาดค้าเงินตราต่างประเทศ
เขาชี้ว่ารัฐบาลยังคงคาดหมายว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนในพันธบัตรกระทรวงการคลังของเกาหลีใต้ในเร็ววันนี้ เพราะว่าพันธบัตรดังกล่าวจะหมดอายุลงในเดือนกันยายนที่จะถึง โดยที่กระทรวงการคลังก็มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายผลตอบแทนและรับไถ่ถอนคืน
ทางด้าน ลีเซิงแต ผู้ว่าการธนาคารกลาง ก็ได้กล่าวในการสัมมนาที่จัดโดยรัฐสภาว่า สถานการณ์ไม่เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน เพราะเวลานี้ภาระหนี้ต่างชาติไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างหนี้และความสามารถของรัฐบาลปัจจุบันในการชำระคืนหนี้สินเหล่านี้
ค่าเงินวอนปิดที่ 1,134 วอนต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลง 18 วอนจากราคาปิดของวันจันทร์(1) และเป็นอัตราต่ำสุดตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2004 เป็นต้นมา
ในปีนี้ ค่าเงินของเกาหลีใต้ตกลงมากกว่า 18% แล้วเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ผลก็คือทำให้เงินเฟ้อในประเทศพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดที่รอบเกือบหนึ่งทศวรรษ
แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามออกมาแสดงท่าทีเพื่อหนุนค่าเงินของตนเอง แต่ก็ไม่เป็นไปดังประสงค์ เนื่องจากไม่มีการปฏิบัติที่เป็นจริงมารองรับ ดังที่ เจินเซิงอิล นักวิเคราะห์ค่าเงินของซัมซุง ฟิวเจอร์ส กล่าวกับสำนักข่าวยอนฮัปว่า ”ค่าเงินของประเทศเริ่มอ่อนลงเมื่อแลกเปลี่ยนกับ กรีนแบ็ก (เงินดอลลาร์สหรัฐฯ) ตลอดทั้งวัน จนกระทั่งตลาดปิด เพราะว่าไม่มีการเข้าแทรกแซงโดยการขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯออกมาแต่อย่างใด”
คิมดงซู รองรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของโสมขาว กล่าววานนี้ก่อนที่ตลาดค้าเงินจะเปิดและก่อนที่จะมีการเรียกประชุมนโยบายการเงินฉุกเฉินว่า รัฐบาลจะใช้มาตรการอันเข้มงวดหนักแน่น เพื่อรักษาค่าเงินวอนเอาไว้
“รัฐบาลวิตกมากเกี่ยวกับความผันผวนที่เกินสมควรไปแล้วของตลาดการเงิน และจะออกมาตรการอันเข้มงวดจริงจัง เพื่อระงับความตื่นตระหนกที่ทำให้ค่าเงินวอนเคลื่อนไหวดิ่งลงไปอีก”
อย่างไรก็ตาม พวกนักวิเคราะห์กล่าวว่ารัฐบาลเอาแต่พูดอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่สื่อท้องถิ่นได้รายงานข่าวที่ก่อให้เกิดความกังวลว่า จะเกิดวิกฤตการเงินในสัปดาห์หน้า เมื่อพันธบัตรเงินวอนมูลค่าราว 6,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯที่ถือโดยชาวต่างชาติ กำลังจะหมดอายุลง
“อารมณ์ความรู้สึกของตลาดอยู่ในสภาพเปราะบางมาก โดยมีต้นตอมาจากการกะเก็งกันว่าจะมีเงินทุนไหลออกนับจากเดือนกันยายนเป็นต้นไป และอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้น่าจะยังคงดำเนินต่อไป จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินวอนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ มีเสถียรภาพในระยะเวลาอันสั้น” เจินกล่าว
การที่ตลาดเก็งกันมากว่าจะมีการทิ้งสินทรัพย์สกุลเงินวอน ที่สำคัญที่สุดมาจากการที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯกำลังมีค่าแข็งขึ้น ไม่ใช่เฉพาะเมื่อเทียบกับเงินวอนแต่กับสกุลเงินตราอื่นๆ ของโลกด้วย จึงทำให้มีแนวโน้มที่นักลงทุนจะหันไปถือสินทรัพย์สกุลดอลลาร์มากขึ้นอยู่แล้ว
แต่นอกเหนือไปจากสาเหตุพื้นฐานเช่นนี้ ค่าเงินวอนเองยังมีปัจจัยเฉพาะที่ทำให้อ่อนตัวลง กล่าวคือ การที่เกาหลีใต้กำลังประสบภาวะขาดดุลบัญชีเงินสะพัดสูงขึ้นมาก สืบเนื่องจากภาระหนี้สินต่างประเทศกำลังมีมูลค่าเพิ่มสูง ขณะที่นักลงทุนต่างชาติก็กำลังเร่งเทขายหุ้นโสมขาว
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์กรุงโซลกำลังทรุดลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 18 เดือน เพราะนักลงทุนต่างชาติกังวลต่อเรื่องที่ทุนต่างประเทศที่ไหลออกไปอย่างมหาศาล
ดัชนีคอสปีของตลาดโซลวานนี้ลดลง 7.29 จุดหรือ 0.52% ปิดที่ 1,407.14 จุด หลังที่วันจันทร์ ร่วงลงไปถึง 4.1%
เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังพยายามออกมาปัดเป่าความกังวลเรื่องวิกฤต โดยกล่าวว่าประเทศยังมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ถึง 243,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพียงพอที่จะรับกับปัญหาได้
ชินจียูน รัฐมนตรีช่วยว่าการคลังฝ่ายกิจการต่างประเทศกล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างจากวิกฤตการเงินของเอเชียเมื่อปี 1997 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ต่างประเทศในช่วงหลังๆ มานี้ เกิดขึ้นจากบรรดาบริษัทต่อเรือรายใหญ่พากันซื้อเครื่องมือการเงินเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงในตลาดค้าเงินตราต่างประเทศ
เขาชี้ว่ารัฐบาลยังคงคาดหมายว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนในพันธบัตรกระทรวงการคลังของเกาหลีใต้ในเร็ววันนี้ เพราะว่าพันธบัตรดังกล่าวจะหมดอายุลงในเดือนกันยายนที่จะถึง โดยที่กระทรวงการคลังก็มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายผลตอบแทนและรับไถ่ถอนคืน
ทางด้าน ลีเซิงแต ผู้ว่าการธนาคารกลาง ก็ได้กล่าวในการสัมมนาที่จัดโดยรัฐสภาว่า สถานการณ์ไม่เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน เพราะเวลานี้ภาระหนี้ต่างชาติไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างหนี้และความสามารถของรัฐบาลปัจจุบันในการชำระคืนหนี้สินเหล่านี้