xs
xsm
sm
md
lg

อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตแนวโน้มดี ไอเอ็นจี มั่นใจบอนด์เม็กซิโก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ. ไอเอ็นจี มอง ตลาดเกิดใหม่ยังผันผวน แต่พึ่งพาตนเองได้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ผู้จัดการกองทุนย้ำมั่นใจในพันธบัตรรัฐ "เม็กซิโก" เหตุปัจจัยการบริโภคภายในประเทศที่ดีขึ้น อีกทั้งเคยมีบทเรียนสำคัญจากการประสบปัญหาทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่มาแล้ว

นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด กองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ หรือ อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ไม่ว่าจะเป็น บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน รวมถึงประเทศเม็กซิโก ยังมีความอ่อนไหวและมีความผันผวนอยู่มากจากการลงทุนในตลาดหุ้น ขณะเดียวกันในช่วงเวลานี้ได้รับผลกระทบโดยตรงมาจากวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐฯ เพราะเศรษฐกิจของบรรดาประเทศเกิดใหม่ยังพึ่งพาเศรษฐกิจและการลงทุนจากสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกอยู่ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุเช่นนี้จึงส่งผลกระทบถึงประเทศเกิดใหม่ทั่วกันทั้งหมด
ทั้งนี้ เศรษฐกิจของบรรดาประเทศเกิดใหม่ อย่างประเทศเม็กซิโกนั้น มีปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญคือการบริโภคภายในประเทศที่ดีขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงมีความต้านทานจากผลกระทบที่ได้รับมาจากภายนอกได้ดี เพราะประเทศเคยผ่านการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่มาแล้วในอดีต นอกจากนี้เม็กซิโกยังสามารถพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศของตนเองได้มากขึ้นกว่าในช่วงที่ผ่านมาที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจของสหรัฐฯเป็นหลัก รวมทั้งยังสามารถขยายการค้าไปยังประเทศในแถบเอเชียบ้างแล้ว
"ในเรื่องการลงทุนนั้น ปัจจุบันทางบลจ. ไอเอ็นจี มีการเข้าไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเม็กซิโกและประเทศเกิดใหม่อีกหลายประเทศ เนื่องจากมีความมั่นใจในสภาพเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น" นายจุมพล กล่าว
สำหรับกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต - ปันผล (ING Thai Global Emerging Market - Dividend Fund ) เป็นกองทุนประเภท กองทุนรวมผสมไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน ประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่มีกำหนด จำนวนเงินทุนโครงการ 3,000 ล้านบาทซึ่งมีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารหนี้ที่เสนอขายในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคต่างๆของโลก เหมาะสำหรับ นักลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนค่อนข้างยาว โดยคาดหวังผลตอบแทนที่สูง และสามารถรับความเสี่ยงของความผันผวนและความไม่สม่ำเสมอของอัตราผลตอบแทนได้
ขณะที่สัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเม็กซิโกนั้น กองทุนดังกล่าวลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลจำนวนทั้วสิ้น 96,532,920.29 บาท แบ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลอายุคงเหลือ 1-3 ปี จำนวน 25,175,575.83 บาท และ พันธบัตรอายุคงเหลือมากกว่า 10 ปี จำนวน 71,357,344.46 บาท
โดยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ไม่เกินปีละ 4 ครั้ง ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของ กำไรสุทธิของแต่ละงวดบัญชีหรืองวดอื่นใดที่จะจ่ายเงินปันผลนั้น ส่วนผลการดำเนินงานนั้น กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต - ปันผล มีผลการดำเนินงานตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 3.88% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน Benchmark: JP Morgan EMBI - Global Diversified Investment Grade อยู่ที่5.90%
รายงานข่าวแจ้งว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นของประเทศเศรษฐกิจใหม่หรือตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) คึกคักอย่างมากเพราะถูกอัดฉีดหล่อเลี้ยงด้วยเงินลงทุนจากต่างชาติที่แสวงหากำไรสูงสุด แต่นับจากเกิดวิกฤตการเงินในสหรัฐอเมริกา และท้ายที่สุดแพร่กระจายไปทั่วโลก ปรากฏว่าต่างชาติโดยเฉพาะกองทุนป้องกันความเสี่ยง (เฮดจ์ฟันด์) ได้เทขายหุ้นในตลาดเกิดใหม่เหล่านี้ทิ้ง เพื่อนำเงินสดกลับไปยังประเทศของตนเพื่อรองรับการไถ่ถอนการลงทุนหรือชำระหนี้
ปัจจุบัน ประเทศเศรษฐกิจใหม่ทั้งในเอเชีย ละตินอเมริกา รัสเซีย ได้รับผลกระทบจากเงินไหลออกทั้งสิ้น อาทิ กรณีอินเดียประเมินว่ามีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นในปีนี้ กว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่เกาหลีใต้ไหลออก 2.48 หมื่นล้านดอลลาร์ มูลค่าตลาดหุ้นลดลงกว่า 25% รัสเซียไหลออก 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ พร้อมกับดัชนีตลาดหุ้นลดลง 65% เมื่อเทียบกับช่วงที่เคยขึ้นไปสูงสุด ส่วนตลาดหุ้นรัสเซียนั้นประกอบด้วยนักลงทุนจากต่างชาติอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง ทำให้ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นรัสเซียดิ่งลงอย่างหนัก กระทั่งต้องสั่งพักการซื้อขายหุ้นเป็นระยะในแต่ละวัน สำหรับเม็กซิโกก็ประสบปัญหาเดียวกันจนทำให้ค่าเงินเปโซอ่อน กระทั่งรัฐบาลต้องขายทุนสำรองที่เป็นดอลลาร์ออกมาเพื่อพยุงค่าเงินเปโซ
สถาบันการเงินนานาชาติในวอชิงตัน (ไอไอเอฟ) ประเมินว่า เงินทุนเอกชนที่เคยไหลเข้าไปยังตลาดเกิดใหม่ 30 ประเทศทั่วโลกปีนี้จะลดลงประมาณ 1 ใน 3 หรือเหลือเพียง 6.19 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และคาดหมายว่าปีหน้าเงินทุนดังกล่าวจะลดลงอีก 6 หมื่นล้านดอลลาร์ และเมื่อผนวกเข้ากับปัญหาสภาพคล่องตึงตัวแล้วจะทำให้ประเทศเศรษฐกิจใหม่เหล่านี้ลำบากมากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า ท่ามกลางความเลวร้ายเช่นนี้ยังมีข้อดีสำหรับประเทศเศรษฐกิจใหม่อยู่บ้าง นั่นคือเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (เอฟดีไอ) ซึ่งเป็นเงินที่ลงทุนในภาคเศรษฐกิจแท้จริงยังไหลเข้าไปยังตลาดเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการไหลออกของเงินต่างชาติออกจากตลาดหุ้นจึงจะไม่สร้างความเสียหายให้กับเอเชียอย่างที่เคยเกิดวิกฤตการเงินในเอเชียเมื่อปี 2540 จนกระทั่งทำให้ไม่มีเงินชำระหนี้ต่างประเทศ ดังนั้นถือว่าโดยภาพรวมแล้วสถานะทางการเงินของตลาดเกิดใหม่เหล่านี้อยู่ในเกณฑ์ดี
โดยผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า มีสองประเทศในเอเชียที่เสี่ยงจะได้รับผลกระทบหนักจากการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ ได้แก่ อินโดนีเซียและเกาหลีใต้ เนื่องจากสองประเทศนี้มีหนี้ต่างประเทศระยะสั้นในสัดส่วนที่สูง กล่าวคือมีหนี้สูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศกว่า 2 เท่า ส่วนในรายของประเทศอื่น อาทิ บราซิล เม็กซิโก ชิลีและเปรู แม้จะมีความอ่อนไหวต่อการไหลออกของเงินต่างชาติ แต่เชื่อว่าจะฟื้นตัวได้เร็วเนื่องจากประเทศเหล่านี้มีวินัยทางการเงินและมีการปฏิรูปภาคการเงินแล้ว อีกทั้งมีทุนสำรองระหว่างประเทศค่อนข้างมาก
กำลังโหลดความคิดเห็น