xs
xsm
sm
md
lg

ต่างชาติกลัวปัญหาการเมืองไทยระบุฉุดตลาดหุ้นตกต่ำต่อเนื่อง3ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"ซิตี้แบงก์" ชี้ ปัญหาการเมืองไทย กดดันตลาดหุ้นไทยตกต่ำตลอดช่วง 3 ปี ระบุนักลงทุนหาย เหตุกลัวการเอาเงินเข้ามาลงทุน เพราะไม่มีความแน่นอน คาดสิ้นปีนี้เห็นดัชนีที่ 700 จุด ด้านบลจ.อเบอร์ดีน มองระยะยาว ยังน่าลงทุน แต่การเมืองฉุดความน่าสนใจ สร้างภาพลบในสายตาต่างชาติ ส่วนเก้าอี้นายกฯ ไม่ห่วง เป็นใครก็ได้ ขอแค่นำพาประเทศและบอกทิศทางที่ชัดเจนกับนักลงทุนได้


นายมาริโอ ชู หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนของซิตี้แบงก์ ประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก เปิดเผยว่า จากการที่ประเทศไทยมีปัญหาทางด้านการเมืองตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย ต่ำลงกว่าผลตอบแทนโดยรวมของดัชนี MSCI Asia Pacific Ex Japan มาโดยตลอด จากเดิมที่ก่อนหน้านี้ที่สูงกว่ามาโดยตลอดเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนที่ไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“ผมเองมาเที่ยวที่เมืองไทยปีละ 3 ครั้ง แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมตั้งใจจะมาแต่ทางสถานฑูตเตือนว่าไม่ปลอดภัย ก็เลยต้องยกเลิกไป แต่ที่มาได้วันนี้เพราะผมเองเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะประเทศสิงคโปร์อยู่ไม่ไกลมากนัก จึงมีข้อมูล แต่ว่านักลงทุนที่อยู่ไกลว่านี้ และไม่รู้สถานการณ์เป็นอย่างไร เขาก็กลัวหมด ไม่ใช่เฉพาะการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่รวมถึงการกลัวที่จะเอาเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วย”นายมาริโอ กล่าว

สำหรับตลาดหุ้นไทย คาดการณ์ว่าดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 700 จุดในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งหากการเมืองยังไม่ชัดเจนหรือดีขึ้น ก็เชื่อว่าดัชนีจะไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่ ส่วนนโยบายอัตราดอกเบี้ยของไทย มองว่ายังคงที่อยู่ที่ระดับปัจจุบันที่ 3.75% ไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า ในขณะที่ค่าเงินบาทเอง ก็คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์หากราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับนี้

นายมาริโอกล่าวถึงภาพรวมของเศรษฐกิจโลกว่า ความผันผวนของตลาดสหรัฐฯ กระทบต่อทั้งยุโรป ลาตินอเมริการวมถึงตลาดเอเชีย แปซิฟิก โดยที่ประเทศไทย เองก็ได้รับผลกระทบทั้งในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ ตัวอย่างเช่น ในวันจันทร์ที่ 8 กันยายนเมื่อตลาดทุนสหรัฐฯ กลับมาปิดบวก ได้ฟื้นความเชื่อมั่นและทำให้ตลาดเอเชียคึกคัก รวมถึงประเทศไทยที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิด เพิ่มขึ้น 19.86 จุดหรือ 3.08% ในวันเดียวกัน

ทั้งนี้ ในระยะ 6 –12 เดือนข้างหน้า นักวิเคราะห์ของซิตี้ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) มากกว่าตลาดที่พัฒนาแล้ว รวมถึงยังเล็งเห็นโอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ตราสารหนี้ใน เอเชียและสินทรัพย์ด้อยมาตรฐาน (distressed assets)

นอกจากนี้ ซิตี้ยังแนะนำว่าในภาวะ เงินเฟ้อและค่าครองชีพสูง อย่างในปัจจุบัน นักลงทุนควรพิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์โภคภัณฑ์ประเภททองคำ พืชผลเกษตร รวมถึงโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยให้สามารถต่อสู้กับผลกระทบเชิงลบจากภาวะเงินเฟ้อได้

นายโรเบิร์ต เพนนาโลซา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้เราเข้าใจการลงทุนในประเทศไทยดีว่า ปัญหาการเมืองในประเทศส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนค่อนข้างมาก ซึ่งความผันผวนดังกล่าว เรามองว่าเป็นโอกาสในการลงทุน เพราะหุ้นหลายตัวราคาปรับลดลงไปพอสมควร โดยเฉพาะหุ้นคุณภาพดี

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะผันแต่ก็ไม่ได้กระทบกับการทำธุรกิจหรือผลประกอบการของบริษัทในไทย จึงถือเป็นโอกาสที่ดีในการที่จะเข้าไปลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ดี มีคุณภาพที่ราคาปรับตัวลงมากจนต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งหากมองการลงทุนในระยะยาวราคาของหุ้นเหล่านี้ก็น่าจะปรับขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน

โดยมุมมองของอเบอร์ดีนยังคงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทยมากกว่าดัชนี MSCI Asia โดยให้น้ำหนักการลงทุนในไทยประมาณ 4.5% ด้วยอัตราเงินปันผลประมาณ 5.5% และอัตรากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth) 7-8% ถือเป็นการลงทุนที่ยังมีความน่าสนใจมาก สิ่งที่เราสนใจคือตัวบริษัทและมองการลงทุนในระยะยาวมากกว่า

ส่วนปัญหาการเมือง นายโรเบิร์ตกล่าวว่า สิ่งที่ออกไปสู่สายตานักลงทุนต่างชาติเป็นภาพที่ดูไม่ดีนัก โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่อยู่ไกลออกไป และไม่ได้เข้าใจหรือเห็นเหมือนคนที่อยู่ใกล้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหรือบริษัทจดทะเบียนมากมายอย่างที่เขาคิดกัน ธุรกิจไทยและบริษัทในไทยยังดีมาก เมื่อปัญหาความขัดแย้งยุติลงแล้ว นักลงทุนต่างชาติเห็นความจริงข้อนี้ สุดท้ายเขาจะกลับเข้ามาลงทุนในไทยเอง แต่ตอนนี้ต้องยอมรับว่า นักลงทุนต่างชาติที่ไม่รู้ เขากลัว

ส่วนใครจะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปนั้น มองว่าผู้นำประเทศจะเป็นใครไม่สำคัญ สิ่งที่นักลงทุนสนใจคือเป็นผู้นำที่สามารถนำพาประเทศไปในระยะยาวได้โดยให้ทิศทางที่ชัดเจนกับนักลงทุนได้
กำลังโหลดความคิดเห็น