กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ
ปัจจุบันคนไทยหลายคนคงจะรู้จักชื่อนักร้องและวงดนตรีต่างๆ เหล่านี้ เช่น อเล็กซานดร้า บุญช่วย วงเซล หรือวงแอลโอจี บ้างไม่มากก็น้อย และบางคนอาจทราบดีว่าศิลปินเหล่านี้เป็นนักร้องและวงดนตรีจากประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของไทย ซึ่งก็คือ ลาว นั่นเอง จนบางขณะอาจหลงลืมไปว่ายังมีเพื่อนบ้านที่มีความคล้ายคลึงกันกับไทยในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นภาษา หรือศิลปวัฒนธรรม
ในอดีต ชาวลาวบริโภคสื่อไทยทั้งด้วยความเต็มใจหรืออาจจะด้วยความบังเอิญ จากการกระจายเสียงของวิทยุและโทรทัศน์ข้ามพรมแดน หรือจากจานรับดาวเทียม และดูเสมือนว่ารายการของไทยจะทำให้คนลาวติดอกติดใจ เนื่องจากสาเหตุหลายประการ เช่น 1) ความคล้ายคลึงกันทางด้านภาษาไทยและลาว ทำให้ชาวลาวเข้าใจรายการของไทยได้อย่างไร้ปัญหา 2) จำนวนของรายการลาวที่ยังมีให้เลือกชมหรือฟังไม่มากมายนัก เป็นเหมือนกับการบังคับอย่างอ้อมๆ ให้ชาวลาวหันมาบริโภคสื่อไทยมากขึ้นเรื่อยๆ 3) ชาวลาวได้บริโภคสื่อไทยมาเป็นระยะเวลานาน จนอาจกลายเป็นความคุ้นเคย และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้วก็ว่าได้
เป็นระยะเวลายาวนานที่ไทยได้ส่งออก “วัฒนธรรมผสม” ที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตกเข้าสู่ลาว ผ่านสื่อต่างๆ แต่ในทางกลับกันไทยได้รับรู้ รับฟัง และบริโภคข้อมูลข่าวสารจากฝ่ายลาวน้อยมาก จนอาจพูดได้ว่า ไทยรู้เรื่องลาว “เพียงหางอึ่ง” เท่านั้น แม้ว่าไทยจะไม่ได้รับรู้เรื่องลาวมากนัก แต่ไทยก็ได้ยัดเยียด “วัฒนธรรมโลกาภิวัตน์” และ “วัฒนธรรมผสม” ให้กับลาวเรื่อยมา
เมื่อใดที่ไทยเริ่มเปิดรับข้อมูลของลาว
ก่อนปี 1975 วงดนตรีของกองทัพลาว คือ “ราบอากาศวังเวียง” ได้พาตนเองเข้ามาสู่สังคมไทยเป็นครั้งแรก และได้รับความนิยมจากคนไทยอย่างล้นหลามในสมัยนั้น โดยมีนักร้องนำที่ชื่อ ก. วิเสด ซึ่งมีเพลงที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ฟังชาวไทยอย่างเพลง “ไทยดำรำพัน” “ซังคนหลายใจ” “ก่อนจาก” เฉพาะอย่างยิ่งเพลงไทยดำรำพันซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างดนตรีพื้นบ้านไทยดำ และท่วงทำนองการขับทุ้มหลวงพระบางเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ในปี 1970 ก.วิเสด ยังได้แสดงภาพยนตร์ไทยร่วมกับ สมบัติ เมทะนี และเพชรา เชาวราษฏร์ ในเรื่อง “รักเธอเสมอ” อีกด้วย นับได้ว่าปรากฏการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชาวไทย หันมาสนใจประเทศข้างบ้านตนอย่างลาวมากยิ่งขึ้น
หลังเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาเป็นสังคมนิยมในปี 1975 มาตรการควบคุมทางการเมืองและสังคมที่เข้มงวดกวดขันกับการรับวัฒนธรรมต่างชาติ เฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมตะวันตก เป็นผลให้ลาวเกิดความหวาดวิตกว่าวัฒนธรรมไทยซึ่งได้รับอิทธิพลจากตะวันตกค่อนข้างสูง จะไหลบ่าเข้าสู่สังคมลาวและเป็นผลให้เกิดความเสียหายต่อวัฒนธรรมอันเก่าแก่และดีงามของตน แต่ภายหลังการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจในปี 1985 ด้วยการพัฒนาและปฏิรูปเศรษฐกิจสู่กลไกตลาดตามนโยบาย “จินตนาการใหม่” (New Economic Mechanism) ทำให้รัฐบาลลาวได้เริ่มค่อยๆ ผ่อนปรนข้อบังคับและกฎหมายต่างๆ เกี่ยวกับสื่อมากขึ้น
ข้อมูลรายงานการนำเข้าผลิตภัณฑ์สื่อประเทศต่างๆสู่ลาว และผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ ปี 2006 ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Program: UNDP) ชี้ให้เห็นว่านอกเหนือจากนโยบาย และความคล้ายคลึงต่างๆ ระหว่างไทยและลาวแล้ว เทคโนโลยียังเป็นตัวกระตุ้นให้ชาวลาวสามารถบริโภคสื่อจากไทยได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งรายงานของ UNDP ได้แสดงให้เห็นว่าชาวลาวส่วนใหญ่มีเครื่องรับโทรทัศน์และ “ร้อยละ 68 ของผู้มีเครื่องรับโทรทัศน์ในประเทศลาวดูละครไทยเป็นประจำ”
เมื่อการบริโภคสื่อไทยได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รัฐบาลลาวจำต้องออกกฎระเบียบต่างๆ เช่น กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรมได้ออกคำสั่งห้ามไม่ให้สถานที่สาธารณะ และสถานบริการทั้งหลายเปิดรายการโทรทัศน์ และทำการฉายวิดีโอภาพยนตร์ที่เป็นของไทยให้ผู้คนหรือลูกค้าดูโดยเด็ดขาด ผู้ที่ฝ่าฝืนไม่เพียงจะถูกตักเตือนเท่านั้น หากยังจะถูกปรับและลงโทษอีกด้วย อันแสดงให้เห็นถึงความหวาดวิตกต่อการไหลเข้าไปของวัฒนธรรมไทย และในทางกลับกันลาวเองก็ไม่สามารถยับยั้งปรากฏการณ์การเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจบันเทิงในสังคมลาวได้ ซึ่งอาจมาจากเหตุผลประการหนึ่ง ก็คือ ธรรมชาติของชาวลาวที่เป็นคน “มักม่วน” หรือ “รักสนุกสนาน” และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวลาวพึงพอใจที่จะบริโภครายการจากไทยซึ่งก็มีลักษณะร่วมดังกล่าวปรากฏอยู่พอสมควรเช่นกัน
ธุรกิจบันเทิงของลาวไม่จำกัดหรือขีดวงอยู่แต่เฉพาะในลาวเท่านั้น แต่กลับขยายเข้าสู่ไทยด้วย โดยมีที่มาจากเหตุผลหลายประการ เช่น ธุรกิจบันเทิงของไทยเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่และมีผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก ทำให้การลงทุนอาจมีกำไรมากกว่าการดำเนินธุรกิจในลาวแต่เพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกันนักธุรกิจบันเทิงไทยก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดี เพราะเล็งเห็นถึงความแปลกใหม่จากตัวศิลปินลาว ซึ่งอาจทำให้ชาวไทยสนใจได้ไม่ยากนัก เนื่องจากความคล้ายคลึงกันทางด้านภาษา และวัฒนธรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แม้ผู้เขียนซึ่งไม่ได้คุ้นเคยกับภาษาอีสานมากนักยังเข้าใจเพลง “แฟนเผลอ” ของวงแอลโอจี ได้จนเกือบหมด
แต่ในทางกลับกันผู้เขียนกลับไม่เข้าใจเพลง “ขับทุ้มหลวงพระบาง” ที่ได้มีโอกาสฟังบ้างครั้งสองครั้ง ดังนั้นเมื่อเทียบกับเพลงลาวในยุคก่อนๆ แล้วผู้ฟังคนไทยสามารถเข้าใจในเพลงลาวสมัยใหม่ได้ค่อนข้างมากกว่า ทั้งนี้อาจเป็นเพราะอิทธิพลภาษาไทยที่ไหลบ่าเข้าสู่สังคมลาวอย่างต่อเนื่อง เมื่อคนลาวฟังได้และคนไทยก็ฟังได้ จึงทำให้ธุรกิจบันเทิงจากฝั่งลาวโตวันโตคืน
ความนิยมและความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในสังคมไทยและลาวเปรียบเสมือนแรงกระตุ้นให้ธุรกิจบันเทิงลาวอยากจะพัฒนาศิลปินของตนเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดลาวและไทย เห็นได้ชัดจากการที่มีบริษัทธุรกิจบันเทิงในลาวเกิดขึ้นอย่างมากมาย เช่น บริษัท ลาว อาร์ท มีเดีย (ที่ร่วมทุนทำภาพยนตร์เรื่อง “สะบายดีหลวงพะบาง” กับไทย) บริษัท วาเลนไทน์มิวสิค บริษัท อินดี้ เรคคอร์ด โดยผลิตศิลปินนักร้องและวงดนตรีเป็นจำนวมาก เช่น อเล็กซานดร้า บุญช่วย ติ่ง ไพรลาวัน วงแอลโอจี หรือวงเซล เป็นต้น
ข้อพิสูจน์ถึงปรากฏการณ์นี้ที่เป็นรูปธรรมที่สุดเห็นได้จากการที่ลาวอนุญาตให้สร้างศูนย์บันเทิงครบวงจร เรียกว่า “ลาวไอเทค” ซึ่งประกอบด้วยโรงโบว์ลิ่ง โรงภาพยนตร์ สนุกเกอร์ ร้านอาหาร แต่ที่สำคัญยังเป็นสถานที่แสดงคอนเสิร์ตและจัดงานแสดงสินค้าต่างๆ อีกด้วย แสดงให้เห็นว่าลาวพร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น และอาจพร้อมแล้วที่จะส่งออกความเป็นลาวสู่สายตาชาวโลก
เมื่อสื่อลาวไม่ได้ดังแค่ในลาวเท่านั้น
นักร้องชื่อดังของลาวหลายคนซึ่งข้ามมาดังในฝั่งไทย ที่เห็นชัดที่สุดน่าจะเป็น อเล็กซานดร้า บุญช่วย ลูกครึ่ง ลาว บัลแกเรียน ซึ่งนับได้ว่าเป็นนักร้อง “ลูกซอด” หรือ “ลูกครึ่ง” คนแรกของลาว เธอเกิดและเติบโตในครอบครัวที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรี มีปู่เป็นนักแต่งเพลง โดยเฉพาะเพลง “กุหลาบปากซัน” อันโด่งดัง ทำให้บริษัท คำพอดี ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท เวิร์คพ้อยท์ ได้เล็งเห็นความสามารถของเธอและนำเธอมาร่วมเล่นละครเรื่อง “เพลงรักริมฝั่งโขง” ทางสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งของไทย โดยเธอได้รับการต้อนรับจากผู้ชมชาวไทยอย่างถล่มทลาย จนกระทั่งได้รับการทาบทามให้เล่นละครส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติ เรื่อง “เรไรลูกสาวป่า” อีกครั้งหนึ่ง
ปัจจุบันเล็กซานดร้า ได้เลิกราวงการบันเทิงไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น แต่เธอได้กลายเป็นผู้เบิกทางให้นักร้องหน้าใหม่จากลาว ได้มีโอกาสเติบโตในไทย เช่น วงแอลโอจี (วงดนตรีที่ได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ไทยเรื่อง “หมากเตะรีเทิร์น” และมีอัลบั้มร่วมกับก้านคอกลับ ภายใต้สังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ของไทย)
มีคำถามว่าการที่ศิลปินนักร้องและสื่อลาวได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในสังคมไทยนั้นเป็นผลจากแรงกระตุ้นของภาคธุรกิจแต่อย่างเดียวเท่านั้นหรือไม่ เหตุใดรัฐบาลลาวจึงมีท่าทีนิ่งเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงทางครั้งใหญ่ครั้งนี้ เหตุผลอาจมีหลายหลากต่างๆ นานา แต่พอจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า การนิ่งเฉยครั้งนี้เพราะรัฐบาลลาวเล็งเห็นว่ายิ่งห้าม ก็เหมือนกับเป็นการบังคับให้ชาวลาวหันมาบริโภคสื่อไทยมากขึ้นเรื่อยๆ และอาจไม่สามารถควบคุมสื่อต่างๆ ที่รังแต่จะล้นเข้ามาในลาว เนื่องมาจากเทคโนโลยีอันทันสมัยในปัจจุบัน การปิดกั้นอาจทำได้ยาก แต่เพียงหากรัฐบาลลาวรู้จักที่จะควบคุมและใช้วัฒนธรรมใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ อาจทำให้ลาวได้ผลประโยชน์หลายประการ เช่น ผลประโยชน์ทางธุรกิจที่สามารถดำเนินธุรกิจนี้ในไทย เยาวชนลาวลดการบริโภคสื่อไทย และหันมาบริโภคสื่อลาวมากขึ้นซึ่งรัฐบาลสามารถควบคุมได้ หรืออาจช่วยลดการติดยาเสพติดของเยาวชนลาว โดยหันมาทำกิจกรรมที่อาจเป็นประโยชน์เหล่านี้
แม้จะมีผู้คนในลาวกลัวการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ซึ่งอาจทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมของลาวเสียหาย จากเพลงลาวสมัยใหม่ที่มีลักษณะไม่แตกต่างจากเพลงไทยทั้งรูปแบบหรือทำนอง ผิดกันแต่เนื้อร้องซึ่งเป็นภาษาลาวที่มีอิทธิพลภาษาไทยปะปนอยู่ จนทำให้เพลงลาวอาจไม่เป็น “ลาว” อีกต่อไป อย่างไรก็ตามการหยุดยั้ง และการปิดกั้น คงจะมิใช่หนทางที่จะนำไปสู่ผลดีแก่ทุกๆ ฝ่าย การประนีประนอม ดูจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้
ในเร็ววัน ไทยคงจะได้เห็นศิลปินลาวในตลาดบันเทิงไทยอีกเป็นระลอกๆ การที่ไทยเปิดใจต้อนรับศิลปินเพื่อนบ้าน และการที่ลาวเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลง น่าจะเป็นผลดีให้ไทยได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับลาว ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง ซึ่งมีความสัมพันธ์กันมาช้านาน เพื่อที่ไทยจะสามารถมองลาวอย่างถ่องแท้ ลึกซึ้ง และถูกต้องมากขึ้นก็เป็นได้ และอาจป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดจากความเข้าใจผิดต่างๆ ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตจะได้ไม่เกิดซ้ำรอยในปัจจุบันหรืออนาคตอีก
* นักศึกษาปริญญาโทสาขาการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยยูวาสกูล่า ฟินแลนด์ และนักศึกษาฝึกงานศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หมายเหตุ : ผู้สนใจสามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน Website: http://www.thaiworld.org
ปัจจุบันคนไทยหลายคนคงจะรู้จักชื่อนักร้องและวงดนตรีต่างๆ เหล่านี้ เช่น อเล็กซานดร้า บุญช่วย วงเซล หรือวงแอลโอจี บ้างไม่มากก็น้อย และบางคนอาจทราบดีว่าศิลปินเหล่านี้เป็นนักร้องและวงดนตรีจากประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของไทย ซึ่งก็คือ ลาว นั่นเอง จนบางขณะอาจหลงลืมไปว่ายังมีเพื่อนบ้านที่มีความคล้ายคลึงกันกับไทยในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นภาษา หรือศิลปวัฒนธรรม
ในอดีต ชาวลาวบริโภคสื่อไทยทั้งด้วยความเต็มใจหรืออาจจะด้วยความบังเอิญ จากการกระจายเสียงของวิทยุและโทรทัศน์ข้ามพรมแดน หรือจากจานรับดาวเทียม และดูเสมือนว่ารายการของไทยจะทำให้คนลาวติดอกติดใจ เนื่องจากสาเหตุหลายประการ เช่น 1) ความคล้ายคลึงกันทางด้านภาษาไทยและลาว ทำให้ชาวลาวเข้าใจรายการของไทยได้อย่างไร้ปัญหา 2) จำนวนของรายการลาวที่ยังมีให้เลือกชมหรือฟังไม่มากมายนัก เป็นเหมือนกับการบังคับอย่างอ้อมๆ ให้ชาวลาวหันมาบริโภคสื่อไทยมากขึ้นเรื่อยๆ 3) ชาวลาวได้บริโภคสื่อไทยมาเป็นระยะเวลานาน จนอาจกลายเป็นความคุ้นเคย และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้วก็ว่าได้
เป็นระยะเวลายาวนานที่ไทยได้ส่งออก “วัฒนธรรมผสม” ที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตกเข้าสู่ลาว ผ่านสื่อต่างๆ แต่ในทางกลับกันไทยได้รับรู้ รับฟัง และบริโภคข้อมูลข่าวสารจากฝ่ายลาวน้อยมาก จนอาจพูดได้ว่า ไทยรู้เรื่องลาว “เพียงหางอึ่ง” เท่านั้น แม้ว่าไทยจะไม่ได้รับรู้เรื่องลาวมากนัก แต่ไทยก็ได้ยัดเยียด “วัฒนธรรมโลกาภิวัตน์” และ “วัฒนธรรมผสม” ให้กับลาวเรื่อยมา
เมื่อใดที่ไทยเริ่มเปิดรับข้อมูลของลาว
ก่อนปี 1975 วงดนตรีของกองทัพลาว คือ “ราบอากาศวังเวียง” ได้พาตนเองเข้ามาสู่สังคมไทยเป็นครั้งแรก และได้รับความนิยมจากคนไทยอย่างล้นหลามในสมัยนั้น โดยมีนักร้องนำที่ชื่อ ก. วิเสด ซึ่งมีเพลงที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ฟังชาวไทยอย่างเพลง “ไทยดำรำพัน” “ซังคนหลายใจ” “ก่อนจาก” เฉพาะอย่างยิ่งเพลงไทยดำรำพันซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างดนตรีพื้นบ้านไทยดำ และท่วงทำนองการขับทุ้มหลวงพระบางเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ในปี 1970 ก.วิเสด ยังได้แสดงภาพยนตร์ไทยร่วมกับ สมบัติ เมทะนี และเพชรา เชาวราษฏร์ ในเรื่อง “รักเธอเสมอ” อีกด้วย นับได้ว่าปรากฏการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชาวไทย หันมาสนใจประเทศข้างบ้านตนอย่างลาวมากยิ่งขึ้น
หลังเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาเป็นสังคมนิยมในปี 1975 มาตรการควบคุมทางการเมืองและสังคมที่เข้มงวดกวดขันกับการรับวัฒนธรรมต่างชาติ เฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมตะวันตก เป็นผลให้ลาวเกิดความหวาดวิตกว่าวัฒนธรรมไทยซึ่งได้รับอิทธิพลจากตะวันตกค่อนข้างสูง จะไหลบ่าเข้าสู่สังคมลาวและเป็นผลให้เกิดความเสียหายต่อวัฒนธรรมอันเก่าแก่และดีงามของตน แต่ภายหลังการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจในปี 1985 ด้วยการพัฒนาและปฏิรูปเศรษฐกิจสู่กลไกตลาดตามนโยบาย “จินตนาการใหม่” (New Economic Mechanism) ทำให้รัฐบาลลาวได้เริ่มค่อยๆ ผ่อนปรนข้อบังคับและกฎหมายต่างๆ เกี่ยวกับสื่อมากขึ้น
ข้อมูลรายงานการนำเข้าผลิตภัณฑ์สื่อประเทศต่างๆสู่ลาว และผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ ปี 2006 ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Program: UNDP) ชี้ให้เห็นว่านอกเหนือจากนโยบาย และความคล้ายคลึงต่างๆ ระหว่างไทยและลาวแล้ว เทคโนโลยียังเป็นตัวกระตุ้นให้ชาวลาวสามารถบริโภคสื่อจากไทยได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งรายงานของ UNDP ได้แสดงให้เห็นว่าชาวลาวส่วนใหญ่มีเครื่องรับโทรทัศน์และ “ร้อยละ 68 ของผู้มีเครื่องรับโทรทัศน์ในประเทศลาวดูละครไทยเป็นประจำ”
เมื่อการบริโภคสื่อไทยได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รัฐบาลลาวจำต้องออกกฎระเบียบต่างๆ เช่น กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรมได้ออกคำสั่งห้ามไม่ให้สถานที่สาธารณะ และสถานบริการทั้งหลายเปิดรายการโทรทัศน์ และทำการฉายวิดีโอภาพยนตร์ที่เป็นของไทยให้ผู้คนหรือลูกค้าดูโดยเด็ดขาด ผู้ที่ฝ่าฝืนไม่เพียงจะถูกตักเตือนเท่านั้น หากยังจะถูกปรับและลงโทษอีกด้วย อันแสดงให้เห็นถึงความหวาดวิตกต่อการไหลเข้าไปของวัฒนธรรมไทย และในทางกลับกันลาวเองก็ไม่สามารถยับยั้งปรากฏการณ์การเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจบันเทิงในสังคมลาวได้ ซึ่งอาจมาจากเหตุผลประการหนึ่ง ก็คือ ธรรมชาติของชาวลาวที่เป็นคน “มักม่วน” หรือ “รักสนุกสนาน” และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวลาวพึงพอใจที่จะบริโภครายการจากไทยซึ่งก็มีลักษณะร่วมดังกล่าวปรากฏอยู่พอสมควรเช่นกัน
ธุรกิจบันเทิงของลาวไม่จำกัดหรือขีดวงอยู่แต่เฉพาะในลาวเท่านั้น แต่กลับขยายเข้าสู่ไทยด้วย โดยมีที่มาจากเหตุผลหลายประการ เช่น ธุรกิจบันเทิงของไทยเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่และมีผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก ทำให้การลงทุนอาจมีกำไรมากกว่าการดำเนินธุรกิจในลาวแต่เพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกันนักธุรกิจบันเทิงไทยก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดี เพราะเล็งเห็นถึงความแปลกใหม่จากตัวศิลปินลาว ซึ่งอาจทำให้ชาวไทยสนใจได้ไม่ยากนัก เนื่องจากความคล้ายคลึงกันทางด้านภาษา และวัฒนธรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แม้ผู้เขียนซึ่งไม่ได้คุ้นเคยกับภาษาอีสานมากนักยังเข้าใจเพลง “แฟนเผลอ” ของวงแอลโอจี ได้จนเกือบหมด
แต่ในทางกลับกันผู้เขียนกลับไม่เข้าใจเพลง “ขับทุ้มหลวงพระบาง” ที่ได้มีโอกาสฟังบ้างครั้งสองครั้ง ดังนั้นเมื่อเทียบกับเพลงลาวในยุคก่อนๆ แล้วผู้ฟังคนไทยสามารถเข้าใจในเพลงลาวสมัยใหม่ได้ค่อนข้างมากกว่า ทั้งนี้อาจเป็นเพราะอิทธิพลภาษาไทยที่ไหลบ่าเข้าสู่สังคมลาวอย่างต่อเนื่อง เมื่อคนลาวฟังได้และคนไทยก็ฟังได้ จึงทำให้ธุรกิจบันเทิงจากฝั่งลาวโตวันโตคืน
ความนิยมและความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในสังคมไทยและลาวเปรียบเสมือนแรงกระตุ้นให้ธุรกิจบันเทิงลาวอยากจะพัฒนาศิลปินของตนเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดลาวและไทย เห็นได้ชัดจากการที่มีบริษัทธุรกิจบันเทิงในลาวเกิดขึ้นอย่างมากมาย เช่น บริษัท ลาว อาร์ท มีเดีย (ที่ร่วมทุนทำภาพยนตร์เรื่อง “สะบายดีหลวงพะบาง” กับไทย) บริษัท วาเลนไทน์มิวสิค บริษัท อินดี้ เรคคอร์ด โดยผลิตศิลปินนักร้องและวงดนตรีเป็นจำนวมาก เช่น อเล็กซานดร้า บุญช่วย ติ่ง ไพรลาวัน วงแอลโอจี หรือวงเซล เป็นต้น
ข้อพิสูจน์ถึงปรากฏการณ์นี้ที่เป็นรูปธรรมที่สุดเห็นได้จากการที่ลาวอนุญาตให้สร้างศูนย์บันเทิงครบวงจร เรียกว่า “ลาวไอเทค” ซึ่งประกอบด้วยโรงโบว์ลิ่ง โรงภาพยนตร์ สนุกเกอร์ ร้านอาหาร แต่ที่สำคัญยังเป็นสถานที่แสดงคอนเสิร์ตและจัดงานแสดงสินค้าต่างๆ อีกด้วย แสดงให้เห็นว่าลาวพร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น และอาจพร้อมแล้วที่จะส่งออกความเป็นลาวสู่สายตาชาวโลก
เมื่อสื่อลาวไม่ได้ดังแค่ในลาวเท่านั้น
นักร้องชื่อดังของลาวหลายคนซึ่งข้ามมาดังในฝั่งไทย ที่เห็นชัดที่สุดน่าจะเป็น อเล็กซานดร้า บุญช่วย ลูกครึ่ง ลาว บัลแกเรียน ซึ่งนับได้ว่าเป็นนักร้อง “ลูกซอด” หรือ “ลูกครึ่ง” คนแรกของลาว เธอเกิดและเติบโตในครอบครัวที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรี มีปู่เป็นนักแต่งเพลง โดยเฉพาะเพลง “กุหลาบปากซัน” อันโด่งดัง ทำให้บริษัท คำพอดี ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท เวิร์คพ้อยท์ ได้เล็งเห็นความสามารถของเธอและนำเธอมาร่วมเล่นละครเรื่อง “เพลงรักริมฝั่งโขง” ทางสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งของไทย โดยเธอได้รับการต้อนรับจากผู้ชมชาวไทยอย่างถล่มทลาย จนกระทั่งได้รับการทาบทามให้เล่นละครส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติ เรื่อง “เรไรลูกสาวป่า” อีกครั้งหนึ่ง
ปัจจุบันเล็กซานดร้า ได้เลิกราวงการบันเทิงไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น แต่เธอได้กลายเป็นผู้เบิกทางให้นักร้องหน้าใหม่จากลาว ได้มีโอกาสเติบโตในไทย เช่น วงแอลโอจี (วงดนตรีที่ได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ไทยเรื่อง “หมากเตะรีเทิร์น” และมีอัลบั้มร่วมกับก้านคอกลับ ภายใต้สังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ของไทย)
มีคำถามว่าการที่ศิลปินนักร้องและสื่อลาวได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในสังคมไทยนั้นเป็นผลจากแรงกระตุ้นของภาคธุรกิจแต่อย่างเดียวเท่านั้นหรือไม่ เหตุใดรัฐบาลลาวจึงมีท่าทีนิ่งเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงทางครั้งใหญ่ครั้งนี้ เหตุผลอาจมีหลายหลากต่างๆ นานา แต่พอจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า การนิ่งเฉยครั้งนี้เพราะรัฐบาลลาวเล็งเห็นว่ายิ่งห้าม ก็เหมือนกับเป็นการบังคับให้ชาวลาวหันมาบริโภคสื่อไทยมากขึ้นเรื่อยๆ และอาจไม่สามารถควบคุมสื่อต่างๆ ที่รังแต่จะล้นเข้ามาในลาว เนื่องมาจากเทคโนโลยีอันทันสมัยในปัจจุบัน การปิดกั้นอาจทำได้ยาก แต่เพียงหากรัฐบาลลาวรู้จักที่จะควบคุมและใช้วัฒนธรรมใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ อาจทำให้ลาวได้ผลประโยชน์หลายประการ เช่น ผลประโยชน์ทางธุรกิจที่สามารถดำเนินธุรกิจนี้ในไทย เยาวชนลาวลดการบริโภคสื่อไทย และหันมาบริโภคสื่อลาวมากขึ้นซึ่งรัฐบาลสามารถควบคุมได้ หรืออาจช่วยลดการติดยาเสพติดของเยาวชนลาว โดยหันมาทำกิจกรรมที่อาจเป็นประโยชน์เหล่านี้
แม้จะมีผู้คนในลาวกลัวการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ซึ่งอาจทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมของลาวเสียหาย จากเพลงลาวสมัยใหม่ที่มีลักษณะไม่แตกต่างจากเพลงไทยทั้งรูปแบบหรือทำนอง ผิดกันแต่เนื้อร้องซึ่งเป็นภาษาลาวที่มีอิทธิพลภาษาไทยปะปนอยู่ จนทำให้เพลงลาวอาจไม่เป็น “ลาว” อีกต่อไป อย่างไรก็ตามการหยุดยั้ง และการปิดกั้น คงจะมิใช่หนทางที่จะนำไปสู่ผลดีแก่ทุกๆ ฝ่าย การประนีประนอม ดูจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้
ในเร็ววัน ไทยคงจะได้เห็นศิลปินลาวในตลาดบันเทิงไทยอีกเป็นระลอกๆ การที่ไทยเปิดใจต้อนรับศิลปินเพื่อนบ้าน และการที่ลาวเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลง น่าจะเป็นผลดีให้ไทยได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับลาว ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง ซึ่งมีความสัมพันธ์กันมาช้านาน เพื่อที่ไทยจะสามารถมองลาวอย่างถ่องแท้ ลึกซึ้ง และถูกต้องมากขึ้นก็เป็นได้ และอาจป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดจากความเข้าใจผิดต่างๆ ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตจะได้ไม่เกิดซ้ำรอยในปัจจุบันหรืออนาคตอีก
* นักศึกษาปริญญาโทสาขาการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยยูวาสกูล่า ฟินแลนด์ และนักศึกษาฝึกงานศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หมายเหตุ : ผู้สนใจสามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน Website: http://www.thaiworld.org