ในที่สุดการปรับคณะรัฐมนตรีได้ดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่นายกรัฐมนตรี “ลุงหมัก” สมัคร สุนทรเวช เตรียมที่จะปรับมาหลายสัปดาห์ เนื่องด้วยมีหลากหลายคดีความของบรรดารัฐมนตรีหลายคนที่ค่อยๆ ทยอยทั้งถูก “ปรับออก” และ “ลาออก” เนื่องด้วยกระแสบีบคั้นทางการเมืองและสังคม และกระบวนการยุติธรรม จนต้องมีการปรับมากที่สุดในครั้งนี้เป็น “สมัคร 4” 13 ตำแหน่ง 11 คน
การปรับ “ครม.สมัคร 4” ครั้งล่าสุดนี้ ต่างเป็นที่ “คาดหวัง” ของประชาชนโดยทั่วไปว่าจะต้องมี “รูปร่างหน้าตา-โหวงเฮ้ง” ออกมา “ดูดี” แต่จริงๆ แล้วเอาเป็นแค่เพียง “พอรับได้” ไม่ถึงขั้น “ยอมรับ” ทั้งหมดก็น่าจะได้ “เฮ!” กันมากพอสมควร ทั้งนี้ แม้กระทั่ง “ลุงหมัก” นายกรัฐมนตรีก็ยังตกปากรับคำสัญญาว่า “ต้องไม่ขี้เหร่!” เหมือนชุดแรก ที่แม้กระทั่ง นายกฯ สมัคร ยังเอ่ยปากยอมรับเองว่า “ครม.ขี้เหร่!”
ถามว่า การปรับคณะรัฐมนตรี “สมัคร 4” ในครั้งนี้ได้ถูก “เปิดรายชื่อ-เปิดโผ” ออกมาแล้ว เราต้องยอมรับว่า แทนที่จะได้ “เฮ!” กลับตาลปัตรเป็น “โห่!” ล่ะมากกว่า เนื่องด้วยเป็นการ “ปรับสลับเก้าอี้” กันเท่านั้น แต่ไม่สำคัญเท่ากับเป็นการ “ต่างตอบแทน” และ “ตอบแทนบุญคุณ” บรรดาทั้ง “กลุ่มการเมือง” และ “กลุ่มทุน” ต่างๆ
จะมีก็แต่ที่คนไทยถ้วนหน้าต่างชื่นชมและยอมรับโดยดุษฎีคือ “ท่านเตช บุนนาค” ได้เสียสละกระโดดลงมาเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นอดีตข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ และได้ปฏิบัติราชการรับใช้เบื้องพระยุคลบาทในสำนักราชเลขาธิการ จึงเป็นที่ยอมรับและ “พิสูจน์” ได้ว่าเป็นบุคคลที่ยึดมั่นใน “สถาบันชาติ-ศาสน์-กษัตริย์”
ทั้งนี้ “วาระซ่อนเร้น-ภารกิจซ่อนเร้น” ของท่านรัฐมนตรีเตช บุนนาค นั้นรับรองได้ว่า ไม่มีอย่างเด็ดขาด มีเพียงภารกิจหลักๆ ที่ต้องดำเนินการคือการเป็นตัวแทนฝ่ายไทยในการเจรจากับรัฐบาลกัมพูชากรณี “พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร” ที่เขาพระวิหาร
แต่รัฐบาล “ลุงหมัก” ถือว่าได้ “ภาพลักษณ์” และ “ความรู้สึกดี” จากคนไทย พูดง่ายๆ คือ ภาพลักษณ์ของรัฐบาลลุงหมักกระเตื้องขึ้นมามาก จากการได้ ”บุคลากรที่มีคุณค่า-คุณงามความดี” เหมือน “ฝน” โปรยลงมาให้รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช “ชุ่มช่ำ!” ได้มากทีเดียว!
ปัญหาของรัฐบาลทุกรัฐบาล เพื่อความเป็นธรรมต้องยอมรับว่ามีปัญหาใน “การกำหนดบุคคลกับตำแหน่งงาน” หรือ “Put The Right Man On The Right Job” ที่ผิดพลาดตลอด ในกรณีของ “ความรู้ความสามารถ-ความเชี่ยวชาญในหน้าที่ภารกิจ” ไม่มากก็น้อย พูดง่ายๆ คือ “กำหนดตัวบุคคลไม่เหมาะสมกับงานและหน้าที่!”
เหตุผลสำคัญของปัญหาการวางตัวบุคคลให้เหมาะสมกับงานที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถและเชี่ยวชาญในภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ และได้รับการยอมรับจากสังคมทั่วไป เกิดจาก “ปัญหาสังคมการเมืองไทย” และ “วัฒนธรรมการเมืองไทย” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ระบบอุปถัมภ์” ที่ฝังรากลึกและมีอิทธิพลอย่างมากกับโครงสร้างและระบบของสังคมไทย
“อำนาจ-ผลประโยชน์” ที่เป็นปัจจัยสำคัญกับอิทธิพลของสังคมไทยตั้งแต่ประวัติศาสตร์มายาวนาน ที่สังคมไทยเป็น “สังคมระบบชนชั้น” ที่ต่าง “เอื้ออำนวย อุปการะ ค้ำจุน” กัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า สังคมระบบชนชั้นนั้นต่างตอบแทนเอื้อเฟื้ออุปถัมภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ชนชั้นนำ” กับ “ชนชั้นล่าง” ทำนอง “ผู้ปกครอง-ผู้ถูกปกครอง” หรือ “ผู้อุปถัมภ์” กับ “ผู้ถูกอุปถัมภ์”
เพราะฉะนั้น สังคมไทยมีรากฐานของการอุปถัมภ์ เอื้อประโยชน์ด้วยโครงสร้างทางอำนาจและผลประโยชน์ที่มีการแลกเปลี่ยนกันตลอดเวลา มาตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์มายาวนานนับร้อยๆ ปี น่าจะย้อนไกลไปจนถึงยุคสุโขทัย ยุคอโยธยา กันเลยทีเดียว
จาก “วัฒนธรรมสังคมไทย” ซึ่งแน่นอนที่สุดที่ต้องส่งอิทธิพลสูงต่อ “วัฒนธรรมสังคมการเมืองไทย” ที่ต้อง “ต่างตอบแทน” กับ “กลุ่มการเมือง” ต่างๆ ที่อยู่ในพรรคการเมือง โดยที่เราต้อง “เข้าใจ-เรียนรู้-ยอมรับ” ว่า “พรรคการเมืองไทย” ประกอบไปด้วย “มุ้ง-ก๊ก-ก๊วน” ต่างๆ ที่ประกอบรวมตัวกันเป็นพรรค โดยแต่ละกลุ่มนั้นจะมี แกนนำและหัวหน้ากลุ่มเปรียบเสมือนเป็น “ขุนน้ำขุนนาง” หรือ “แม่ทัพ” ที่จำต้อง “อุปถัมภ์-เลี้ยงดู” กลุ่มผู้ตาม และ/หรือกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชา
แต่ละกลุ่ม ก๊ก ก๊วน มุ้ง นั้น บางกลุ่มก็ประมาณ 5-6 คน บางกลุ่มมีจำนวนมากนับ 10 คนขึ้นไป ถามว่า “การอุปถัมภ์” กลุ่มแต่ละกลุ่มและทุกกลุ่มจะต้องใช้ “เงิน” ทั้งสิ้น ดังนั้น “การระดมเงินทุน” จาก “กลุ่มทุน” ต่างๆ นั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งของแต่ละพรรคการเมืองต้อง “ระดมทุน” มาเพื่อให้พรรคการเมืองคงสถานะไว้ได้
เมื่อพรรคการเมืองทุกพรรคประกอบไปด้วย “กลุ่ม-ก๊ก-ก๊วน-มุ้ง” ยิ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่ ก็จะมีสมาชิกที่มีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรมาก แน่นอน ที่จะต้องมี “ค่าใช้จ่าย” จำนวนมากที่ต้องดูแล ส.ส.ให้ครบทุกคน และทุกมุ้ง มิเช่นนั้น “การแตกแถว-คุมเกม” จะไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน!
“พฤติกรรมนักการเมืองไทย” ตั้งอยู่บนรากฐานของ “วัฒนธรรมการเมืองไทย” และ “วัฒนธรรมสังคมไทย” ที่ยึดติดอยู่กับ “ระบบอุปถัมภ์” เพราะฉะนั้นจึงเป็นสภาพความจริงของ “ธรรมชาติการเมืองไทย” ที่ “นักการเมือง” จะต้องอยู่ภายใต้ “ระบบนาย” หรือจะให้กล่าวอย่างเลยเถิดไปเลยก็ว่าได้ ว่าเป็น “ระบบเจ้าขุนมูลนาย” แม้กระทั่ง เราเพียรพยายามป่าวประกาศว่าระบบการเมืองบ้านเราเป็น “ระบบประชาธิปไตย”
เมื่อ “พฤติกรรมนักการเมือง-วัฒนธรรมการเมืองไทย” เป็นเช่นนี้ การปรับ “ครม.สมัคร 4” ถึงได้มีรูปร่างหน้าตาออกมาเป็นเช่นนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถามว่าสังคม “รับได้” หรือไม่กับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ปรับครั้งล่าสุด ก็ต้องบอกว่า “รับได้บ้าง” จนถึง “รับไม่ได้” และก็ต้องสารภาพตามตรงว่า “ยังขี้เหร่!” อยู่บ้าง แต่ก็ยังดีกว่า “สมัคร 1” ที่แม้แต่ “ลุงหมัก” นายกรัฐมนตรียังยอมรับด้วยตนเอง
ปัญหาของการปรับคณะรัฐมนตรี และ/หรือการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแทบทุกรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง “ระบบโควตา-ระบบนายทุนพรรค” จะเป็นปัจจัยสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ต้อง “หวานอมขมกลืน” ว่าจะต้องมีบุคคลที่ไม่เป็นที่ยอมรับ และ/หรือรับไม่ได้ของสังคมมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการ “Put The Right Man On The Right Job” และ “ครม.สมัคร 4” ก็เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจด้านค้าขายที่ต้องการทั้งรัฐมนตรีว่าการฯ และรัฐมนตรีช่วยมีความรู้ความเชี่ยวชาญใน “เวทีการค้าโลก”
เราจะสังเกตหรือไม่ว่า เมื่อใดที่มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลที่มาจาก “การยึดอำนาจ-รัฐประหาร” เรามักจะได้กลุ่มบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญและเป็นที่ยอมรับของสังคม พูดง่ายๆ คือได้ “คนดีมีความรู้” มาทำงานรับใช้ประเทศชาติ
อย่างไรก็ตามเราต้อง “ทำใจ” กับสภาพการเมืองไทยที่ยังไงๆ ก็หนีไม่พ้น “ระบบต่างตอบแทน-โควตา-ทุน” ที่ต้อง “จมปลัก” อยู่กับระบบดังกล่าวไปอีกนานแสนนาน ตราบใดที่ “ธุรกิจการเมือง (Political Business)” ยังคง “แผลงฤทธิ์-อาละวาด” อยู่เช่นนี้ เพราะความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “นักการเมือง” ต่างเป็น “นักเลือกตั้ง-นักซื้อตั้ง” เกือบร้อยละ 95
เราคงต้องปล่อยให้เขาเหล่านี้ต่างทำงานกันไป ผลงานจะมีประสิทธิภาพประสิทธิผลเพียงใด เราคงเดาออกว่า “มันก็คงอีหรอบเดิม!”
เพียงแต่ว่า ปัญหาที่จะเกิดขึ้นนับต่อนี้เป็นต้นไป ก็คงคาดการณ์ได้ถูกว่า “พรรคแกนนำ : พรรคพลังประชาชน” ก็จะดำเนินไปสู่ “สภาวะร้าวฉาน” เนื่องด้วยสารพัดก๊ก มุ้ง ก๊วน ที่แก่งแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีกัน และน่าจะถึงขั้นแตกหักในที่สุด
คำถามสำคัญที่ทุกฝ่ายต่างถามกันว่า “ครม.สมัคร 4” นี้จะอยู่ได้ยาวนานเพียงไหน บ้างก็บอกว่า 2 เดือน บ้างก็บอกว่า 3 เดือน ว่าไปแล้วไม่มีใครผิดเลยกับ “ระยะเวลา-อายุ” ของ “ครม.สมัคร 4” โดยต้องมี “อุบัติเหตุทางการเมือง” เกิดขึ้นแน่นอน การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญเริ่มตั้งแต่ “รายการชิมไปบ่นไป-ยุบพรรค-3 รัฐมนตรี (หวย)” และสารพัดเรื่อง โดยเฉพาะการถอดใจในการสนับสนุนพรรคพลังประชาชนต่อไปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
คำถามที่ถามกันอยู่ขณะนี้ว่า “จะยุบสภาเมื่อไหร่?” กับ “จะมีการยึดอำนาจอีกหรือไม่?” และ “ชาติบ้านเมืองจะแตกแยก-คนไทยฆ่ากันเอง” เลวร้ายไปมากกว่านี้หรือไม่ อย่างไร
ดังนั้น จะปรับคณะรัฐมนตรีซักกี่ครั้ง ก็ยังไม่สามารถทำให้สภาวการณ์ชาติบ้านเมืองราบรื่นได้อย่างแน่นอน แต่ไม่สำคัญเท่ากับว่า “ชาติบ้านเมืองย่ำอยู่กับที่!”
การปรับ “ครม.สมัคร 4” ครั้งล่าสุดนี้ ต่างเป็นที่ “คาดหวัง” ของประชาชนโดยทั่วไปว่าจะต้องมี “รูปร่างหน้าตา-โหวงเฮ้ง” ออกมา “ดูดี” แต่จริงๆ แล้วเอาเป็นแค่เพียง “พอรับได้” ไม่ถึงขั้น “ยอมรับ” ทั้งหมดก็น่าจะได้ “เฮ!” กันมากพอสมควร ทั้งนี้ แม้กระทั่ง “ลุงหมัก” นายกรัฐมนตรีก็ยังตกปากรับคำสัญญาว่า “ต้องไม่ขี้เหร่!” เหมือนชุดแรก ที่แม้กระทั่ง นายกฯ สมัคร ยังเอ่ยปากยอมรับเองว่า “ครม.ขี้เหร่!”
ถามว่า การปรับคณะรัฐมนตรี “สมัคร 4” ในครั้งนี้ได้ถูก “เปิดรายชื่อ-เปิดโผ” ออกมาแล้ว เราต้องยอมรับว่า แทนที่จะได้ “เฮ!” กลับตาลปัตรเป็น “โห่!” ล่ะมากกว่า เนื่องด้วยเป็นการ “ปรับสลับเก้าอี้” กันเท่านั้น แต่ไม่สำคัญเท่ากับเป็นการ “ต่างตอบแทน” และ “ตอบแทนบุญคุณ” บรรดาทั้ง “กลุ่มการเมือง” และ “กลุ่มทุน” ต่างๆ
จะมีก็แต่ที่คนไทยถ้วนหน้าต่างชื่นชมและยอมรับโดยดุษฎีคือ “ท่านเตช บุนนาค” ได้เสียสละกระโดดลงมาเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นอดีตข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ และได้ปฏิบัติราชการรับใช้เบื้องพระยุคลบาทในสำนักราชเลขาธิการ จึงเป็นที่ยอมรับและ “พิสูจน์” ได้ว่าเป็นบุคคลที่ยึดมั่นใน “สถาบันชาติ-ศาสน์-กษัตริย์”
ทั้งนี้ “วาระซ่อนเร้น-ภารกิจซ่อนเร้น” ของท่านรัฐมนตรีเตช บุนนาค นั้นรับรองได้ว่า ไม่มีอย่างเด็ดขาด มีเพียงภารกิจหลักๆ ที่ต้องดำเนินการคือการเป็นตัวแทนฝ่ายไทยในการเจรจากับรัฐบาลกัมพูชากรณี “พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร” ที่เขาพระวิหาร
แต่รัฐบาล “ลุงหมัก” ถือว่าได้ “ภาพลักษณ์” และ “ความรู้สึกดี” จากคนไทย พูดง่ายๆ คือ ภาพลักษณ์ของรัฐบาลลุงหมักกระเตื้องขึ้นมามาก จากการได้ ”บุคลากรที่มีคุณค่า-คุณงามความดี” เหมือน “ฝน” โปรยลงมาให้รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช “ชุ่มช่ำ!” ได้มากทีเดียว!
ปัญหาของรัฐบาลทุกรัฐบาล เพื่อความเป็นธรรมต้องยอมรับว่ามีปัญหาใน “การกำหนดบุคคลกับตำแหน่งงาน” หรือ “Put The Right Man On The Right Job” ที่ผิดพลาดตลอด ในกรณีของ “ความรู้ความสามารถ-ความเชี่ยวชาญในหน้าที่ภารกิจ” ไม่มากก็น้อย พูดง่ายๆ คือ “กำหนดตัวบุคคลไม่เหมาะสมกับงานและหน้าที่!”
เหตุผลสำคัญของปัญหาการวางตัวบุคคลให้เหมาะสมกับงานที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถและเชี่ยวชาญในภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ และได้รับการยอมรับจากสังคมทั่วไป เกิดจาก “ปัญหาสังคมการเมืองไทย” และ “วัฒนธรรมการเมืองไทย” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ระบบอุปถัมภ์” ที่ฝังรากลึกและมีอิทธิพลอย่างมากกับโครงสร้างและระบบของสังคมไทย
“อำนาจ-ผลประโยชน์” ที่เป็นปัจจัยสำคัญกับอิทธิพลของสังคมไทยตั้งแต่ประวัติศาสตร์มายาวนาน ที่สังคมไทยเป็น “สังคมระบบชนชั้น” ที่ต่าง “เอื้ออำนวย อุปการะ ค้ำจุน” กัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า สังคมระบบชนชั้นนั้นต่างตอบแทนเอื้อเฟื้ออุปถัมภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ชนชั้นนำ” กับ “ชนชั้นล่าง” ทำนอง “ผู้ปกครอง-ผู้ถูกปกครอง” หรือ “ผู้อุปถัมภ์” กับ “ผู้ถูกอุปถัมภ์”
เพราะฉะนั้น สังคมไทยมีรากฐานของการอุปถัมภ์ เอื้อประโยชน์ด้วยโครงสร้างทางอำนาจและผลประโยชน์ที่มีการแลกเปลี่ยนกันตลอดเวลา มาตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์มายาวนานนับร้อยๆ ปี น่าจะย้อนไกลไปจนถึงยุคสุโขทัย ยุคอโยธยา กันเลยทีเดียว
จาก “วัฒนธรรมสังคมไทย” ซึ่งแน่นอนที่สุดที่ต้องส่งอิทธิพลสูงต่อ “วัฒนธรรมสังคมการเมืองไทย” ที่ต้อง “ต่างตอบแทน” กับ “กลุ่มการเมือง” ต่างๆ ที่อยู่ในพรรคการเมือง โดยที่เราต้อง “เข้าใจ-เรียนรู้-ยอมรับ” ว่า “พรรคการเมืองไทย” ประกอบไปด้วย “มุ้ง-ก๊ก-ก๊วน” ต่างๆ ที่ประกอบรวมตัวกันเป็นพรรค โดยแต่ละกลุ่มนั้นจะมี แกนนำและหัวหน้ากลุ่มเปรียบเสมือนเป็น “ขุนน้ำขุนนาง” หรือ “แม่ทัพ” ที่จำต้อง “อุปถัมภ์-เลี้ยงดู” กลุ่มผู้ตาม และ/หรือกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชา
แต่ละกลุ่ม ก๊ก ก๊วน มุ้ง นั้น บางกลุ่มก็ประมาณ 5-6 คน บางกลุ่มมีจำนวนมากนับ 10 คนขึ้นไป ถามว่า “การอุปถัมภ์” กลุ่มแต่ละกลุ่มและทุกกลุ่มจะต้องใช้ “เงิน” ทั้งสิ้น ดังนั้น “การระดมเงินทุน” จาก “กลุ่มทุน” ต่างๆ นั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งของแต่ละพรรคการเมืองต้อง “ระดมทุน” มาเพื่อให้พรรคการเมืองคงสถานะไว้ได้
เมื่อพรรคการเมืองทุกพรรคประกอบไปด้วย “กลุ่ม-ก๊ก-ก๊วน-มุ้ง” ยิ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่ ก็จะมีสมาชิกที่มีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรมาก แน่นอน ที่จะต้องมี “ค่าใช้จ่าย” จำนวนมากที่ต้องดูแล ส.ส.ให้ครบทุกคน และทุกมุ้ง มิเช่นนั้น “การแตกแถว-คุมเกม” จะไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน!
“พฤติกรรมนักการเมืองไทย” ตั้งอยู่บนรากฐานของ “วัฒนธรรมการเมืองไทย” และ “วัฒนธรรมสังคมไทย” ที่ยึดติดอยู่กับ “ระบบอุปถัมภ์” เพราะฉะนั้นจึงเป็นสภาพความจริงของ “ธรรมชาติการเมืองไทย” ที่ “นักการเมือง” จะต้องอยู่ภายใต้ “ระบบนาย” หรือจะให้กล่าวอย่างเลยเถิดไปเลยก็ว่าได้ ว่าเป็น “ระบบเจ้าขุนมูลนาย” แม้กระทั่ง เราเพียรพยายามป่าวประกาศว่าระบบการเมืองบ้านเราเป็น “ระบบประชาธิปไตย”
เมื่อ “พฤติกรรมนักการเมือง-วัฒนธรรมการเมืองไทย” เป็นเช่นนี้ การปรับ “ครม.สมัคร 4” ถึงได้มีรูปร่างหน้าตาออกมาเป็นเช่นนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถามว่าสังคม “รับได้” หรือไม่กับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ปรับครั้งล่าสุด ก็ต้องบอกว่า “รับได้บ้าง” จนถึง “รับไม่ได้” และก็ต้องสารภาพตามตรงว่า “ยังขี้เหร่!” อยู่บ้าง แต่ก็ยังดีกว่า “สมัคร 1” ที่แม้แต่ “ลุงหมัก” นายกรัฐมนตรียังยอมรับด้วยตนเอง
ปัญหาของการปรับคณะรัฐมนตรี และ/หรือการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแทบทุกรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง “ระบบโควตา-ระบบนายทุนพรรค” จะเป็นปัจจัยสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ต้อง “หวานอมขมกลืน” ว่าจะต้องมีบุคคลที่ไม่เป็นที่ยอมรับ และ/หรือรับไม่ได้ของสังคมมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการ “Put The Right Man On The Right Job” และ “ครม.สมัคร 4” ก็เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจด้านค้าขายที่ต้องการทั้งรัฐมนตรีว่าการฯ และรัฐมนตรีช่วยมีความรู้ความเชี่ยวชาญใน “เวทีการค้าโลก”
เราจะสังเกตหรือไม่ว่า เมื่อใดที่มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลที่มาจาก “การยึดอำนาจ-รัฐประหาร” เรามักจะได้กลุ่มบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญและเป็นที่ยอมรับของสังคม พูดง่ายๆ คือได้ “คนดีมีความรู้” มาทำงานรับใช้ประเทศชาติ
อย่างไรก็ตามเราต้อง “ทำใจ” กับสภาพการเมืองไทยที่ยังไงๆ ก็หนีไม่พ้น “ระบบต่างตอบแทน-โควตา-ทุน” ที่ต้อง “จมปลัก” อยู่กับระบบดังกล่าวไปอีกนานแสนนาน ตราบใดที่ “ธุรกิจการเมือง (Political Business)” ยังคง “แผลงฤทธิ์-อาละวาด” อยู่เช่นนี้ เพราะความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “นักการเมือง” ต่างเป็น “นักเลือกตั้ง-นักซื้อตั้ง” เกือบร้อยละ 95
เราคงต้องปล่อยให้เขาเหล่านี้ต่างทำงานกันไป ผลงานจะมีประสิทธิภาพประสิทธิผลเพียงใด เราคงเดาออกว่า “มันก็คงอีหรอบเดิม!”
เพียงแต่ว่า ปัญหาที่จะเกิดขึ้นนับต่อนี้เป็นต้นไป ก็คงคาดการณ์ได้ถูกว่า “พรรคแกนนำ : พรรคพลังประชาชน” ก็จะดำเนินไปสู่ “สภาวะร้าวฉาน” เนื่องด้วยสารพัดก๊ก มุ้ง ก๊วน ที่แก่งแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีกัน และน่าจะถึงขั้นแตกหักในที่สุด
คำถามสำคัญที่ทุกฝ่ายต่างถามกันว่า “ครม.สมัคร 4” นี้จะอยู่ได้ยาวนานเพียงไหน บ้างก็บอกว่า 2 เดือน บ้างก็บอกว่า 3 เดือน ว่าไปแล้วไม่มีใครผิดเลยกับ “ระยะเวลา-อายุ” ของ “ครม.สมัคร 4” โดยต้องมี “อุบัติเหตุทางการเมือง” เกิดขึ้นแน่นอน การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญเริ่มตั้งแต่ “รายการชิมไปบ่นไป-ยุบพรรค-3 รัฐมนตรี (หวย)” และสารพัดเรื่อง โดยเฉพาะการถอดใจในการสนับสนุนพรรคพลังประชาชนต่อไปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
คำถามที่ถามกันอยู่ขณะนี้ว่า “จะยุบสภาเมื่อไหร่?” กับ “จะมีการยึดอำนาจอีกหรือไม่?” และ “ชาติบ้านเมืองจะแตกแยก-คนไทยฆ่ากันเอง” เลวร้ายไปมากกว่านี้หรือไม่ อย่างไร
ดังนั้น จะปรับคณะรัฐมนตรีซักกี่ครั้ง ก็ยังไม่สามารถทำให้สภาวการณ์ชาติบ้านเมืองราบรื่นได้อย่างแน่นอน แต่ไม่สำคัญเท่ากับว่า “ชาติบ้านเมืองย่ำอยู่กับที่!”