จากการประมวลสถานการณ์และสภาวการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาทาง “สังคม-การเมือง-เศรษฐกิจ” ของประเทศไทย ต้องขอรับสารภาพว่า “ยิ่งนึก-ยิ่งพิจารณา” ก็ต้องขอสารภาพต่อว่า “น่าห่วงใยมาก!” สำหรับบ้านนี้เมืองนี้ที่ “คนกลุ่มหนึ่ง” เป็น “กลุ่มชนชั้นผู้นำ (Elite Group)” ที่มีบทบาทสำคัญกับ “ปัญหาชาติบ้านเมือง“ ตราบเท่าทุกวันนี้
พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า “ปัญหาชาติบ้านเมือง” ที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด เกิดจาก “กลุ่มชนชั้นผู้นำ” หรือกล่าวอีกนัยว่า “กลุ่มอิทธิพล : อำนาจ-ผลประโยชน์” ที่อยู่บน “ระดับยอดพีระมิด” ของสังคมมักเป็นกลุ่มที่สร้างปัญหามากที่สุดให้กับบ้านนี้เมืองนี้ โดยเฉพาะ “การแก่งแย่ง” อำนาจและผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด โดยไม่ได้คำนึงถึง “คุณธรรม-จริยธรรม” และที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ “บ้านเมืองเสียหาย-ฉิบหายไม่ว่า แต่ข้าฯ และพวกข้าฯ ต้องได้ประโยชน์มากสุด!”
เป็นกรณีที่น่าเสียใจและผิดหวังที่สุดที่ผลของการสังเกตการณ์มาตลอดหลายสิบปีว่า คนไทยจำนวนมากทุกระดับชั้นยิ่งในยุค “สังคมไทยใหม่” ในปัจจุบันต่างตกอยู่ในสภาพ “สายตาสั้น-จิตใจสั้น” ที่มัก “คิดถึงแต่ตนเอง!” โดยไม่ได้คิดถึงชาติบ้านเมืองแต่ประการใด เนื่องด้วย “การดิ้นรน-อยู่รอด” ใน “สภาวะการแข่งขัน” ที่นับวันยิ่งทวีคูณความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
สังคมยุคใหม่เป็น “สังคมดิ้นรน” ที่ “เอารัดเอาเปรียบ-มือใครยาวสาวได้สาวเอา!” ไม่มีการคำนึง “คุณธรรม” และ/หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ผิด- ชอบ-ชั่ว-ดี” ด้วยการ “แย่งชิง- รังแก-เบียดเบียน” จนเลยเถิดไปถึง “บาป-บุญ-คุณ-โทษ” ที่ไม่ได้คำนึงถึง “ความเสียหาย” และ “ความล่มจม” ที่เกิดขึ้นไม่ว่ากับใครและต่อใครทั้งนั้น
“สังคมอุปถัมภ์” ที่มีทั้ง “ผู้ให้-ผู้รับ” จะเป็นระบบที่สำคัญที่สุดของสังคมไทยนับตั้งแต่ประวัติศาสตร์โดย “ผู้ให้” จะเป็น “ผู้ที่มีอำนาจ-ผู้มีอันจะกิน (มีเงิน)” และ “ผู้รับ” มักจะเป็นกลุ่มประชาชนที่อยู่ในระดับกลางและล่าง โดยอาจมิได้รับผลประโยชน์รูปแบบเงินตราแต่เพียงอย่างเดียว แต่อาจได้ “ค่าตอบแทน” ใน “เชิงอำนาจอุปถัมภ์-วัตถุอุปถัมภ์-ผลประโยชน์อุปถัมภ์” ซึ่งเป็นได้ทั้ง “เงินตรา-ยศตำแหน่ง” ตลอดจน “อำนาจ-บารมี-อิทธิพล” จาก “ผู้ให้” ซึ่งเป็น “ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า!”
จาก “วัฒนธรรมไทย” ในเชิงระบบอุปถัมภ์ได้ฝังรากลึกมายาวนานกับประวัติศาสตร์สังคมไทย จนทำให้คนไทยในยุคปัจจุบันยัง “จมปลัก-ยึดติด” อยู่กับระบบอุปถัมภ์นี้ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยขนาดไหน ดีไม่ดีนับวันอาจจะเลวร้ายลงมากขึ้นทุกขณะ เนื่องด้วย “การแข่งขัน” แต่สมควรจะเรียกว่า “การแย่งชิง” น่าจะเหมาะสมมากกว่าก็เป็นได้สำหรับ “ชนชั้นผู้นำ!”
“สังคมการเมืองยุคใหม่” เป็นสังคมที่กำหนดเป้าหมายชัดเจนในการบรรลุถึง “อำนาจ” และ “ผลประโยชน์” ให้เร็วที่สุดและมากที่สุด ทั้งนี้ทั้งสองปัจจัย “อำนาจ-ผลประโยชน์” นั้นเป็นปัจจัยที่ไขว้กันสัมพันธ์กัน และปฏิสัมพันธ์กันอย่างมากและไม่จำเป็นว่าจะต้องสามารถคว้าปัจจัยใดก่อนหลัง
กล่าวคือ ใครก็ตามแต่ที่เมื่อได้ “ผลประโยชน์” แล้ว จะนำปัจจัยนี้ไปคว้าปัจจัย “อำนาจ” หรือเมื่อมีปัจจัยอำนาจ ก็จะใช้อำนาจไปคว้า “ผลประโยชน์” สลับกันไปเช่นนี้
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า เมื่อใครก็ตามแต่มีเงินทองทรัพย์สินมากมายก็เพียรพยายามต้องการอำนาจ เพื่อนำมาบริหารจัดการ จนเลยเถิดไปถึง “ปกครอง” เนื่องด้วยเป็นกรณีของความรู้สึกที่มีลักษณะเป็นนามธรรมสร้างความภาคภูมิใจหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Ego”ในทางกลับกันบางคนเมื่อมีอำนาจมากขึ้น ก็จะนำเอาอำนาจไปเสาะแสวงหาผลประโยชน์ ทรัพย์สินเงินทอง เพื่อให้สามารถสร้างอิทธิพล บารมีได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
แต่ทั้งสองกรณีนั้นเป็น “การเสนอสนองความต้องการของมนุษย์” ที่ต้องการมีทั้ง “อำนาจ-บารมี-อิทธิพล” ในการที่จะบริหารจัดการกับการดำเนินชีวิตของตนเองและบุคคลใกล้ชิด ตลอดจนญาติมิตรและลูกน้อง จนก่อให้เกิด “ระบบอุปถัมภ์” เป็นเช่นนี้สลับกันไปมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอย้ำอีกครั้งคือ “กลุ่มชนชั้นผู้นำ”
เป็นกรณีที่แปลกแต่จริงว่า “สังคมไทย” เป็น “สังคมพุทธ” แต่คนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้คนระดับล่างและระดับสูง “ชนชั้นผู้นำ” ต่างไม่เข้าใจความลึกซึ้งของศาสนาพุทธหรือถ้าเข้าใจก็เสแสร้างว่าไม่เข้าใจในกรณีของ “โลภ โกรธ หลง” ที่เป็นเพียงป่าวประกาศว่าเข้าใจหรือเลยเถิดไปถึง “หิริโอตตัปปะ” ที่ “เกรงกลัวและละอายต่อบาป” หรือ “อริยสัจ 4” ที่อาจลึกซึ้งเกินไปของคนไทยทั่วไป
อย่างไรก็ตาม คนไทยแทบทุกระดับชั้น ยิ่งในสังคมปัจจุบันต้องขอฟันธงอย่างตรงไปตรงมาว่า “มือถือสากปากถือศีล” เข้าทำนอง “ปากอย่างใจอย่าง-ปากว่าตาขยิบ” ถ้าเรียกเป็นภาษาอังกฤษจะเรียกพฤติการณ์พฤติกรรมลักษณะนี้ว่า “Hypocrite” ที่ว่าไปแล้วคนไทยในยุคสังคมสมัยใหม่มีจำนวนมาก และก็ต้องขอตอกย้ำว่า “กลุ่มชนชั้นผู้นำ” นั้น “Hypocrite!” มากที่สุด
ปากก็บอกว่า “เป็นคนไทย-รักชาติ” และ “ขอตายบนแผ่นดินเกิด!” แต่ในทางกลับกัน กลับประพฤติปฏิบัติตรงกันข้ามกับสิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากลมปากทั้งสิ้นเพราะในความเป็นจริงต่าง “กอบโกย” ทั้ง “อำนาจ-ผลประโยชน์” ให้แก่ตนเองพวกพ้องแทบทั้งสิ้น
คำถามสำคัญที่ต้องถามว่า “คนไทยเป็นอะไรไปแล้วหรือ?” กับพฤติการณ์พฤติกรรมที่สวนทางกับการป่าวประกาศถึง “ความรักในแผ่นดิน” ที่ปัจจุบันเกิด “การแบ่งแยก-แตกแยก” กันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่มคนจำนวนมากที่เป็น “นักการเมือง” และ “ข้าทาสบริวารนักการเมือง” ที่ตั้งอกตั้งใจ “บ่อนทำลายชาติ” ด้วย “มักมาก!” และ “การโปรยเงิน” ให้แก่ “ข้าทาสบริวาร” ที่กำลัง “ตอกลิ่ม” ชาติบ้านเมืองให้พังไปต่อหน้าต่อตา ด้วยการระดมกลุ่มคนให้ “เดินหน้า-มุ่งหน้า” สู่กรุงเทพฯ เพื่อ “ปะทะ” กับ “คนเมืองกรุงฯ!”
“ทำไมคนไทยถึงต้องแตกแยกกันขนาดนี้?” “ทำไมคนไทยไม่คิดหน้าคิดหลังถึงเพียงนี้” “ทำไมคนไทยไม่คิดหรือว่ากำลังถูกหลอกถูกจ้างให้มาปะทะกับคนไทยด้วยกันเอง” คำถามต่างๆ เหล่านี้ คนไทยเคยถามตนเองบ้างไหมว่า “อะไรกำลังเกิดขึ้นกับชาติบ้านเมือง” และต้องถามต่อว่า “คนอยู่เบื้องหลัง-ไอ้โม่ง!” ไม่ตระหนักไม่ใส่ใจในอนาคตลูกหลานและชาติบ้านเมืองเลยหรือ ถึง “ชักใย!” อยู่เบื้องหลัง เพราะเพียงแค่ “ความแค้น” อย่างเดียวหรือ?
ถามต่อว่า พฤติการณ์พฤติกรรมของตนเองและคณะคิดว่า “ถูก!” ตลอดเวลา ชนิดที่เรียกว่า “เชื่อตาใสว่าตนเองและคณะบริสุทธิ์ผุดผ่อง!” จนคิดว่าคนทั้งชาติบ้านเมืองโง่หมด ยกเว้น บรรดา “สาวก” ทั้งหลายที่อาจจะคอย “สูบเลือด!” อยู่ก็ได้ขณะนี้ พูดง่ายๆ ก็คือ “ถูกหลอก!”
จากข่าวคราวความเคลื่อนไหวของสถานการณ์บ้านเมือง ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่ามีการสนับสนุนทำนอง “ยั่วยุ!” ให้เกิดการปะทะกันหรือกล่าวอย่างง่ายๆ ก็หมายความว่า ถ้าจะต้องถึงขั้น “ปะทะ” กันแบบ “นองเลือด” หรือ “ตายกันไปข้างหนึ่ง!” ก็มีการตกลงจากฝ่ายนั้น โดยเฉพาะจาก “กลุ่มชนบท” ที่เป็นการจัดตั้งทั้งสิ้น โดยไม่คำนึงถึง “ความเสียหาย” ของประเทศชาติ!
คำถามสำคัญก็คือว่า “กลุ่มไอ้โม่ง!” ที่อยู่เบื้องหลังสถานการณ์นี้เป็น “กลุ่มการเมืองชั้นนำ” ทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่นที่ไม่ได้คำนึงถึงชาติบ้านเมืองทั้งสิ้น แต่คำนึงถึง “ผลประโยชน์ตนเอง-คณะ” เท่านั้น ขอย้ำว่า ไม่ได้แคร์หรือสนใจเลยว่าบ้านนี้เมืองนี้จะเป็นเช่นไร
และไม่สำคัญเท่ากับว่า “คนไทยฆ่ากันเอง!” น่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญของ “กลุ่มการเมืองกลุ่มนี้” ที่คำนึงถึงเพียง “การแก้แค้น-การล้างแค้น” และขอได้คืนมาซึ่ง “อำนาจ-ผลประโยชน์” ที่ “กอบโกย-โกง” และ “ซื้อหา” มาแทบทั้งสิ้น
คำถามสำคัญก็ต้องถามต่อไปว่า “เกิดอะไรขึ้นกับคนไทย” จำนวนมากทั้งในชนบทและในเมืองหลวงที่ “จมปลัก!” หรือ “ตกเป็นข้าทาสบริวาร” และ “อำนาจเงิน” จนไม่ลืมหูลืมตา มาสอดส่องชาติบ้านเมืองเลยหรือว่าปัจจุบันนี้บ้านเมืองเรากำลังเผชิญหน้ากับ “สภาวะวิกฤต” ทั้งจากภายนอกและภายในที่กำลัง “ทรุด!” ลงไปทุกขณะ
เมื่อใดที่มีการ “ปะทะ-นองเลือด” เมื่อนั้น “สภาวการณ์ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ” จะทรุดหนักมากกว่านี้ ทั้งๆ ที่ขณะนี้เราก็ “ทรุด-อาการหนัก” มากพออยู่แล้ว กำลังจะตั้งลำอยู่ดีๆ แต่ก็ต้องมาทรุดหนักถลำลึกต่อไปอีก!
แม้นว่าจะมีการกล่าวอ้างว่า “อ้าว!.....ก็มีการเลือกตั้งแล้วเป็นประชาธิปไตยแล้ว มีรัฐสภาแล้ว มีรัฐบาลแล้ว…ทำไมยังต้องมาร้องแรกแหกกระเชออะไรกันอีก!” แต่ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “จริงๆ แล้ว มันเป็นประชาธิปไตยปลอมมิใช่หรือ?” ที่มีแต่ “การซื้อตั้ง” มาเกือบทั้งหมด
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมี “การบัญชาการ” อยู่เบื้องหลังจาก “นักการเมืองผู้ยิ่งยงและคณะ” ที่คอยชักใยอยู่อย่างแน่นอน ตลอดจนเพียรพยายามที่สุดที่จะ “แทรกแซง-ครอบงำ” กระบวนการยุติธรรม เพื่อเป้าประสงค์เดียวคือ “การยุติ-ยับยั้ง” การกระทำผิดที่ก่อมาทั้งหมดเพื่อ “ลอยนวล!”
คนไทยทำไมถึง “งมงาย!” ปานนี้ “เห็นแก่เงิน” มากมายขนาดนี้ มิได้คำนึงห่วงใยชาติบ้านเมืองเลยหรือ ไหนว่า “รักชาติบ้านเมืองไง!” ทำไมถึงไม่ได้แยกแยะว่า “อะไรถูก-อะไรผิด!”
หรือเพียงแต่ว่า “ได้เศษเงิน!” “เพียง 500-1,000-2,000 บาท” เท่านั้น แล้วก็พร้อมหยิบมีดไม้มาปะทะกับคนไทยกันเองได้ ซึ่งต้องขอถามซ้ำซากอีกครั้งว่า “เกิดอะไรขึ้นกับความเป็นไทยของคนไทยที่ปากก็บอกว่ารักเมืองไทย!”
แน่ใจแล้วหรือว่า จะทำลายชาติบ้านเมืองให้พังไปกับมือ เพราะเงินตัวเดียว!
พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า “ปัญหาชาติบ้านเมือง” ที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด เกิดจาก “กลุ่มชนชั้นผู้นำ” หรือกล่าวอีกนัยว่า “กลุ่มอิทธิพล : อำนาจ-ผลประโยชน์” ที่อยู่บน “ระดับยอดพีระมิด” ของสังคมมักเป็นกลุ่มที่สร้างปัญหามากที่สุดให้กับบ้านนี้เมืองนี้ โดยเฉพาะ “การแก่งแย่ง” อำนาจและผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด โดยไม่ได้คำนึงถึง “คุณธรรม-จริยธรรม” และที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ “บ้านเมืองเสียหาย-ฉิบหายไม่ว่า แต่ข้าฯ และพวกข้าฯ ต้องได้ประโยชน์มากสุด!”
เป็นกรณีที่น่าเสียใจและผิดหวังที่สุดที่ผลของการสังเกตการณ์มาตลอดหลายสิบปีว่า คนไทยจำนวนมากทุกระดับชั้นยิ่งในยุค “สังคมไทยใหม่” ในปัจจุบันต่างตกอยู่ในสภาพ “สายตาสั้น-จิตใจสั้น” ที่มัก “คิดถึงแต่ตนเอง!” โดยไม่ได้คิดถึงชาติบ้านเมืองแต่ประการใด เนื่องด้วย “การดิ้นรน-อยู่รอด” ใน “สภาวะการแข่งขัน” ที่นับวันยิ่งทวีคูณความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
สังคมยุคใหม่เป็น “สังคมดิ้นรน” ที่ “เอารัดเอาเปรียบ-มือใครยาวสาวได้สาวเอา!” ไม่มีการคำนึง “คุณธรรม” และ/หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ผิด- ชอบ-ชั่ว-ดี” ด้วยการ “แย่งชิง- รังแก-เบียดเบียน” จนเลยเถิดไปถึง “บาป-บุญ-คุณ-โทษ” ที่ไม่ได้คำนึงถึง “ความเสียหาย” และ “ความล่มจม” ที่เกิดขึ้นไม่ว่ากับใครและต่อใครทั้งนั้น
“สังคมอุปถัมภ์” ที่มีทั้ง “ผู้ให้-ผู้รับ” จะเป็นระบบที่สำคัญที่สุดของสังคมไทยนับตั้งแต่ประวัติศาสตร์โดย “ผู้ให้” จะเป็น “ผู้ที่มีอำนาจ-ผู้มีอันจะกิน (มีเงิน)” และ “ผู้รับ” มักจะเป็นกลุ่มประชาชนที่อยู่ในระดับกลางและล่าง โดยอาจมิได้รับผลประโยชน์รูปแบบเงินตราแต่เพียงอย่างเดียว แต่อาจได้ “ค่าตอบแทน” ใน “เชิงอำนาจอุปถัมภ์-วัตถุอุปถัมภ์-ผลประโยชน์อุปถัมภ์” ซึ่งเป็นได้ทั้ง “เงินตรา-ยศตำแหน่ง” ตลอดจน “อำนาจ-บารมี-อิทธิพล” จาก “ผู้ให้” ซึ่งเป็น “ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า!”
จาก “วัฒนธรรมไทย” ในเชิงระบบอุปถัมภ์ได้ฝังรากลึกมายาวนานกับประวัติศาสตร์สังคมไทย จนทำให้คนไทยในยุคปัจจุบันยัง “จมปลัก-ยึดติด” อยู่กับระบบอุปถัมภ์นี้ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยขนาดไหน ดีไม่ดีนับวันอาจจะเลวร้ายลงมากขึ้นทุกขณะ เนื่องด้วย “การแข่งขัน” แต่สมควรจะเรียกว่า “การแย่งชิง” น่าจะเหมาะสมมากกว่าก็เป็นได้สำหรับ “ชนชั้นผู้นำ!”
“สังคมการเมืองยุคใหม่” เป็นสังคมที่กำหนดเป้าหมายชัดเจนในการบรรลุถึง “อำนาจ” และ “ผลประโยชน์” ให้เร็วที่สุดและมากที่สุด ทั้งนี้ทั้งสองปัจจัย “อำนาจ-ผลประโยชน์” นั้นเป็นปัจจัยที่ไขว้กันสัมพันธ์กัน และปฏิสัมพันธ์กันอย่างมากและไม่จำเป็นว่าจะต้องสามารถคว้าปัจจัยใดก่อนหลัง
กล่าวคือ ใครก็ตามแต่ที่เมื่อได้ “ผลประโยชน์” แล้ว จะนำปัจจัยนี้ไปคว้าปัจจัย “อำนาจ” หรือเมื่อมีปัจจัยอำนาจ ก็จะใช้อำนาจไปคว้า “ผลประโยชน์” สลับกันไปเช่นนี้
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า เมื่อใครก็ตามแต่มีเงินทองทรัพย์สินมากมายก็เพียรพยายามต้องการอำนาจ เพื่อนำมาบริหารจัดการ จนเลยเถิดไปถึง “ปกครอง” เนื่องด้วยเป็นกรณีของความรู้สึกที่มีลักษณะเป็นนามธรรมสร้างความภาคภูมิใจหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Ego”ในทางกลับกันบางคนเมื่อมีอำนาจมากขึ้น ก็จะนำเอาอำนาจไปเสาะแสวงหาผลประโยชน์ ทรัพย์สินเงินทอง เพื่อให้สามารถสร้างอิทธิพล บารมีได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
แต่ทั้งสองกรณีนั้นเป็น “การเสนอสนองความต้องการของมนุษย์” ที่ต้องการมีทั้ง “อำนาจ-บารมี-อิทธิพล” ในการที่จะบริหารจัดการกับการดำเนินชีวิตของตนเองและบุคคลใกล้ชิด ตลอดจนญาติมิตรและลูกน้อง จนก่อให้เกิด “ระบบอุปถัมภ์” เป็นเช่นนี้สลับกันไปมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอย้ำอีกครั้งคือ “กลุ่มชนชั้นผู้นำ”
เป็นกรณีที่แปลกแต่จริงว่า “สังคมไทย” เป็น “สังคมพุทธ” แต่คนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้คนระดับล่างและระดับสูง “ชนชั้นผู้นำ” ต่างไม่เข้าใจความลึกซึ้งของศาสนาพุทธหรือถ้าเข้าใจก็เสแสร้างว่าไม่เข้าใจในกรณีของ “โลภ โกรธ หลง” ที่เป็นเพียงป่าวประกาศว่าเข้าใจหรือเลยเถิดไปถึง “หิริโอตตัปปะ” ที่ “เกรงกลัวและละอายต่อบาป” หรือ “อริยสัจ 4” ที่อาจลึกซึ้งเกินไปของคนไทยทั่วไป
อย่างไรก็ตาม คนไทยแทบทุกระดับชั้น ยิ่งในสังคมปัจจุบันต้องขอฟันธงอย่างตรงไปตรงมาว่า “มือถือสากปากถือศีล” เข้าทำนอง “ปากอย่างใจอย่าง-ปากว่าตาขยิบ” ถ้าเรียกเป็นภาษาอังกฤษจะเรียกพฤติการณ์พฤติกรรมลักษณะนี้ว่า “Hypocrite” ที่ว่าไปแล้วคนไทยในยุคสังคมสมัยใหม่มีจำนวนมาก และก็ต้องขอตอกย้ำว่า “กลุ่มชนชั้นผู้นำ” นั้น “Hypocrite!” มากที่สุด
ปากก็บอกว่า “เป็นคนไทย-รักชาติ” และ “ขอตายบนแผ่นดินเกิด!” แต่ในทางกลับกัน กลับประพฤติปฏิบัติตรงกันข้ามกับสิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากลมปากทั้งสิ้นเพราะในความเป็นจริงต่าง “กอบโกย” ทั้ง “อำนาจ-ผลประโยชน์” ให้แก่ตนเองพวกพ้องแทบทั้งสิ้น
คำถามสำคัญที่ต้องถามว่า “คนไทยเป็นอะไรไปแล้วหรือ?” กับพฤติการณ์พฤติกรรมที่สวนทางกับการป่าวประกาศถึง “ความรักในแผ่นดิน” ที่ปัจจุบันเกิด “การแบ่งแยก-แตกแยก” กันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่มคนจำนวนมากที่เป็น “นักการเมือง” และ “ข้าทาสบริวารนักการเมือง” ที่ตั้งอกตั้งใจ “บ่อนทำลายชาติ” ด้วย “มักมาก!” และ “การโปรยเงิน” ให้แก่ “ข้าทาสบริวาร” ที่กำลัง “ตอกลิ่ม” ชาติบ้านเมืองให้พังไปต่อหน้าต่อตา ด้วยการระดมกลุ่มคนให้ “เดินหน้า-มุ่งหน้า” สู่กรุงเทพฯ เพื่อ “ปะทะ” กับ “คนเมืองกรุงฯ!”
“ทำไมคนไทยถึงต้องแตกแยกกันขนาดนี้?” “ทำไมคนไทยไม่คิดหน้าคิดหลังถึงเพียงนี้” “ทำไมคนไทยไม่คิดหรือว่ากำลังถูกหลอกถูกจ้างให้มาปะทะกับคนไทยด้วยกันเอง” คำถามต่างๆ เหล่านี้ คนไทยเคยถามตนเองบ้างไหมว่า “อะไรกำลังเกิดขึ้นกับชาติบ้านเมือง” และต้องถามต่อว่า “คนอยู่เบื้องหลัง-ไอ้โม่ง!” ไม่ตระหนักไม่ใส่ใจในอนาคตลูกหลานและชาติบ้านเมืองเลยหรือ ถึง “ชักใย!” อยู่เบื้องหลัง เพราะเพียงแค่ “ความแค้น” อย่างเดียวหรือ?
ถามต่อว่า พฤติการณ์พฤติกรรมของตนเองและคณะคิดว่า “ถูก!” ตลอดเวลา ชนิดที่เรียกว่า “เชื่อตาใสว่าตนเองและคณะบริสุทธิ์ผุดผ่อง!” จนคิดว่าคนทั้งชาติบ้านเมืองโง่หมด ยกเว้น บรรดา “สาวก” ทั้งหลายที่อาจจะคอย “สูบเลือด!” อยู่ก็ได้ขณะนี้ พูดง่ายๆ ก็คือ “ถูกหลอก!”
จากข่าวคราวความเคลื่อนไหวของสถานการณ์บ้านเมือง ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่ามีการสนับสนุนทำนอง “ยั่วยุ!” ให้เกิดการปะทะกันหรือกล่าวอย่างง่ายๆ ก็หมายความว่า ถ้าจะต้องถึงขั้น “ปะทะ” กันแบบ “นองเลือด” หรือ “ตายกันไปข้างหนึ่ง!” ก็มีการตกลงจากฝ่ายนั้น โดยเฉพาะจาก “กลุ่มชนบท” ที่เป็นการจัดตั้งทั้งสิ้น โดยไม่คำนึงถึง “ความเสียหาย” ของประเทศชาติ!
คำถามสำคัญก็คือว่า “กลุ่มไอ้โม่ง!” ที่อยู่เบื้องหลังสถานการณ์นี้เป็น “กลุ่มการเมืองชั้นนำ” ทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่นที่ไม่ได้คำนึงถึงชาติบ้านเมืองทั้งสิ้น แต่คำนึงถึง “ผลประโยชน์ตนเอง-คณะ” เท่านั้น ขอย้ำว่า ไม่ได้แคร์หรือสนใจเลยว่าบ้านนี้เมืองนี้จะเป็นเช่นไร
และไม่สำคัญเท่ากับว่า “คนไทยฆ่ากันเอง!” น่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญของ “กลุ่มการเมืองกลุ่มนี้” ที่คำนึงถึงเพียง “การแก้แค้น-การล้างแค้น” และขอได้คืนมาซึ่ง “อำนาจ-ผลประโยชน์” ที่ “กอบโกย-โกง” และ “ซื้อหา” มาแทบทั้งสิ้น
คำถามสำคัญก็ต้องถามต่อไปว่า “เกิดอะไรขึ้นกับคนไทย” จำนวนมากทั้งในชนบทและในเมืองหลวงที่ “จมปลัก!” หรือ “ตกเป็นข้าทาสบริวาร” และ “อำนาจเงิน” จนไม่ลืมหูลืมตา มาสอดส่องชาติบ้านเมืองเลยหรือว่าปัจจุบันนี้บ้านเมืองเรากำลังเผชิญหน้ากับ “สภาวะวิกฤต” ทั้งจากภายนอกและภายในที่กำลัง “ทรุด!” ลงไปทุกขณะ
เมื่อใดที่มีการ “ปะทะ-นองเลือด” เมื่อนั้น “สภาวการณ์ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ” จะทรุดหนักมากกว่านี้ ทั้งๆ ที่ขณะนี้เราก็ “ทรุด-อาการหนัก” มากพออยู่แล้ว กำลังจะตั้งลำอยู่ดีๆ แต่ก็ต้องมาทรุดหนักถลำลึกต่อไปอีก!
แม้นว่าจะมีการกล่าวอ้างว่า “อ้าว!.....ก็มีการเลือกตั้งแล้วเป็นประชาธิปไตยแล้ว มีรัฐสภาแล้ว มีรัฐบาลแล้ว…ทำไมยังต้องมาร้องแรกแหกกระเชออะไรกันอีก!” แต่ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “จริงๆ แล้ว มันเป็นประชาธิปไตยปลอมมิใช่หรือ?” ที่มีแต่ “การซื้อตั้ง” มาเกือบทั้งหมด
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมี “การบัญชาการ” อยู่เบื้องหลังจาก “นักการเมืองผู้ยิ่งยงและคณะ” ที่คอยชักใยอยู่อย่างแน่นอน ตลอดจนเพียรพยายามที่สุดที่จะ “แทรกแซง-ครอบงำ” กระบวนการยุติธรรม เพื่อเป้าประสงค์เดียวคือ “การยุติ-ยับยั้ง” การกระทำผิดที่ก่อมาทั้งหมดเพื่อ “ลอยนวล!”
คนไทยทำไมถึง “งมงาย!” ปานนี้ “เห็นแก่เงิน” มากมายขนาดนี้ มิได้คำนึงห่วงใยชาติบ้านเมืองเลยหรือ ไหนว่า “รักชาติบ้านเมืองไง!” ทำไมถึงไม่ได้แยกแยะว่า “อะไรถูก-อะไรผิด!”
หรือเพียงแต่ว่า “ได้เศษเงิน!” “เพียง 500-1,000-2,000 บาท” เท่านั้น แล้วก็พร้อมหยิบมีดไม้มาปะทะกับคนไทยกันเองได้ ซึ่งต้องขอถามซ้ำซากอีกครั้งว่า “เกิดอะไรขึ้นกับความเป็นไทยของคนไทยที่ปากก็บอกว่ารักเมืองไทย!”
แน่ใจแล้วหรือว่า จะทำลายชาติบ้านเมืองให้พังไปกับมือ เพราะเงินตัวเดียว!