xs
xsm
sm
md
lg

สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันกองทัพ

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

สถานการณ์ชาติบ้านเมืองนับวันจะเดินหน้าพัฒนาไปสู่ “การเผชิญหน้า” และ “วิกฤตทางตัน” ทุกขณะ เนื่องด้วยเกิด “พลังฮึกเหิม!” ที่มั่นใจกันสูงว่าการเผชิญหน้ากันในครั้งนี้ “ต้องชน!” และไม่สำคัญเท่ากับ “ตายเป็นตาย” ที่เกิดจาก “อัตตาทิฐิ” และ “มิจฉาทิฐิ” ของกลุ่มการเมือง กลุ่มยุยงส่งเสริมให้แก่ “นักธุรกิจการเมืองระดับซูเปอร์อภิมหาเศรษฐี” ที่จะไม่ยอมถอยหลังอีกต่อไปแล้ว โดยแทบไม่น่าเชื่อว่า “ตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลย!”

แต่ปัญหาของชาติบ้านเมืองที่กำลังเดินหมากเกมกันอย่างลึกซึ้งขณะนี้ที่ “น่ากลัว-อันตราย” ที่สุดต่อชาติบ้านเมือง คือ “การก้าวล่วง-ก้าวล้ำ” สู่อาณาบริเวณของ “สถาบันเบื้องสูง” และ “สถาบันกองทัพ”

ยิ่ง “วิกฤตข้าวยากหมากแพง” ที่เกิดขึ้นขณะนี้ ทำให้พี่น้องคนจนระดับรากหญ้าที่ประสบปัญหาการดำรงชีพอยู่แล้ว ต้องมาถูกซ้ำเติมจากสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเข้าไปอีก ทั้งๆ ที่พี่น้องแรงงานที่เคยทำมาหากินอยู่ในกรุงเทพฯ ทิ้งพ่อทิ้งแม่และลูกตัวเล็กทิ้งถิ่นฐานเดิมเข้ามาอยู่ในเมือง “ขายแรงงาน” ปัจจุบันหวนกลับสู่บ้านเกิด “ทำไร่ไถนา” เพราะราคาข้าวดี แต่ราคาสินค้าอาหารต่างๆ ต่างขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง คำถามสำคัญคือ “พี่น้องเกษตรกร-พี่น้องแรงงาน” จะประคับประคองการดำเนินชีวิตแบบนี้ไปได้กี่น้ำ!

เมื่อ “ปัญหาความยากจน” ที่มีจำนวนมากของจำนวนประชากรทั้งประเทศ อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ที่ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อสามารถมีกินมีใช้ และ/หรือ “หาเช้ากินค่ำ!” เพื่อการดำรงชีพได้ ก็พอประทังกันไปได้

แต่พอมาเจอ “ธุรกิจการเมือง” ที่คอยโปรยเศษเงินพร้อมนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ให้แก่ประชาชนระดับล่าง ถามว่า “ผิดหรือ?” ก็ต้องตอบฟันธงอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ผิด” เป็นนโยบายและมาตรการที่กำหนดมาอย่างถูกต้องแล้ว เพียงแต่ว่า “อย่ามีวาระซ่อนเร้นก็แล้วกัน!” ในการที่จะ “เอาใจ-ซื้อใจ” และไม่สำคัญเท่ากับ “ชนะใจ!” พี่น้องที่อยู่ระดับล่าง

ปัญหาของสังคมไทย หรือแม้แต่สังคมโลกทุกวันนี้ “เงิน-ทุน” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ที่ไม่ว่าประชาชนระดับไหนต่างบูชา จนกลายเป็น “ลัทธิ” และเห็น “เงินเป็นพระเจ้า!”

ในกรณีนี้ น่ากลัวที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังคมธุรกิจการเมืองไทยที่เห็น “จุดอ่อน” ของสังคมไทยในระดับล่าง จนถูกกำหนดให้เป็น “ยุทธศาสตร์-กลยุทธ์” ในการ “ครองใจ” ประชาชนทุกระดับชั้น แม้แต่ “คนชั้นกลาง” ในเมืองหลวง

“วิกฤตการเมือง-วิกฤตเศรษฐกิจ” ที่เดินประกบคู่เคียงข้างอยู่ขณะนี้ ส่งสัญญาณชัดเจนว่าไม่เป็นผลดีแก่ประเทศไทย เนื่องด้วยมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ “ฉกฉวย” กับ “ความเปราะบาง” ของสังคมไทยขณะนี้ ด้วย “การรณรงค์” ตลอดจน “ยุยงส่งเสริม” ให้คนไทย “เสพติด” กับ “ลัทธิเงิน” และเชื่อว่ามีเพียง “คนกลุ่มนี้กลุ่มเดียว” ที่สามารถ “เนรมิต” สารพัด “ความสุข” และ “ความมั่งคั่ง” ให้ได้เมื่อ “กลุ่มนี้มีอำนาจ!”

“ปัญหาทางการเมืองการปกครอง” บ้านเรา ขณะนี้นับวันจะยิ่งพัฒนาเดินหน้าสู่ “ความสลับซับซ้อน” และสำคัญที่สุดคือ “ความลึกซึ้ง” ของ “ขบวนการจ้องทำลายสถาบันสำคัญ” ของชาติบ้านเมือง โดยมีวิธีการ “ลับ ลวง พราง” สารพัดวิธี จนเลยเถิดมาถึงการแสดงความคิดของบุคคลระดับเสนาบดีว่า “ต่อต้านระบบศักดินา-ระบบอำมาตยาธิปไตย”

ดูเหมือนว่าจะมีเพียงคนที่เป็นระดับรัฐมนตรีคนเดียวที่แสดงท่าทีชัดเจนว่า “ต่อต้าน” กับระบบและสถาบันดังกล่าวข้างต้น ประเด็นสำคัญก็คือว่า รัฐมนตรีคนนี้ “คิดเอง-พูดเอง” แต่เพียงผู้เดียวหรือ หรือว่าเป็นเพียง “โทรโข่ง-ลำโพง” ที่ “ตะโกน-ป่าวประกาศ-เป็นปากเป็นเสียง” แทน “ผู้บังคับบัญชา-ผู้มีพระคุณ” ที่อยู่เหนือหัว

จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ค่อยๆ ถูกเปิดเผยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าในกรณีของ “เว็บไซต์” และ “ธงชาติ” ตลอดจน “การแสดงความคิดเห็นเปิดเผย!” ในกรณีของ “การก้าวล่วง-จาบจ้วง” สู่บุคคลสำคัญระดับ “ประธานองคมนตรี” ที่ส่อนัยและส่งสัญญาณชัดเจนหรือไม่ว่า “พุ่งเป้า” สู่สถาบันเบื้องสูง

คำถามต่างๆ เหล่านั้น กำลังถูกตั้งเป็นคำถามสำคัญว่า “สถานการณ์ทางการเมือง” ที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ กำลัง “คุกคาม” สู่สถาบันสำคัญชาติบ้านเมืองเชียวหรือ โดยเฉพาะจากกลุ่มบุคคลทางการเมืองที่ “เคียดแค้น” จนเห็นได้ชัด และพี่น้องประชาชนจำนวนมากจำนวนหนึ่งถึงกับ “เพ่งมอง-ชี้นิ้ว” ไปที่กลุ่มบุคคลนี้ ด้วยความฉงนสงสัยจาก “การซุบซิบนินทา” ผ่านทางกลุ่มเล็กๆ จนเลยเถิดมาถึง “แผ่นปลิว-เว็บไซต์”

“การแสดงความจงรักภักดี” ที่พูดกันถี่ยิบ พร้อมแสดงออกมาโดยตลอดนั้น ส่อนัยชัดเจนว่า “เกิดความวิตกกังวล” ว่า “ไม่จริง-ถูกใส่ร้ายป้ายสี” ก็ต้องถามต่อว่า จริงๆ แล้ว “จงรักภักดีจริงหรือไม่” เนื่องด้วย “พฤติการณ์-พฤติกรรม” บางครั้ง ทั้งในที่ลับและที่แจ้งได้มีการแสดงออกและมีการเล่าขานว่า “ขัดขืน” ทั้งจาก “วาจา-การกระทำ!”

“ข่าวลือ” สารพัดที่กระพือออกมาขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น “การปฏิวัติ” จากกองทัพ และ “การจาบจ้วงสถาบันองคมนตรี” จนเลยเถิดไปถึง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ก่อให้เกิดความรู้สึกของประชาชนโดยทั่วไป ว่าชาติบ้านเมืองกำลังเดินหน้าและอาจตกอยู่ใน “สภาวะอันตราย” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำพูดคำจาของบรรดาแกนนำของกลุ่มการเมืองบางคนที่ต่อต้าน “ระบบศักดินา-ระบบอำมาตยาธิปไตย” อย่างชัดเจน

ว่าไปแล้ว เพื่อความเป็นธรรม นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช นั้น ขอฟันธงอย่างไม่ต้องลังเลเลยว่า “ขวาตกขอบ” เพราะตลอดระยะเวลาสามทศวรรษกว่าๆ ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนว่า “เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์” และไม่ต้องสงสัยกับ “ความจงรักภักดี” เพียงแต่ว่า “สภาพแวดล้อม” รอบด้านปัจจุบันทำให้นายกฯ สมัคร พูดอะไรไม่ออก เนื่องด้วย “ความเป็นลูกกรอก” ก็เป็นได้จากการวิพากษ์วิจารณ์ของ “มนุษย์เสื้อกั๊ก-ธีรยุทธ บุญมี”

นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ต้องใช้ความเป็น “นายกรัฐมนตรี” ในการแสดงออกถึงความชัดเจนว่า “จงรักภักดี” และ “เทิดทูนพระมหากษัตริย์” อย่างหาที่สุดมิได้ ซึ่งนายกฯ สมัคร ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ปัจจุบันกำลังถูกผลักให้ไปอยู่มุม จนประชาชนทั่วไปต่างเริ่มเชื่อว่าคุณสมัคร สุนทรเวช “ไม่จงรักภักดี!”

เราคนไทยทุกคนได้โปรดอย่าลืม ตามประวัติศาสตร์ชาติไทยตลอด 700 กว่าปีที่ผ่านมา สถาบันหลักที่ “ค้ำจุน” ชาติบ้านเมืองและอยู่ได้ตลอดรอดฝั่งตราบเท่าทุกวันนี้ คือ “สถาบันพระมหากษัตริย์” โดยสำคัญที่สุดกับ “สถาบันกองทัพ” เนื่องด้วยพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ที่ “กอบกู้” ประเทศชาติ ล้วนเป็น “พระมหากษัตริย์” ที่เป็น “จอมทัพ” ตรากตรำศึกปราบปราม “อริราชศัตรู” มาทุกยุคทุกสมัย

ถ้าใครที่เคยศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองไทยอย่างถ่องแท้ ก็ต้องเริ่มนึกย้อนหลังไปสู่ “ยุคสมัยสุโขทัย” ที่มี “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” และ “พ่อขุนรามคำแหงมหาราช” ที่สามารถสร้างความปึกแผ่นให้แก่ “ชาวไทย” ได้ในยุคนั้น

ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระมหากษัตริย์แทบทุกพระองค์ล้วนเป็น “จอมทัพ” ออกศึกกอบกู้ประเทศชาติเกือบตลอดระยะเวลา 400 กว่าปีในยุคนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พระนเรศวรมหาราช” ที่ทรงประกาศอิสรภาพให้แก่ชาวไทยในยุคกรุงศรีอยุธยาจากพม่ามาได้ พร้อมทั้งสร้างความเจริญรุ่งเรืองจนมาถึงยุคสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

พระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ “พระเจ้าตากสินมหาราช” ทรงเป็น “จอมทัพ-นักรบ” ที่กรำศึกนานนับหลายปี จน “กอบกู้เอกราชชาติไทย” จากพม่าได้สำเร็จเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่สอง และรวบรวมประเทศชาติเป็นปึกแผ่นมาตราบเท่าทุกวันนี้

โดยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับ “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1” และเป็นบรรพกษัตริย์ของ “ราชวงศ์จักรี” ที่ยั่งยืนอยู่มาตราบเท่าทุกวันนี้

นอกเหนือจากนั้น ความเจริญรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ไทยยุคสมัยรัตนโกสินทร์ เราชาวไทยทุกคนได้รับการพัฒนาจากพระมหากษัตริย์ทุกรัชกาล โดยเฉพาะรัชกาลที่ 4 และ “พระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5”

“ระบบศักดินา” ที่เป็นโครงสร้างของสังคมไทยมาช้านาน โดยมีรากฐานและโครงสร้างสำคัญมาจากสามสถาบันหลัก กล่าวคือ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่เราชาวไทยต้องตระหนักและรำลึกถึง “พระมหากรุณาธิคุณ” สถาบันสำคัญนี้

“สถาบันพระมหากษัตริย์” ถูกยึดโยงและค้ำจุนเกื้อหนุนจนประเทศชาติอยู่รอดมาตราบเท่าทุกวันนี้ โดยมี “สถาบันทหาร” และ “สถาบันราชการ” มายาวนานนับหลายร้อยปี

ทั้งสามสถาบันหลักข้างต้นนั้น เป็น “สถาบันองค์รวม” ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น “สถาบันศักดินา” และ/หรือ “ระบอบอำมาตยาธิปไตย” ที่มีความสำคัญเป็น “เสาหลัก” ของชาติบ้านเมืองมาโดยตลอด

นอกเหนือจากที่อาจเริ่มมีการแสดงออกถึงการ “การขัดขืน-ต่อต้าน” แล้วด้วยพฤติการณ์ พฤติกรรมที่ปรากฏชัดเจนมากยิ่งขึ้น จนมีขบวนการจาบจ้วงและ “ดึงฟ้า” ให้มายุ่งเกี่ยวกับชาติบ้านเมือง และไม่สำคัญเท่ากับ “การแก่งแย่งอำนาจ-แก่งแย่งผลประโยชน์” โดยไม่คำนึงถึง “ประวัติศาสตร์” และ “ความจริงของประเทศไทย”

“หนี้บุญคุณ” อาจจะไม่เคยคิดว่า เราอยู่รอดปลอดภัยตราบเท่าทุกวันนี้ก่อกำเนิดจากสถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันกองทัพ

การขัดขืน-ต่อต้าน “ระบบอำมาตยาธิปไตย” นั้น ไม่ผิดมากมายนัก เพราะในที่สุดก็ต้องมีการปรับประยุกต์ให้สอดคล้องกับสังคมยุคใหม่ “ยุคโลกาภิวัตน์” เพียงแต่ว่า “อย่าถึงกับพยายามโค่นล้มเลย!” เพราะ “นองเลือด” และ “ชาติบ้านเมืองพังแน่!”

กำลังโหลดความคิดเห็น