รอยเตอร์/บีบีซี - ตำรวจออสเตรียกำลังเร่งหาคำตอบเพื่อไขปริศนา "บ้านสยองขวัญ" ว่าเหตุใดโจเซฟ ฟริตเซล จึงสามารถกักขังบุตรสาวของตนเองไว้ในห้องใต้ดินได้นานถึง 24 ปี และมีบุตรกับบุตรสาวของตน 7 คน โดยที่เจ้าหน้าที่และเพื่อนบ้านใกล้เคียงไม่เคยรู้ระแคะระคายแต่อย่างใด
เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยเมื่อวันจันทร์(28)ว่า โจเซฟ ฟริตเซล วิศวกรไฟฟ้าวัย 73 ปี ซึ่งมีบุคลิก "ไม่หยุดนิ่ง ชอบออกคำสั่ง และบ้าอำนาจ" ยอมรับสารภาพแล้วว่าเขาได้กักขักเอลิซาเบธ ฟริตเซล กับลูกๆ ในห้องใต้ดิน และยอมรับด้วยว่าเขาเผาศพของเด็กทารกคนหนึ่งใน 7 คนในเตาทำความร้อนภายในบ้าน หลังจากที่เด็กคลอดออกมาแล้วเสียชีวิต
ขณะนี้สื่อมวลชนออสเตรียพากันเรียกขานบ้านซึ่งเป็นตึกสองชั้นหลังนี้ว่า "บ้านสยองขวัญ" หลังจากที่ช่างภาพได้เข้าไปถ่ายภาพทางเดินแคบๆ ที่เข้าสู่ห้องใต้ดินที่มีทั้งห้องนอน ห้องน้ำขนาดเล็กที่มีฝักบัว รวมทั้งภาพบริเวณทำครัว ภาพวาดบนกำแพงของเด็กๆ ห้องใต้ดินนี้มีพื้นที่รวมเพียง 60 ตารางเมตร มีเพดานสูงไม่ถึง 1.7 เมตร และไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานเดียว
คำถามสำคัญก็คือเหตุใดจึงไม่เคยมีผู้ใดรู้สึกผิดสังเกตกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนพลุกพล่าน มีร้านค้า และอยู่ในเขตเมืองอุตสาหกรรมขนาดย่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟริตเซลต่อเติมส่วนที่เป็นห้องใต้ดิน
"เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีใครเคยได้ยินเสียงหรือเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ เลยสักครั้ง เป็นไปได้อย่างไรที่ไม่เคยมีใครสงสัยหรือเข้าไปซักถาม" เพทรา สตุยเบอร์ นักวิจารณ์รายหนึ่งเขียนในหนังสือพิมพ์ เดอร์ สแตนดาร์ด ของออสเตรีย และตั้งชื่อสภาพสังคมแบบนี้ว่า สังคมของคนรวยที่มีความพอใจในชีวิตของตนเอง และเรียกร้องให้ตรวจสอบว่าเหตุใดสังคมจึงปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นได้
** นักจิตวิทยาให้มองในแง่ดี**
แม้เอลิซาเบธในวัย 42 กับลูกๆ โดยเฉพาะ 3 คน(บุตรสาววัย 19 ปี, บุตรชายสองคนที่อยู่ในวัย 18 ปี และ 5 ปี) ที่ถูกขังอยู่กับเธอในห้องใต้ดิน จะต้องผ่านประสบการณ์ชนิดที่ยากจะจินตนาการได้ แต่บาดแผลเชิงจิตวิทยาอาจไม่รุนแรงอย่างที่หลายคนคิดกัน
เอิร์นส์ เบอร์เจอร์ นักจิตวิทยาผู้ดูแลนาตาชา คัมพุช ซึ่งเคยถูกลักพาตัวไปกักขังในห้องใต้ดินเช่นกันเป็นเวลา 8 ปี กล่าวว่าเอลิซาเบธและลูกๆ จะต้องได้รับคำปรึกษาในทางจิตวิทยาอย่างมากก่อนที่จะสามารถคืนกลับสู่สภาพชีวิตเช่นปรกติได้อีก
"พวกเขาจะทุกข์ทรมานหลายๆ เรื่อง เช่น ความเครียดขั้นรุนแรง การคิดฆ่าตัวตาย หรืออาการหวาดกลัวสังคม ทว่า สภาพอาการจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวิธีการที่แต่ละคนรับมือกับปัญหา"
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคนหนึ่งระบุว่าเขาได้พูดคุยกับลูกชายวัยห้าขวบของเอลิซาเบธและพบว่าเด็กมีสภาพจิตดีทีเดียว อีกทั้งเด็กยังบอกว่าสนุกและตื่นเต้นมากที่ได้ขับรถยนต์ของจริงแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กอธิบายว่า การที่เด็กๆ ได้อยู่กับแม่ซึ่งเป็นบุคคลที่ให้ความมั่นคงปลอดภัย และได้อยู่ร่วมกันหลายคน อาจมีส่วนช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานที่พวกเขาได้รับอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพจิตของผู้เป็นแม่ด้วย
ผู้เชี่ยวชาญระบุด้วยว่าโทรทัศน์อาจช่วยสอนเด็กๆ ให้รู้จักโลกกว้างและปรับพฤติกรรมเชิงสังคมได้บางส่วน แต่กรณีของเด็กโตจะมีปัญหาเมื่อพวกเขารู้ว่านี่ไม่ใช่โลกในจินตนาการ แต่เป็นโลกจริงที่ตนถูกกีดกันออกไป ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กๆ จะมีบาดแผลทางจิตใจกันตามสมควร
"คงยากที่เด็กวัยรุ่นจะดำเนินชีวิตได้ตามปกติอย่างแท้จริง แต่ก็ยังเป็นไปได้ที่จะมีพัฒนาการในช่วงปลาย เพราะทักษะเชิงสังคมเป็นเรื่องที่เรียนรู้ได้"
เขายังมองในแง่ดีอีกว่า "เราพบเรื่องน่าประหลาดใจมากมายเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ และเด็กๆ ที่ตกอยู่ในภาวะโหดรายก็มักจะรับมือกับเหตุการณ์ได้ดีกว่าที่เราคาดคิดกัน"
ผู้เชี่ยวชาญอีกรายหนึ่งกล่าวว่า เด็กๆ เหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับปัญหาทางสังคมอย่างมากในระยะต่อไปอันเนื่องมาจากการขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
"พวกเขาอาจมีความบกพร่องด้านการรับรู้และการเรียนรู้ และปัญหาการปรับตัวเชิงอารมณ์ เพราะส่วนของสมองที่ทำหน้าที่อ่านอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นอาจมีพัฒนาการไม่ดีพอ แต่สมองของมนุษย์นั้นก็มหัศจรรย์มากในแง่ของการปรับตัวกับสถานการณ์ที่ต่างกัน"
ขณะนี้เด็กๆ กำลังได้รับการบำบัดรักษาในโรงพยาบาล ผลการตรวจสภาพร่างกาย โดยเฉพาะในเรื่องของสายตาและผิวหนังที่ไม่เคยได้รับแสงแดดมาก่อน ปรากฏว่าแม้พวกเขาจะมีผิวซีด แต่ร่างกายแข็งแรงดี
แพทย์ผิวหนังอ้างว่า การรับประทานอาหารที่ดีอาจจะช่วยให้ร่างกายไม่ต้องการแสงแดดมากนัก และชาวออสเตรียก็ขึ้นชื่อในเรื่องอาหารการกิน และมักจะเสริมวิตะมินต่างๆ ลงไปในอาหารด้วย
ส่วนเคิร์สติน บุตรสาวคนโตวัย 19 ปี ยังอยู่ในสภาพโคม่าโดยแพทย์ยังไม่อาจสาเหตุของความเจ็บป่วยได้อย่างชัดเจน แต่เธอถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการเกร็งอย่างรุนแรงจนร่างกายขาดออกซิเจน
เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยเมื่อวันจันทร์(28)ว่า โจเซฟ ฟริตเซล วิศวกรไฟฟ้าวัย 73 ปี ซึ่งมีบุคลิก "ไม่หยุดนิ่ง ชอบออกคำสั่ง และบ้าอำนาจ" ยอมรับสารภาพแล้วว่าเขาได้กักขักเอลิซาเบธ ฟริตเซล กับลูกๆ ในห้องใต้ดิน และยอมรับด้วยว่าเขาเผาศพของเด็กทารกคนหนึ่งใน 7 คนในเตาทำความร้อนภายในบ้าน หลังจากที่เด็กคลอดออกมาแล้วเสียชีวิต
ขณะนี้สื่อมวลชนออสเตรียพากันเรียกขานบ้านซึ่งเป็นตึกสองชั้นหลังนี้ว่า "บ้านสยองขวัญ" หลังจากที่ช่างภาพได้เข้าไปถ่ายภาพทางเดินแคบๆ ที่เข้าสู่ห้องใต้ดินที่มีทั้งห้องนอน ห้องน้ำขนาดเล็กที่มีฝักบัว รวมทั้งภาพบริเวณทำครัว ภาพวาดบนกำแพงของเด็กๆ ห้องใต้ดินนี้มีพื้นที่รวมเพียง 60 ตารางเมตร มีเพดานสูงไม่ถึง 1.7 เมตร และไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานเดียว
คำถามสำคัญก็คือเหตุใดจึงไม่เคยมีผู้ใดรู้สึกผิดสังเกตกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนพลุกพล่าน มีร้านค้า และอยู่ในเขตเมืองอุตสาหกรรมขนาดย่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟริตเซลต่อเติมส่วนที่เป็นห้องใต้ดิน
"เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีใครเคยได้ยินเสียงหรือเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ เลยสักครั้ง เป็นไปได้อย่างไรที่ไม่เคยมีใครสงสัยหรือเข้าไปซักถาม" เพทรา สตุยเบอร์ นักวิจารณ์รายหนึ่งเขียนในหนังสือพิมพ์ เดอร์ สแตนดาร์ด ของออสเตรีย และตั้งชื่อสภาพสังคมแบบนี้ว่า สังคมของคนรวยที่มีความพอใจในชีวิตของตนเอง และเรียกร้องให้ตรวจสอบว่าเหตุใดสังคมจึงปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นได้
** นักจิตวิทยาให้มองในแง่ดี**
แม้เอลิซาเบธในวัย 42 กับลูกๆ โดยเฉพาะ 3 คน(บุตรสาววัย 19 ปี, บุตรชายสองคนที่อยู่ในวัย 18 ปี และ 5 ปี) ที่ถูกขังอยู่กับเธอในห้องใต้ดิน จะต้องผ่านประสบการณ์ชนิดที่ยากจะจินตนาการได้ แต่บาดแผลเชิงจิตวิทยาอาจไม่รุนแรงอย่างที่หลายคนคิดกัน
เอิร์นส์ เบอร์เจอร์ นักจิตวิทยาผู้ดูแลนาตาชา คัมพุช ซึ่งเคยถูกลักพาตัวไปกักขังในห้องใต้ดินเช่นกันเป็นเวลา 8 ปี กล่าวว่าเอลิซาเบธและลูกๆ จะต้องได้รับคำปรึกษาในทางจิตวิทยาอย่างมากก่อนที่จะสามารถคืนกลับสู่สภาพชีวิตเช่นปรกติได้อีก
"พวกเขาจะทุกข์ทรมานหลายๆ เรื่อง เช่น ความเครียดขั้นรุนแรง การคิดฆ่าตัวตาย หรืออาการหวาดกลัวสังคม ทว่า สภาพอาการจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวิธีการที่แต่ละคนรับมือกับปัญหา"
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคนหนึ่งระบุว่าเขาได้พูดคุยกับลูกชายวัยห้าขวบของเอลิซาเบธและพบว่าเด็กมีสภาพจิตดีทีเดียว อีกทั้งเด็กยังบอกว่าสนุกและตื่นเต้นมากที่ได้ขับรถยนต์ของจริงแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กอธิบายว่า การที่เด็กๆ ได้อยู่กับแม่ซึ่งเป็นบุคคลที่ให้ความมั่นคงปลอดภัย และได้อยู่ร่วมกันหลายคน อาจมีส่วนช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานที่พวกเขาได้รับอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพจิตของผู้เป็นแม่ด้วย
ผู้เชี่ยวชาญระบุด้วยว่าโทรทัศน์อาจช่วยสอนเด็กๆ ให้รู้จักโลกกว้างและปรับพฤติกรรมเชิงสังคมได้บางส่วน แต่กรณีของเด็กโตจะมีปัญหาเมื่อพวกเขารู้ว่านี่ไม่ใช่โลกในจินตนาการ แต่เป็นโลกจริงที่ตนถูกกีดกันออกไป ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กๆ จะมีบาดแผลทางจิตใจกันตามสมควร
"คงยากที่เด็กวัยรุ่นจะดำเนินชีวิตได้ตามปกติอย่างแท้จริง แต่ก็ยังเป็นไปได้ที่จะมีพัฒนาการในช่วงปลาย เพราะทักษะเชิงสังคมเป็นเรื่องที่เรียนรู้ได้"
เขายังมองในแง่ดีอีกว่า "เราพบเรื่องน่าประหลาดใจมากมายเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ และเด็กๆ ที่ตกอยู่ในภาวะโหดรายก็มักจะรับมือกับเหตุการณ์ได้ดีกว่าที่เราคาดคิดกัน"
ผู้เชี่ยวชาญอีกรายหนึ่งกล่าวว่า เด็กๆ เหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับปัญหาทางสังคมอย่างมากในระยะต่อไปอันเนื่องมาจากการขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
"พวกเขาอาจมีความบกพร่องด้านการรับรู้และการเรียนรู้ และปัญหาการปรับตัวเชิงอารมณ์ เพราะส่วนของสมองที่ทำหน้าที่อ่านอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นอาจมีพัฒนาการไม่ดีพอ แต่สมองของมนุษย์นั้นก็มหัศจรรย์มากในแง่ของการปรับตัวกับสถานการณ์ที่ต่างกัน"
ขณะนี้เด็กๆ กำลังได้รับการบำบัดรักษาในโรงพยาบาล ผลการตรวจสภาพร่างกาย โดยเฉพาะในเรื่องของสายตาและผิวหนังที่ไม่เคยได้รับแสงแดดมาก่อน ปรากฏว่าแม้พวกเขาจะมีผิวซีด แต่ร่างกายแข็งแรงดี
แพทย์ผิวหนังอ้างว่า การรับประทานอาหารที่ดีอาจจะช่วยให้ร่างกายไม่ต้องการแสงแดดมากนัก และชาวออสเตรียก็ขึ้นชื่อในเรื่องอาหารการกิน และมักจะเสริมวิตะมินต่างๆ ลงไปในอาหารด้วย
ส่วนเคิร์สติน บุตรสาวคนโตวัย 19 ปี ยังอยู่ในสภาพโคม่าโดยแพทย์ยังไม่อาจสาเหตุของความเจ็บป่วยได้อย่างชัดเจน แต่เธอถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการเกร็งอย่างรุนแรงจนร่างกายขาดออกซิเจน