xs
xsm
sm
md
lg

“กลียุค : ข้าวยากหมากแพง!”

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

เทศกาลสงกรานต์ผ่านพ้นไปเรียบร้อยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลายๆ คนคงลาหยุดยาวรวดเดียว 9 วัน หรือลาย้อนหลังไปตั้งแต่ “วันจักรี” ที่ 6 เมษายน รวมแล้ว 15-16 วัน มีเวลาทำงานเพียงแค่ 10 กว่าวันเท่านั้นสำหรับเดือนเมษายน พูดง่ายๆ หมายความว่า การทำงานเดือนเมษายนนั้น “แทบไม่เป็นชิ้นเป็นอัน!”

อย่างไรก็ตาม เป็นกรณีที่น่าแปลกประหลาดอย่างมากสำหรับคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องแรงงาน และ/หรือ ผู้คนทั่วไปที่เดินทางกลับบ้านเกิดหรือภูมิลำเนาช่วงสงกรานต์แล้วต้องกลับมาทำงานในกรุงเทพฯ ต่อไป ต่าง “ขนข้าวสาร-ขนข้าวเหนียว” กลับมาไว้บริโภคเก็บสต๊อกไว้ เนื่องด้วยราคาข้าวสารขณะนี้ทะยานขึ้นไปประมาณ 1 เท่าตัวกว่าๆ

ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในบ้านเมืองเราที่เป็นประเทศสามารถผลิตข้าวส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก พร้อมทั้งคนไทยไม่เคยห่วงใยถึงราคาข้าวสารมากมายนัก แต่ที่หนักไปกว่านั้นคือ คนไทยไม่เคยมีความคิดอยู่ในสมองเลยว่า “จะไม่มีข้าวกิน!” แต่ปัจจุบันนี้ “คนไทยเริ่มวิตกกังวลแล้วว่า จะไม่มีข้าวกิน ถึงขนาดต้องขนกลับติดตัวมาด้วยหลังสงกรานต์”

เราเคยพูดกันมานานหลายเดือนแล้วว่า “ยุคข้าวยากหมากแพง!” กำลังจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองเรา แต่ขณะนี้เลยเถิดลามไปจนถึงทั่วทั้งโลกแล้วที่ “อาหาร” จะขาดแคลนจนถึงขั้นวิกฤต กรณีของการขาดแคลนนี้มิใช่เกิดจากจะไม่มีอาหารมาให้ประชากรโลกบริโภค เพียงแต่ว่า “ราคาแพง” ที่พุ่งสูงขึ้น 1-2 เท่าตัวทีเดียว

ทั้ง “ธนาคารโลก” และ “สหประชาชาติ” ต่างออกมาเตือนทุกประเทศทั่วโลกให้เตรียมรับมือกับ “สภาวะวิกฤตอาหาร” ที่จะเป็น “มหันตภัย” ครั้งยิ่งใหญ่ของชาวโลก จนแทบไม่น่าเชื่อว่า เข้าขั้นวิกฤตถึงขนาดมี “การประท้วง-การจลาจล” ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่ประเทศเฮติ อียิปต์ แคเมอรูน เอธิโอเปีย มาดากัสการ์ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น

ทั้งนี้ ประเทศไทย ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นก็เป็นได้ ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ขาดแคลนอาหารของทั้งเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ อาจก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้น ที่มิใช่สินค้าราคาแพงอย่างเดียว แต่อาจเลยเถิดไปจนถึงขั้น “ขาดแคลน” สินค้าอุปโภคบริโภค ไม่ว่า แป้งข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวสาร ข้าวเหนียว

เป็นกรณีที่แทบไม่น่าเชื่อว่า สถานการณ์วิกฤตสินค้าเกษตรจะส่งผลให้สภาวการณ์ของประชากรโลกที่อาจนำไปสู่ “กลียุค” ที่ต้องมี “การแก่งแย่ง” จนถึงขั้น “ทำลายล้าง” กันดังเช่นที่เกิดขึ้นไปแล้วกับหลายๆ ประเทศข้างต้น ดีไม่ดีประเทศไทยเอง อาจเกิดปัญหาการแย่งชิงอาหารกันก็เป็นได้

ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว “วิกฤต” กรณีอาหารเริ่มส่งสัญญาณมาได้ประมาณ 1-2 ปีแล้ว เนื่องด้วย “ราคาน้ำมัน” ที่ช่วงเพียง 1 ปีกว่าๆ ได้ทะยานราคาพุ่งสูงขึ้นจากเดิมมาเป็นประมาณ 2 เท่าตัว กล่าวคือ จากเดิมราคาน้ำมันดิบทั้งที่ตลาดเบรนท์ (Brent) ที่ยุโรป ตลาดไนเมกซ์ (Nymex) และตลาดดูไบ อยู่ที่ประมาณ 50-70 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อประมาณปี 2006-2007 แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบได้ไต่ไปแตะที่ระดับ 115 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะไปแตะที่ 120 เหรียญดอลลาร์อยู่รอมร่อ!

กรณี “วิกฤตราคาน้ำมัน” เป็นสาเหตุปัจจัยหลักของ “วิกฤตราคาอาหาร” ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยหลายๆ ฝ่ายอาจคิดเลยเถิดไปว่า “วิกฤตอาหาร” ที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ เกิดจาก “การขาดแคลน” แต่สาเหตุของปัญหาจริงๆ แล้วน่าจะเกิดจาก “วิกฤตราคา” ที่ต่อยอดมาจากราคาน้ำมันจึงทำให้ “กระบวนการผลิต-ขนส่ง” พลอยเป็นปัญหาเงาตามตัว ซึ่งประกอบกับ “ราคาปุ๋ย” ที่สูงขึ้นอีกจนก่อให้เกิดราคาอาหารสูงขึ้น!

เท่านั้นยังไม่พอ ปัญหาหลักอีกปัญหาที่เป็นปัญหาใหญ่อยู่ขณะนี้มี 3 ประการคือ “การเก็งกำไรพืชผลเกษตร” ของบรรดา “กองทุนเฮดจ์ฟัน-กองทุนโจรสลัด” ที่เก็งกำไรทุกอย่าง ตั้งแต่ ค่าเงิน ทองคำ น้ำมัน ตลาดหุ้น ตลาดทุน จนปัจจุบันมาเก็งกำไรกับราคาพืชผลการเกษตรอีกนั่นหนึ่งล่ะ!

สอง “การกักตุน” ของบรรดาพ่อค้าในระดับตลาดภายในประเทศไปจนถึงตลาดต่างประเทศ ที่กักตุนเพื่อสอดคล้องกับกลุ่มกองทุนเก็งกำไร จึงก่อให้เกิดความขาดแคลนอาหาร และที่สำคัญที่สุดคือ “การควบคุม-การกำหนดราคา” สินค้าเกษตร และ

สาม “การปลูกพืชพลังงานทดแทน” โดยลดและถึงขั้นยกเลิกปลูกพืชผลทางการเกษตรเพื่อการบริโภค ไม่ว่า ข้าวสาร ข้าวสาลี ข้าวโพด เป็นต้น ด้วยการพืชที่นำมาใช้เป็นพลังงานทดแทน อาทิ ปาล์มน้ำมัน สบู่ดำ ที่ปัจจุบันนี้ เกษตรกรไทยหันมาปลูกพืชพลังงานทดแทนจำนวนมาก ว่าไปแล้วก็มิใช่เฉพาะเกษตรกรไทยเท่านั้น น่าจะเป็นเกษตรกรทั่วโลก

จากวิกฤตอาหารที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ จนเกิดการจลาจลในประเทศต่างๆ ที่น่าเชื่อว่าอาจจะเป็นปัญหาบานปลายและอาจเกิดขึ้นกับประเทศไทยเราก็เป็นได้ ซึ่งเป็นกรณีที่ต้องแปลกประหลาดด้วยซ้ำที่คนไทย “อดอยาก!” ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเรานั้นเป็น “เมืองอู่ข้าวอู่น้ำ” มาตลอด ประวัติศาสตร์ชาติไทย พร้อมกับคำว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ซึ่งหมายความว่า “ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์” มาก

วันดีคืนดี ราคาข้าวไทยพุ่งกระฉูดไปอยู่ที่ตันละ 30,000 บาท ซึ่งก่อนหน้านั้นราคาเพียงแค่ 15,000 บาทต่อตัน หรือเกวียน เพียงราคาเท่านี้ก็ดีใจกับราคาข้าวกันแล้ว แต่พอรองนายกฯ และรัฐมนตรีพาณิชย์ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ มาบอกกับชาวนาว่า “อย่าเพิ่งขายข้าวนะเก็บเอาไว้ก่อนราคาจะสูงถึง 30,000 บาท!” เท่านั้นล่ะ เหมือนกับ “ปั่นราคา” ที่ “พ่อค้าคนกลาง” ดำเนินการ “กักตุน” ข้าวทันที ชาวนาน่ะขายข้าวหมดโกดังไปก่อนหน้านั้นแล้ว ขายได้ราคาเพียง 6,000-7,000 บาทเท่านั้นเป็นอย่างสูง พูดง่ายๆ “พ่อค้าคนกลางรวยรับเละ!” อยู่ฝ่ายเดียว ชาวนาก็ได้แต่นั่งทำตาปริบๆ!

เท่านั้นยังไม่พอ ปัญหาจากการกักตุนสต๊อกข้าวก่อให้เกิดปัญหาขาดแคลนข้าว และราคาสูงเกินเหตุ ปัญหาจึงตกมาแก่ผู้บริโภคคือ “เรา : ประชาชน” ที่ต้องซื้อข้าวบริโภคในราคาแพง โดยผู้ได้ประโยชน์ “ฟันกำไร” สูงสุดคือ “พ่อค้า-นักธุรกิจ” ส่วนชาวนานั้นยังคง “ยากจน” เหมือนเดิม มี “หนี้สินพะรุงพะรัง!” แถมต้องซื้อข้าวกินแพงอีกต่างหาก

จากข้อมูลที่ได้ศึกษามานั้น ไทยมีผลผลิตข้าวต่อไร่ต่ำกว่าอินเดีย จีน เวียดนามด้วยซ้ำ ส่วนสหรัฐอเมริกานั้น สามารถมีผลผลิตได้สูงถึง 7.55 ตันต่อเฮกตาร์ (6 ไร่กว่า) แต่ไทยเรามีผลผลิตเพียง 2.63 ตันต่อเฮกตาร์เท่านั้น

ปัญหาสาเหตุหลักที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดคือ “การบริหารจัดการน้ำ” ที่เราคงเอือมกับคำว่า “ท่วมซ้ำซาก-แล้งซ้ำซาก” ที่ชาวนาไทยประสบมาทุกปี นอกเหนือจาก “ราคาปุ๋ย” ที่ไม่สามารถกำหนดราคาใดๆ ได้

หนำซ้ำปัญหาวิกฤตราคาน้ำมันขณะนี้ยิ่งเพิ่มและพอกพูนให้กระบวนการผลิตทั้งหมด “แพงระเบิดเถิดเทิง!” หนักเข้าไปอีก กลุ่มคนที่ชอกช้ำมากที่สุดคือ “เรา-ประชาชน” กับ “ชาวนา”

เพื่อความเป็นธรรม “ปัญหาเกษตรกรรมไทย” มิได้เพิ่งเกิดจากรัฐบาลปัจจุบัน แต่เกิดขึ้นมาหลายยุคหลายสมัย ไม่เคยเห็นมีรัฐบาลใดแก้ไขปัญหาแบบครบวงจรได้ซักรัฐบาลเดียว

“กลไกการควบคุม” ภายในประเทศนั้น โดยเฉพาะ “การชลประทาน” ที่น่าจะจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดภายในประเทศชาติกันได้ แต่ก็ไม่เคยจบลงเอยแบบมี “มาตรฐานเชิงบริหาร” ที่สามารถนำมาเป็น “ต้นแบบ” ในการสร้างผลผลิตให้ได้มากขึ้น ทั้งนี้ “มาตรการควบคุมราคา” ก็เป็นประเด็นสำคัญเช่นเดียวกันที่ต้องทำให้ชาวนาได้กำไรสมน้ำสมเนื้อและคุ้มต้นทุน กอปรกับมาตรการควบคุมพ่อค้าคนกลางไม่ให้ค้ากำไรเกินควร!

“วิกฤตอาหาร” กำลังเป็นประเด็นที่ถูกนำมาอภิปรายกันอย่างกว้างขวางทั่วโลกพอๆ กับ “ปัญหาสภาวะโลกร้อน” ที่ทั้ง “ธนาคารโลก-สหประชาชาติ-กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)” หยิบยกขึ้นมาอภิปรายถกเถียงหาทางแก้ไขกันแล้ว

ปัญหาความอดอยากที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนา ซึ่งอยู่ในข่ายของ “กลุ่มประเทศยากจน” จะเริ่มก่อการจลาจลแย่งชิงอาหารมากขึ้น!

ทั้งนี้ปัญหาทั้งหมด ขอย้ำอีกครั้งว่า เกิดจาก “วิกฤตน้ำมัน” ที่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงแก่ “กระบวนการผลิตและขนส่ง” ทั้งหมด ซึ่งเป็นปัญหาหลัก โดยค่อนข้างมั่นใจว่า “มิได้เกิดขึ้นเองทางธรรมชาติ” แต่เกิดจาก “การเก็งกำไร-การกักตุน” ทั้งสิ้น พูดง่ายๆ คือเป็น “ยุคทุนนิยมสามานย์” ที่ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” และแน่นอนภาษาชาวบ้านเรียกว่า “เอาเปรียบ!” โดยไม่คำนึงถึง “คุณธรรม-มนุษยธรรม”

ดังนั้น “ยุคข้าวยากหมากแพง” กำลังก่อตัวอย่างเด่นชัดมากยิ่งขึ้น และได้เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่าในอนาคตจะมีมาตรการดูแลกันอย่างไรที่ไม่ให้ปัญหาบานปลายไปมากกว่านี้ จนเกิด “กลียุค!”

คำถามสำคัญคือ “เราคนไทย” รู้และเข้าใจปัญหาของยุคข้าวยากหมากแพงมากน้อยเพียงใด “ภาครัฐ-ภาคราชการ-ภาคเอกชน” ตระหนักถึงปัญหาที่จ่อคอหอยเป็น “มรสุมมหึมา!” ตั้งเค้าทะมึนอยู่เบื้องหน้า

ปัญหาของบ้านเมืองเราขณะนี้เกิดทั้งจาก “ปัจจัยภายใน” ที่เราสามารถควบคุมและสกัดกั้นได้บ้างไม่มากก็น้อย เพราะอย่าลืมว่าทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ “รัฐบาล” ถูกเลือกให้มาบริหารจัดการ แก้ไขปัญหา มิใช่สร้างปัญหาซ้ำเติมให้เลวร้ายลงไปอีก!

“ปัจจัยภายนอก” แน่นอนไม่มีใครควบคุมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ยุคทุนนิยม” ในปัจจุบันเป็น “ยุคเล่ห์เหลี่ยม-ยุคเล่นแร่แปรธาตุ” การเคลื่อนย้ายเงินก็ดี การเก็งกำไรก็ดี การปั่น การสร้างภาพเป็นทั้ง “ยุทธศาสตร์-กลยุทธ์” ที่ประเทศเล็กๆ อย่างเรา “ไม่มีทางรู้เท่าทันเทคนิค” อย่างแน่นอน

เพียงแต่ว่า ปัญหาภายในของเราคือ “ปากท้อง-เศรษฐกิจ-ประชาชน” เป็นเรื่องหลังสุด “เศรษฐกิจ-ธุรกิจนักการเมือง” สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้น “แก่งแย่งอำนาจ-แก่งแย่งผลประโยชน์” จึงเป็น “สรณะ” ทั้งๆ ที่ “ยุคข้าวยากหมากแพง” กำลังเคาะประตูบ้านเราเรียบร้อยแล้ว!
กำลังโหลดความคิดเห็น