ว.ร. ฤทธาคนี
nidd.riddhagni@gmail.com
เริ่มแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ที่สภาพแผ่นดินไทยในห้วงหัวเลี้ยวหัวต่อช่วงปลายแผ่นดินกรุงธนบุรี คนไทยยุคนั้นก็สัมผัสภาวะอนาธิปไตยแล้วเพราะว่าพระมหากษัตริย์เกิดความไม่แน่นอนในเรื่องศูนย์อำนาจทางการเมือง เมื่อพระเจ้าตากสินออกผนวช สถาบันสงฆ์เกิดความแตกแยก กลุ่มอำนาจพระราชองค์เดิมกับขุนนางแข่งขันช่วงชิงอำนาจกัน จนเกิดกบฏพระยาสรรค์ ประชาชนต่างก็มีความตื่นตระหนกวิตกกังวลไม่เป็นอันทำมาหากิน
ดังนั้น ในภาวะอนาธิปไตย เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก จึงตัดสินพระทัยปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ โดยกำหนดพระราชภารกิจเชิงยุทธศาสตร์ คือ สถาปนาความสงบและความมั่นคงภายในด้วยการยุติภาวะอนาธิปไตยและพวกโลภอำนาจ ทั้งด้วยความรุนแรงและละมุนละม่อมเพื่อสร้างเสถียรภาพ และความชอบธรรมให้กับอานาประชาราษฎรและราชวงศ์จักรี รวมทั้งการจัดระบบการปกครองภายในราชอาณาจักรที่ล่อแหลมต่อภัยภายนอก
อนาธิปไตยเป็นคำไทยที่แปลมาจากภาษาอังกฤษที่ว่า Anarchy อันมีรากศัพท์ภาษาละติน Anarchia และอริสโตเติล แปลเป็นภาษากรีก Avapxia หมายความว่า “ปราศจากการควบคุมหรือไม่มีกฎข้อบังคับ” ในเชิงรัฐศาสตร์พูดถึงคติอนาธิปไตย หรือ Anarchism คือ ขบวนการและหลักคำสอนทางปรัชญาการเมือง สังคม เศรษฐกิจที่ต่อต้านสิทธิอำนาจที่กำหนดมาจากเบื้องบน โดยเฉพาะจากรัฐ สนับสนุนการร่วมมือกันโดยสมัครใจจากเอกชน และกลุ่มที่เป็นอิสระบนพื้นฐานการกระจายอำนาจ ซึ่งถูกกำหนดโดยกลุ่มนิยมลัทธิอนาธิปไตยยุโรปที่พัฒนาแนวคิดนี้ในห้วงศตวรรษที่ 19 เช่น บูคาริน, โครโปพคิน, ทอยสตอย และเอมมา โกลด์แมน
และในลัทธิอนาธิปไตยมีความเข้มข้นตั้งแต่พวกนิยมสันติวิธี จนถึงพวกนิยมความรุนแรงสูงสุดในการประท้วง การต่อต้านและการใช้กำลังปฏิวัติเปลี่ยนแปลง และส่วนใหญ่จะยึดถือลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นที่พึ่งพาพักพิง เช่น บูคารินร่วมมือกับเลนินในการล้มล้างราชวงศ์โรมานอฟ ใน ค.ศ. 1917 แต่เลนิน รู้ฤทธิ์อนาธิปไตยเมื่อมีชัยเหนือราชวงศ์โรมานอฟ ขุนนางและรัสเซียขาว แล้วก็กำจัดกลุ่มอนาธิปไตยในพรรคบอลเชวิกและพรรคคอมมิวนิสต์ ส่วนบูคารินรอดตัวจนถูกสตาลินที่รับช่วงการปกครองตัดสินประหารชีวิตเมื่อ 15 มีนาคม 1938 ด้วยข้อหาทรยศต่อสหภาพโซเวียต โดยปกติลัทธิอนาธิปไตยมีการตีความแตกต่างกัน โดยแบ่งเป็นกลุ่มความคิด 6 แขนง ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับคติคิดเชิงอัตตานิยม เช่น การพึ่งตัวเอง สร้างกลุ่มต่อรอง การยกเลิกรัฐแล้วใช้กรรมสิทธิ์ร่วมกันอย่างอิสระ ต่อต้านสถาบันศาสนาและสถาบันแต่งงาน เป็นต้น
ความรุนแรงเป็นกลยุทธ์หนึ่งในลัทธิอนาธิปไตยที่ต้องการก่อจลาจลอย่างรุนแรง และนักอนาธิปไตยบางคนให้การสนับสนุนส่งเสริมการก่อตัวขึ้นของกลุ่ม Black Bloc หรือกลุ่มทมิฬทำหน้าที่เป็นทัพหน้าในการสร้างความรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐทำลายเครื่องกีดขวางและทรัพย์สินของรัฐ และเอกชน ดังตัวอย่างเมื่อมีการต่อต้านประท้วงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่บ้านสี่เสาร์เทเวศน์ อย่างไร้สาระ แต่ต้องการท้าทายและดึงทหารหรือตำรวจให้ใช้ความรุนแรงปราบปรามจะได้ขยายผล
ในอดีตคนไทยไม่รู้จักอนาธิปไตย เพียงแต่รู้ว่าแผ่นดินไร้อำนาจจะเกิดกลียุค แต่ลัทธิอนาธิปไตยเชิงตะวันตกปะทุขึ้นในประเทศไทยเมื่ออารยธรรมตะวันตกแฝงตัวมากับราชวงศ์ ข้าราชการ นักศึกษา และปัญญาชน ทั้งที่เรียนในต่างประเทศและในราชอาณาจักร ทำให้เกิดกบฏ ร.ศ. 130 ขึ้นในต้นรัชกาลที่ 6 เมื่อกลุ่มทหารหนุ่มและพลเรือนหัวก้าวหน้าตั้งสมาคม “อานาคิช” มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง ลดพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ให้อยู่ใต้กฎหมาย แต่ความแตกเสียก่อนเพราะสมาชิกทหารคนหนึ่งเกรงพระราชบารมีอาญาหลวง และผลที่จะเกิดในอนาคต จึงนำความไปกราบทูลกรมหลวง
พิษณุโลกประชานารถ จึงมีการจับกุมขึ้นในวันที่ 1 มีนาคม 2454 และสื่อต่างประเทศทั้งนอกและในราชอาณาจักรลงข่าวนี้
สาเหตุ คือ ความน้อยเนื้อต่ำใจ หรือบ้างก็ถูกพวกเสือป่าของรัชกาลที่ 6 เย้ยหยัน หรือเห็นว่าระบอบราชการเต็มไปด้วยระบบประจบสอพลอ แต่แท้จริงแล้วกลุ่มอานาคิชนี้โกรธจนไม่ต้องการระบอบกษัตริย์ เพราะมีแผนปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย โดยยึดถือความคิดของตัวเองและกลุ่มเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่ต้องเกิดขึ้นกับชาติบ้านเมืองในอนาคต ซึ่งตัวอย่างในปัจจุบันก็คือแผ่นดินเดือดในหลายประเทศในทวีปแอฟริกา
จาก พ.ศ. 2454 จนถึงปัจจุบัน ลัทธิอนาธิปไตยยังคงเป็นความสากลเพราะมนุษยชาติเกิดมาต้องการอิสรภาพ เสรีภาพ เพราะมนุษย์เป็นเวไนยสัตว์ ทำให้การสร้างระบบการปกครองเป็นศาสตร์ที่ซับซ้อน เพราะเอาใจคนทั้งมวลไม่ได้ ไม่ว่าตรรกะการปกครองจะสูงเพียงใดก็ตาม มีความยุติธรรมและความชอบธรรมเพียงใดก็เอาใจพวกอนาธิปไตยที่ยึดอัตตานิยมเป็นที่ตั้งไม่ได้
พระพุทธเจ้าเกิดมาในวรรณะกษัตริย์ เรียนรู้วิธีการปกครองตามศาสตร์ของกษัตริย์ ตามคติธรรม และตามอารยธรรมอินโด-กรีก จึงทรงบัญญัติเป็นพุทธวัจนะให้มีการปกครองแบบทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตรและราชจรรยานุวัตร ซึ่งรวมกันมีหลักธรรม 35 ประการ ที่ผนวกจาคานุสติ ฆราวาสธรรม อธิษฐานธรรม หลักอารยวัตร อริยทรัพย์ และทศบารมีทั้งหมดเข้าด้วยกันให้เป็นหลักธรรมราชา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเห็นว่าดีกว่าระบอบกษัตริย์เป็นเทพสมมติจึงทรงเปลี่ยนยุทธศาสตร์การปกครองเป็นแบบธรรมราชา ตั้งแต่ต้นให้เป็นหลักปกครองแห่งราชวงศ์จักรี
ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงบำเพ็ญบารมีทานอันบริสุทธิ์ให้กับคนไทยทั้งพระราชหฤทัยและพระราชวรกายที่ทรงทุ่มเทตลอดเวลา 60 กว่าปีที่ทรงครองราชย์ แต่พวกอนาธิปไตยนิยมที่แฝงตัวในระบอบประชาธิปไตยก็จะใช้โอกาสความอ่อนแอของสังคมและระบบรัฐขาดเสถียรภาพพยายามที่จะใช้กลยุทธ์ ต่างๆ ทำให้ความเชื่อถือศรัทธาในระบอบกษัตริย์ลดน้อยถอยลง เช่น การโจมตีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษอย่างต่อเนื่องทั้งเชิงกายภาพด้วยการประท้วงโจมตีด้วยวาจาก้าวร้าวหยาบคาย ไร้สัญชาติมนุษย์ ทั้ง Hard Copy ใบปลิวและวีซีดีที่ประกอบด้วยความชั่วร้ายหยาบคายเกินพรรณนาและผ่านทางเว็บไซต์
ตำแหน่งประธานองคมนตรีและองคมนตรีเป็นไปตามนัยพระราชอำนาจโดยตรงที่จะทรงโปรดเกล้าฯ ตามพระราชอัธยาศัย ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและตามนัยแห่งหลักธรรมราชาแล้วบุคคลที่ทรงเลือกย่อมเป็นที่ประจักษ์โดยชนหมู่มากกว่าเป็นคนดี พลเอกเปรม มีคุณอย่างใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติ ทั้งทางทหาร ทางการปกครอง และทางเศรษฐกิจ เช่น ต่อสู้กับ พคท.ด้วยสันติวิธี ขจัดการทุจริตคอร์รัปชันในวงราชการเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี และการขจัดเงินนอกระบบแบบแชร์ลูกโซ่ที่ทหารเป็นเหยื่อกันมากเกือบทั้งกองทัพเพื่อเสถียรภาพทางการเงิน จึงเป็นคำถามถามว่า พวกอนาธิปไตยต้องการอะไร คำตอบก็คือ เหตุเหมือน ร.ศ. 130 บางส่วนนั่นเอง
ขณะที่โลกสรรเสริญพระองค์ด้วยการถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดค้านการพัฒนามนุษย์ในปี 2549 แต่ก็มีชาวออสเตรเลีย ชื่อ พอล แฮนด์ลี่ อาศัยทำมาหากินในไทย เขียนหนังสือเรื่อง The King Never Smiles เชิงวิเคราะห์ทางลบ จึงเกิดคำถามว่า นายพอล แฮนด์ลี่ รับจ้างใครเขียนหรือเปล่า เพราะนักวิจารณ์หนังสือต่างชาติพูดว่า เนื้อหาเป็นเพียงข่าวลือและข่าวซุบซิบเท่านั้น ส่วนอนาธิปไตยไทยก็จะอาศัยเนื้อหาในการขยายผล ซึ่งรายละเอียดหาได้ใน Websit wikipedia และนายพอล แฮนด์ลี่ เป็นอนาธิปไตยหรือเปล่าไม่รู้ แต่อาจจะค้นหาได้ใน anarchy.org.au.
นอกเหนือจากกลุ่มอนาธิปไตยแทรกซึมรุนแรงในประชาธิปไตยของไทยขณะนี้แล้ว กลุ่มอันธพาลอธิปไตยก็ครองเมืองด้วย เพราะเห็นได้จากความก้าวร้าว ไร้จิตสำนึก และไร้วุฒิภาวะที่มิได้หมายความว่ามี Doctor of Philosophy แล้วจะเก่งกาจสามารถฉลาดทาง EQ เพราะการมีด็อกเตอร์นำหน้ามิได้หมายความว่าจะเป็นคนมีคุณธรรม เมตตาธรรม หรือวิจารณญาณแห่งความชอบธรรมแต่มีนิสัยพาล เช่น การย้ายข้าราชการที่ทำความดีแต่ไม่ให้ความร่วมมือ การทำเช่นนี้มีธรรมาภิบาลหรือไม่เป็นคำถามที่คนไทยต้องถามตัวเอง
และมีตัวอย่างหนึ่งน่าสนใจต้องวิเคราะห์เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดอยุธยาถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจเมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่จะครบเกษียณอายุราชการในอีกไม่ถึง 6 เดือน ทั้งทราบว่าท่านผู้นี้มีผลงานแก้ปัญหาน้ำท่วมอยุธยาปีที่แล้ว การสร้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจนเฟื่องฟูด้วยการบริหารจัดการที่มีคุณภาพ และถวายงานดูแลศูนย์ศิลปาชีพพิเศษบางไทรของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และงานอื่นๆ ที่ทรงช่วยเหลือชาวอยุธยาอีกมากมายจนเป็นที่พอพระทัย ประชาชนในอยุธยาก็ยอมรับนับถือในความเป็นกันเอง แต่มีคนกระซิบว่า นามสกุลท่าน ณ สงขลา จึงถูกย้ายใครรู้ช่วยตอบที
nidd.riddhagni@gmail.com
เริ่มแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ที่สภาพแผ่นดินไทยในห้วงหัวเลี้ยวหัวต่อช่วงปลายแผ่นดินกรุงธนบุรี คนไทยยุคนั้นก็สัมผัสภาวะอนาธิปไตยแล้วเพราะว่าพระมหากษัตริย์เกิดความไม่แน่นอนในเรื่องศูนย์อำนาจทางการเมือง เมื่อพระเจ้าตากสินออกผนวช สถาบันสงฆ์เกิดความแตกแยก กลุ่มอำนาจพระราชองค์เดิมกับขุนนางแข่งขันช่วงชิงอำนาจกัน จนเกิดกบฏพระยาสรรค์ ประชาชนต่างก็มีความตื่นตระหนกวิตกกังวลไม่เป็นอันทำมาหากิน
ดังนั้น ในภาวะอนาธิปไตย เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก จึงตัดสินพระทัยปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ โดยกำหนดพระราชภารกิจเชิงยุทธศาสตร์ คือ สถาปนาความสงบและความมั่นคงภายในด้วยการยุติภาวะอนาธิปไตยและพวกโลภอำนาจ ทั้งด้วยความรุนแรงและละมุนละม่อมเพื่อสร้างเสถียรภาพ และความชอบธรรมให้กับอานาประชาราษฎรและราชวงศ์จักรี รวมทั้งการจัดระบบการปกครองภายในราชอาณาจักรที่ล่อแหลมต่อภัยภายนอก
อนาธิปไตยเป็นคำไทยที่แปลมาจากภาษาอังกฤษที่ว่า Anarchy อันมีรากศัพท์ภาษาละติน Anarchia และอริสโตเติล แปลเป็นภาษากรีก Avapxia หมายความว่า “ปราศจากการควบคุมหรือไม่มีกฎข้อบังคับ” ในเชิงรัฐศาสตร์พูดถึงคติอนาธิปไตย หรือ Anarchism คือ ขบวนการและหลักคำสอนทางปรัชญาการเมือง สังคม เศรษฐกิจที่ต่อต้านสิทธิอำนาจที่กำหนดมาจากเบื้องบน โดยเฉพาะจากรัฐ สนับสนุนการร่วมมือกันโดยสมัครใจจากเอกชน และกลุ่มที่เป็นอิสระบนพื้นฐานการกระจายอำนาจ ซึ่งถูกกำหนดโดยกลุ่มนิยมลัทธิอนาธิปไตยยุโรปที่พัฒนาแนวคิดนี้ในห้วงศตวรรษที่ 19 เช่น บูคาริน, โครโปพคิน, ทอยสตอย และเอมมา โกลด์แมน
และในลัทธิอนาธิปไตยมีความเข้มข้นตั้งแต่พวกนิยมสันติวิธี จนถึงพวกนิยมความรุนแรงสูงสุดในการประท้วง การต่อต้านและการใช้กำลังปฏิวัติเปลี่ยนแปลง และส่วนใหญ่จะยึดถือลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นที่พึ่งพาพักพิง เช่น บูคารินร่วมมือกับเลนินในการล้มล้างราชวงศ์โรมานอฟ ใน ค.ศ. 1917 แต่เลนิน รู้ฤทธิ์อนาธิปไตยเมื่อมีชัยเหนือราชวงศ์โรมานอฟ ขุนนางและรัสเซียขาว แล้วก็กำจัดกลุ่มอนาธิปไตยในพรรคบอลเชวิกและพรรคคอมมิวนิสต์ ส่วนบูคารินรอดตัวจนถูกสตาลินที่รับช่วงการปกครองตัดสินประหารชีวิตเมื่อ 15 มีนาคม 1938 ด้วยข้อหาทรยศต่อสหภาพโซเวียต โดยปกติลัทธิอนาธิปไตยมีการตีความแตกต่างกัน โดยแบ่งเป็นกลุ่มความคิด 6 แขนง ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับคติคิดเชิงอัตตานิยม เช่น การพึ่งตัวเอง สร้างกลุ่มต่อรอง การยกเลิกรัฐแล้วใช้กรรมสิทธิ์ร่วมกันอย่างอิสระ ต่อต้านสถาบันศาสนาและสถาบันแต่งงาน เป็นต้น
ความรุนแรงเป็นกลยุทธ์หนึ่งในลัทธิอนาธิปไตยที่ต้องการก่อจลาจลอย่างรุนแรง และนักอนาธิปไตยบางคนให้การสนับสนุนส่งเสริมการก่อตัวขึ้นของกลุ่ม Black Bloc หรือกลุ่มทมิฬทำหน้าที่เป็นทัพหน้าในการสร้างความรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐทำลายเครื่องกีดขวางและทรัพย์สินของรัฐ และเอกชน ดังตัวอย่างเมื่อมีการต่อต้านประท้วงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่บ้านสี่เสาร์เทเวศน์ อย่างไร้สาระ แต่ต้องการท้าทายและดึงทหารหรือตำรวจให้ใช้ความรุนแรงปราบปรามจะได้ขยายผล
ในอดีตคนไทยไม่รู้จักอนาธิปไตย เพียงแต่รู้ว่าแผ่นดินไร้อำนาจจะเกิดกลียุค แต่ลัทธิอนาธิปไตยเชิงตะวันตกปะทุขึ้นในประเทศไทยเมื่ออารยธรรมตะวันตกแฝงตัวมากับราชวงศ์ ข้าราชการ นักศึกษา และปัญญาชน ทั้งที่เรียนในต่างประเทศและในราชอาณาจักร ทำให้เกิดกบฏ ร.ศ. 130 ขึ้นในต้นรัชกาลที่ 6 เมื่อกลุ่มทหารหนุ่มและพลเรือนหัวก้าวหน้าตั้งสมาคม “อานาคิช” มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง ลดพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ให้อยู่ใต้กฎหมาย แต่ความแตกเสียก่อนเพราะสมาชิกทหารคนหนึ่งเกรงพระราชบารมีอาญาหลวง และผลที่จะเกิดในอนาคต จึงนำความไปกราบทูลกรมหลวง
พิษณุโลกประชานารถ จึงมีการจับกุมขึ้นในวันที่ 1 มีนาคม 2454 และสื่อต่างประเทศทั้งนอกและในราชอาณาจักรลงข่าวนี้
สาเหตุ คือ ความน้อยเนื้อต่ำใจ หรือบ้างก็ถูกพวกเสือป่าของรัชกาลที่ 6 เย้ยหยัน หรือเห็นว่าระบอบราชการเต็มไปด้วยระบบประจบสอพลอ แต่แท้จริงแล้วกลุ่มอานาคิชนี้โกรธจนไม่ต้องการระบอบกษัตริย์ เพราะมีแผนปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย โดยยึดถือความคิดของตัวเองและกลุ่มเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่ต้องเกิดขึ้นกับชาติบ้านเมืองในอนาคต ซึ่งตัวอย่างในปัจจุบันก็คือแผ่นดินเดือดในหลายประเทศในทวีปแอฟริกา
จาก พ.ศ. 2454 จนถึงปัจจุบัน ลัทธิอนาธิปไตยยังคงเป็นความสากลเพราะมนุษยชาติเกิดมาต้องการอิสรภาพ เสรีภาพ เพราะมนุษย์เป็นเวไนยสัตว์ ทำให้การสร้างระบบการปกครองเป็นศาสตร์ที่ซับซ้อน เพราะเอาใจคนทั้งมวลไม่ได้ ไม่ว่าตรรกะการปกครองจะสูงเพียงใดก็ตาม มีความยุติธรรมและความชอบธรรมเพียงใดก็เอาใจพวกอนาธิปไตยที่ยึดอัตตานิยมเป็นที่ตั้งไม่ได้
พระพุทธเจ้าเกิดมาในวรรณะกษัตริย์ เรียนรู้วิธีการปกครองตามศาสตร์ของกษัตริย์ ตามคติธรรม และตามอารยธรรมอินโด-กรีก จึงทรงบัญญัติเป็นพุทธวัจนะให้มีการปกครองแบบทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตรและราชจรรยานุวัตร ซึ่งรวมกันมีหลักธรรม 35 ประการ ที่ผนวกจาคานุสติ ฆราวาสธรรม อธิษฐานธรรม หลักอารยวัตร อริยทรัพย์ และทศบารมีทั้งหมดเข้าด้วยกันให้เป็นหลักธรรมราชา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเห็นว่าดีกว่าระบอบกษัตริย์เป็นเทพสมมติจึงทรงเปลี่ยนยุทธศาสตร์การปกครองเป็นแบบธรรมราชา ตั้งแต่ต้นให้เป็นหลักปกครองแห่งราชวงศ์จักรี
ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงบำเพ็ญบารมีทานอันบริสุทธิ์ให้กับคนไทยทั้งพระราชหฤทัยและพระราชวรกายที่ทรงทุ่มเทตลอดเวลา 60 กว่าปีที่ทรงครองราชย์ แต่พวกอนาธิปไตยนิยมที่แฝงตัวในระบอบประชาธิปไตยก็จะใช้โอกาสความอ่อนแอของสังคมและระบบรัฐขาดเสถียรภาพพยายามที่จะใช้กลยุทธ์ ต่างๆ ทำให้ความเชื่อถือศรัทธาในระบอบกษัตริย์ลดน้อยถอยลง เช่น การโจมตีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษอย่างต่อเนื่องทั้งเชิงกายภาพด้วยการประท้วงโจมตีด้วยวาจาก้าวร้าวหยาบคาย ไร้สัญชาติมนุษย์ ทั้ง Hard Copy ใบปลิวและวีซีดีที่ประกอบด้วยความชั่วร้ายหยาบคายเกินพรรณนาและผ่านทางเว็บไซต์
ตำแหน่งประธานองคมนตรีและองคมนตรีเป็นไปตามนัยพระราชอำนาจโดยตรงที่จะทรงโปรดเกล้าฯ ตามพระราชอัธยาศัย ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและตามนัยแห่งหลักธรรมราชาแล้วบุคคลที่ทรงเลือกย่อมเป็นที่ประจักษ์โดยชนหมู่มากกว่าเป็นคนดี พลเอกเปรม มีคุณอย่างใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติ ทั้งทางทหาร ทางการปกครอง และทางเศรษฐกิจ เช่น ต่อสู้กับ พคท.ด้วยสันติวิธี ขจัดการทุจริตคอร์รัปชันในวงราชการเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี และการขจัดเงินนอกระบบแบบแชร์ลูกโซ่ที่ทหารเป็นเหยื่อกันมากเกือบทั้งกองทัพเพื่อเสถียรภาพทางการเงิน จึงเป็นคำถามถามว่า พวกอนาธิปไตยต้องการอะไร คำตอบก็คือ เหตุเหมือน ร.ศ. 130 บางส่วนนั่นเอง
ขณะที่โลกสรรเสริญพระองค์ด้วยการถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดค้านการพัฒนามนุษย์ในปี 2549 แต่ก็มีชาวออสเตรเลีย ชื่อ พอล แฮนด์ลี่ อาศัยทำมาหากินในไทย เขียนหนังสือเรื่อง The King Never Smiles เชิงวิเคราะห์ทางลบ จึงเกิดคำถามว่า นายพอล แฮนด์ลี่ รับจ้างใครเขียนหรือเปล่า เพราะนักวิจารณ์หนังสือต่างชาติพูดว่า เนื้อหาเป็นเพียงข่าวลือและข่าวซุบซิบเท่านั้น ส่วนอนาธิปไตยไทยก็จะอาศัยเนื้อหาในการขยายผล ซึ่งรายละเอียดหาได้ใน Websit wikipedia และนายพอล แฮนด์ลี่ เป็นอนาธิปไตยหรือเปล่าไม่รู้ แต่อาจจะค้นหาได้ใน anarchy.org.au.
นอกเหนือจากกลุ่มอนาธิปไตยแทรกซึมรุนแรงในประชาธิปไตยของไทยขณะนี้แล้ว กลุ่มอันธพาลอธิปไตยก็ครองเมืองด้วย เพราะเห็นได้จากความก้าวร้าว ไร้จิตสำนึก และไร้วุฒิภาวะที่มิได้หมายความว่ามี Doctor of Philosophy แล้วจะเก่งกาจสามารถฉลาดทาง EQ เพราะการมีด็อกเตอร์นำหน้ามิได้หมายความว่าจะเป็นคนมีคุณธรรม เมตตาธรรม หรือวิจารณญาณแห่งความชอบธรรมแต่มีนิสัยพาล เช่น การย้ายข้าราชการที่ทำความดีแต่ไม่ให้ความร่วมมือ การทำเช่นนี้มีธรรมาภิบาลหรือไม่เป็นคำถามที่คนไทยต้องถามตัวเอง
และมีตัวอย่างหนึ่งน่าสนใจต้องวิเคราะห์เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดอยุธยาถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจเมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่จะครบเกษียณอายุราชการในอีกไม่ถึง 6 เดือน ทั้งทราบว่าท่านผู้นี้มีผลงานแก้ปัญหาน้ำท่วมอยุธยาปีที่แล้ว การสร้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจนเฟื่องฟูด้วยการบริหารจัดการที่มีคุณภาพ และถวายงานดูแลศูนย์ศิลปาชีพพิเศษบางไทรของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และงานอื่นๆ ที่ทรงช่วยเหลือชาวอยุธยาอีกมากมายจนเป็นที่พอพระทัย ประชาชนในอยุธยาก็ยอมรับนับถือในความเป็นกันเอง แต่มีคนกระซิบว่า นามสกุลท่าน ณ สงขลา จึงถูกย้ายใครรู้ช่วยตอบที