"สพรั่ง" เผยตัวตนที่แท้จริง หลัง"พลังแม้ว" ครองอำนาจ ให้สัมภาษณ์สื่อหน้าตาเฉย ในยุคที่ มทภ.3 "ทักษิณ"ดีที่สุด ขณะที่เจ้าตัวยัน"ไม่เปลี่ยนสี" ยังเป็นตัวของตัวเอง ไม่เสียใจกับการปฏิวัติ ระบุไม่เคยพบหรือเคลียร์กับ"แม้ว" และไม่เสียใจกับการยึดอำนาจ ทุกอย่างปล่อยไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่กับ"บัง" เวลานี้เปลี่ยนไป ต่างคนต่างอยู่เหมือนเพื่อนใหม่ที่เคยรู้จักกันครั้งแรก ไม่ทักทายกัน
วานนี้ (22 ก.พ.) พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม อดีตผู้ช่วยเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์แก่ นายเติมศักดิ์ จารุปราณ ผู้ดำเนินรายการชั่วโมงข่าวบ่าย 3 ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ASTV กรณีบทสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ โดยกล่าว ปฏิเสธว่า ไม่ได้เปลี่ยนสี หรือมีความลับลมคมใน ยังเป็นตัวของตัวเอง และมีเหตุผล ที่ผ่านมาเป็นการต่อสู้กันในเกม ไม่ใช่ผลประโยชน์ขัดกันเป็นส่วนตัว และตนเองยังเป็น สพรั่ง คนเดิม
พิธีกรถามว่า ไม่มีปัญหากับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นการส่วนตัวใช่หรือไม่ ? พล.อ.สพรั่ง ตอบเลี่ยงว่า ตนไม่ได้สรรเสริญเยินยอใคร เมื่อพรรคพลังประชาชนเข้ามา และไม่เอาความดีใส่ตัวเอาความชั่วใส่คนอื่น
เมื่อถามว่า การที่ในอดีต พล.อ.สพรั่ง เคยพูดถึง "นักการเมืองบางคนเลว" นั้นหมายถึงใคร อดีตผู้ช่วยเลขาธิการ คมช. กล่าวว่า ในตอนนั้นตนพูดในหลักการเท่านั้น ส่วนจะผิดหรือจะถูก ก็ต้องว่าไปตามกระบวนการ
เมื่อถามถึงเรื่องคำให้สัมภาษณ์ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ที่ระบุว่า คนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เสียหายหมายความว่าอย่างไร พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า เป็นอีกบทเรียนที่ทำให้ผู้คนในอดีตเสียไป ไม่ได้เจตนาสื่อไปถึงใคร และว่าที่ผ่านมาในสถานการณ์ขณะนั้นเป็นความขัดแย้งกันมาก่อน ทหารถึงได้เข้ามา
"ในเจตนาไม่มีเหตุผลส่วนตัว เป็นเรื่องส่วนรวมไม่เกี่ยวกับจูบปากจูบคอ หรือเยินยอใคร" พล.อ.สพรั่ง ยืนยัน เมื่อถูกถามเรื่องการเปลี่ยนท่าที
พล.อ.สพรั่ง ยังย้ำ ถึงจุดยืนกับกลุ่ม นปก.ว่า ไม่เคยเปลี่ยน เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครมาสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ หรืออาจเห็นว่าไม่มีตำแหน่งแล้วก็ได้ เนื่องจากปัจจุบันตนเองไม่ได้คุมกำลังแล้ว แต่มาดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหม
เมื่อถามย้ำอีกว่า ยังยืนยันว่ายืนอยู่ตรงข้ามพ.ต.ท.ทักษิณ อยู่หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กลับตอบอย่างเลี่ยงๆ เพียงว่า ตนจะไม่พูดถึงชื่อใคร แต่จะพูดถึงความเลว เพราะความเลวไปอยู่ในตัวใครคนนั้นก็เลว และว่า ตัวเองไม่ใช่ศาล จากนั้นจึงกล่าวว่า ถ้าตัวเองเปลี่ยนสี ก็ไร้ค่า และน่าขยะแขยง และย้ำว่า ที่ผ่านมาไม่เสียใจกับการปฏิวัติ ถ้านึกถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เมื่อถามว่า เหตุผลของการเข้าร่วมกับการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 เพราะนักการเมืองเลวใช่หรือไม่ ? พล.อ.สพรั่ง ตอบว่า ใช่! แต่กระบวนการในขณะนี้ ทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการแล้ว (ศาล)
เมื่อพิธีกรถามต่อว่า ที่ผ่านมา พล.อ.สพรั่ง ได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ ไม่ว่าโดยตรง หรือคุยผ่านผู้อื่น พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ตนเองไม่มีตำแหน่งสำคัญ จึงไม่น่าจะมาคุยกับตน พร้อมกล่าวย้ำว่า ตนไม่กลัวถูกเช็กบิล และไม่มีอะไรต้องกลัว
ในตอนท้ายพิธีกรได้ถามถึงท่าทีต่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ต่างคนต่างอยู่ เหมือนคนไม่เคยรู้จัก เหมือนเพื่อนใหม่ที่รู้จักกันวันแรก เดินสวนกันไม่ทักทาย ความรู้สึกเป็นแบบนั้น
ทั้งนี้ การให้สัมภาษณ์ พล.อ.สพรั่ง ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากพล.อ.สพรั่ง ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ในทำนองชื่นชม หรือให้เกียรติ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ในช่วงที่ตนเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักการเมืองที่ดีที่สุดคนหนึ่ง
บทสัมภาษณ์ในส่วนที่กล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น...ผู้สื่อข่าวถามว่า "มีคนอยากรู้กันเยอะว่า ลึกๆ แล้ว พล.อ.สพรั่ง รู้สึกอย่างไรกับคนชื่อทักษิณ ซึ่งพล.อ.สพรั่ง ตอบว่า "จริงๆ แล้วเราไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ตอนที่ผมเป็นแม่ทัพภาค 3 ก็ได้รับเกียรติจาก พ.ต.ท.ทักษิณ มากพอสมควร ถือว่าดีที่สุดในยุคที่การเมืองเข้มแข็งขนาดนั้น ก็ต้องให้เครดิตกับอดีตนายกฯ ส่วนจุดหักเหของความขัดแย้งก็ไม่ได้มีอะไร ไม่ได้เกิดที่ตัวบุคคล แต่เกิดจากความไม่สบายใจ และสิ่งแวดล้อมคนใกล้ตัวพาดพิงถึงเบื้องสูง ไม่ได้เกี่ยวกับตัว พ.ต.ท.ทักษิณ"
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ขณะที่ พล.อ.สพรั่ง ดำรงตำแหน่งยศ "พล.ท" ในตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 นั้นถือเป็นนายทหารคนหนึ่ง ที่กล่าวตำหนิและโจมตีการกระทำและพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ มากที่สุดคนหนึ่ง เช่น วันที่ 25 ก.ค.49 ที่ห้องประชุมสโมสรบันเทิงทัพ ค่ายสมเด็จพระนเรศวร จ.พิษณุโลก ในโอกาสที่กลุ่มลูกเสือชาวบ้านภาคเหนือ และกลุ่มประชาชนจาก อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.เพชรบุรี ได้เดินทางมามอบดอกไม้ และอาหารทะเล พร้อมขอเป็นกำลังใจให้ พล.ท.สพรั่ง และ พล.ต.จิรเดช คชรัตน์ แม่ทัพน้อยที่ 3 ที่แสดงจุดยืนเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยในตอนหนึ่ง พล.ท.สพรั่ง กล่าวกับตัวแทนประชาชนว่า
"ขอให้ฝากบอกปากต่อปากไปด้วย เพราะไม่สามารถดูแลชุมชนได้ ดูแลเฉพาะชุมชนในค่าย ถ้าใครไปรับเงินเพื่อการเลือกตั้งจะได้จบๆไป ความวิบัติจะมากกว่านี้ บ้านเมืองจะล่มสลายกว่าที่ท่านเห็นทุกวันนี้ ความแตกแยกแบ่งเป็น 2 ขั้ว กองทัพจะดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้พระองค์ท่านวางใจ ทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกคน บก เรือ อากาศ ลูกเสือ กลุ่มแม่บ้าน ฯลฯ"
พล.ท.สพรั่ง กล่าวอีกว่า "ความเลวกับความดี ต่างกันฟ้ากับดิน ไม่อยากเห็นลูกหลานมารับกรรม เพราะความเห็นแก่ตัวของราชการ เห็นแล้วไม่ช่วย หดหัวอยู่ในกระดอง รู้ว่า ผมจะนำท่านแล้วนะ วันนี้มันสงบ ชกกันเป็นยกๆ ตราบใดต้นเหตุยังไม่แก้ ลามปามไปถึงสถาบัน ต้องการล้มล้างพระเจ้าอยู่หัวของเรา ผมบอกว่า ผมจะปกป้อง ผมจงรักภักดี ด้วยคุณธรรมของท่าน ในฐานะที่พระประมุข เพราะประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต้องยอมรับทุกอย่างเกิดจากความดี ฉันเป็นหัวหน้าแล้วทำอะไรก็ได้ แต่ท่านตรัสว่า กษัตริย์ต้องไม่ทำผิด นี่คือ สุดยอดของคำตรัส 2-3 ปีที่แล้ว พระองค์ท่านปกครองด้วยทศพิธราชธรรม ผมไม่คิดว่า ท่านเป็นสมมติเทพ ผมคิดว่า เป็นคุณงามความดีที่ท่านสั่งสมมา อย่าก้มหัวให้กับคนเลว ข้าราชการเลว นักการเมืองเลว แต่ผมก้มหัวให้กับพระเจ้าอยู่หัว พร้อมที่จะตายและปกป้องท่าน ใครที่บังอาจ กัดเซาะพระองค์ท่านทุกวันนี้ ผมท้าเลยว่า ข้ามศพผมไปก่อน ประกาศให้รู้เลยว่า ศัตรูที่น่ากลัวที่สุด ผมจะโหดเหี้ยมกับศัตรูที่ทำร้ายชาติ กับพระมหากษัตริย์"
นอกจากนี้ในเวลาต่อมา พล.ท.สพรั่ง ยังถือเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของคณะการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ในการลงมือกระทำการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 อีกด้วย และหลังการรัฐประหารเพียงไม่กี่วัน พล.ท.สพรั่ง ยังกล่าวย้ำเหตุผลของการทำรัฐประหารด้วยว่า
"การวางแผนปฏิรูปการปกครองนั้นได้มีการวางแผนมาแล้ว 7-8 เดือน ไม่ใช่เพิ่งคิดจะทำกันแค่วันหรือสองวัน แต่มีการกำหนดไว้หลังจากเห็นว่าสถานการณ์ความสงบเรียบร้อยในประเทศเริ่มสั่นคลอน ประเทศชาติขาดคนมีภาวะผู้นำ มีแต่คนเก่งที่ขี้โกง แต่งตั้งข้าราชการที่เป็นพวกพ้องขึ้นมาบริหารงาน รักษาประโยชน์และอำนาจให้แก่ตนเอง ปรับและโยกย้ายคนที่ไม่ใช่พวกพ้องออกไป กองทัพภาคที่ 3 จึงได้เตรียมความพร้อมมาตลอดเพื่อการปฏิรูปในวันนี้"
วานนี้ (22 ก.พ.) พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม อดีตผู้ช่วยเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์แก่ นายเติมศักดิ์ จารุปราณ ผู้ดำเนินรายการชั่วโมงข่าวบ่าย 3 ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ASTV กรณีบทสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ โดยกล่าว ปฏิเสธว่า ไม่ได้เปลี่ยนสี หรือมีความลับลมคมใน ยังเป็นตัวของตัวเอง และมีเหตุผล ที่ผ่านมาเป็นการต่อสู้กันในเกม ไม่ใช่ผลประโยชน์ขัดกันเป็นส่วนตัว และตนเองยังเป็น สพรั่ง คนเดิม
พิธีกรถามว่า ไม่มีปัญหากับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นการส่วนตัวใช่หรือไม่ ? พล.อ.สพรั่ง ตอบเลี่ยงว่า ตนไม่ได้สรรเสริญเยินยอใคร เมื่อพรรคพลังประชาชนเข้ามา และไม่เอาความดีใส่ตัวเอาความชั่วใส่คนอื่น
เมื่อถามว่า การที่ในอดีต พล.อ.สพรั่ง เคยพูดถึง "นักการเมืองบางคนเลว" นั้นหมายถึงใคร อดีตผู้ช่วยเลขาธิการ คมช. กล่าวว่า ในตอนนั้นตนพูดในหลักการเท่านั้น ส่วนจะผิดหรือจะถูก ก็ต้องว่าไปตามกระบวนการ
เมื่อถามถึงเรื่องคำให้สัมภาษณ์ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ที่ระบุว่า คนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เสียหายหมายความว่าอย่างไร พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า เป็นอีกบทเรียนที่ทำให้ผู้คนในอดีตเสียไป ไม่ได้เจตนาสื่อไปถึงใคร และว่าที่ผ่านมาในสถานการณ์ขณะนั้นเป็นความขัดแย้งกันมาก่อน ทหารถึงได้เข้ามา
"ในเจตนาไม่มีเหตุผลส่วนตัว เป็นเรื่องส่วนรวมไม่เกี่ยวกับจูบปากจูบคอ หรือเยินยอใคร" พล.อ.สพรั่ง ยืนยัน เมื่อถูกถามเรื่องการเปลี่ยนท่าที
พล.อ.สพรั่ง ยังย้ำ ถึงจุดยืนกับกลุ่ม นปก.ว่า ไม่เคยเปลี่ยน เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครมาสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ หรืออาจเห็นว่าไม่มีตำแหน่งแล้วก็ได้ เนื่องจากปัจจุบันตนเองไม่ได้คุมกำลังแล้ว แต่มาดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหม
เมื่อถามย้ำอีกว่า ยังยืนยันว่ายืนอยู่ตรงข้ามพ.ต.ท.ทักษิณ อยู่หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กลับตอบอย่างเลี่ยงๆ เพียงว่า ตนจะไม่พูดถึงชื่อใคร แต่จะพูดถึงความเลว เพราะความเลวไปอยู่ในตัวใครคนนั้นก็เลว และว่า ตัวเองไม่ใช่ศาล จากนั้นจึงกล่าวว่า ถ้าตัวเองเปลี่ยนสี ก็ไร้ค่า และน่าขยะแขยง และย้ำว่า ที่ผ่านมาไม่เสียใจกับการปฏิวัติ ถ้านึกถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เมื่อถามว่า เหตุผลของการเข้าร่วมกับการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 เพราะนักการเมืองเลวใช่หรือไม่ ? พล.อ.สพรั่ง ตอบว่า ใช่! แต่กระบวนการในขณะนี้ ทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการแล้ว (ศาล)
เมื่อพิธีกรถามต่อว่า ที่ผ่านมา พล.อ.สพรั่ง ได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ ไม่ว่าโดยตรง หรือคุยผ่านผู้อื่น พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ตนเองไม่มีตำแหน่งสำคัญ จึงไม่น่าจะมาคุยกับตน พร้อมกล่าวย้ำว่า ตนไม่กลัวถูกเช็กบิล และไม่มีอะไรต้องกลัว
ในตอนท้ายพิธีกรได้ถามถึงท่าทีต่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ต่างคนต่างอยู่ เหมือนคนไม่เคยรู้จัก เหมือนเพื่อนใหม่ที่รู้จักกันวันแรก เดินสวนกันไม่ทักทาย ความรู้สึกเป็นแบบนั้น
ทั้งนี้ การให้สัมภาษณ์ พล.อ.สพรั่ง ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากพล.อ.สพรั่ง ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ในทำนองชื่นชม หรือให้เกียรติ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ในช่วงที่ตนเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักการเมืองที่ดีที่สุดคนหนึ่ง
บทสัมภาษณ์ในส่วนที่กล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น...ผู้สื่อข่าวถามว่า "มีคนอยากรู้กันเยอะว่า ลึกๆ แล้ว พล.อ.สพรั่ง รู้สึกอย่างไรกับคนชื่อทักษิณ ซึ่งพล.อ.สพรั่ง ตอบว่า "จริงๆ แล้วเราไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ตอนที่ผมเป็นแม่ทัพภาค 3 ก็ได้รับเกียรติจาก พ.ต.ท.ทักษิณ มากพอสมควร ถือว่าดีที่สุดในยุคที่การเมืองเข้มแข็งขนาดนั้น ก็ต้องให้เครดิตกับอดีตนายกฯ ส่วนจุดหักเหของความขัดแย้งก็ไม่ได้มีอะไร ไม่ได้เกิดที่ตัวบุคคล แต่เกิดจากความไม่สบายใจ และสิ่งแวดล้อมคนใกล้ตัวพาดพิงถึงเบื้องสูง ไม่ได้เกี่ยวกับตัว พ.ต.ท.ทักษิณ"
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ขณะที่ พล.อ.สพรั่ง ดำรงตำแหน่งยศ "พล.ท" ในตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 นั้นถือเป็นนายทหารคนหนึ่ง ที่กล่าวตำหนิและโจมตีการกระทำและพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ มากที่สุดคนหนึ่ง เช่น วันที่ 25 ก.ค.49 ที่ห้องประชุมสโมสรบันเทิงทัพ ค่ายสมเด็จพระนเรศวร จ.พิษณุโลก ในโอกาสที่กลุ่มลูกเสือชาวบ้านภาคเหนือ และกลุ่มประชาชนจาก อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.เพชรบุรี ได้เดินทางมามอบดอกไม้ และอาหารทะเล พร้อมขอเป็นกำลังใจให้ พล.ท.สพรั่ง และ พล.ต.จิรเดช คชรัตน์ แม่ทัพน้อยที่ 3 ที่แสดงจุดยืนเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยในตอนหนึ่ง พล.ท.สพรั่ง กล่าวกับตัวแทนประชาชนว่า
"ขอให้ฝากบอกปากต่อปากไปด้วย เพราะไม่สามารถดูแลชุมชนได้ ดูแลเฉพาะชุมชนในค่าย ถ้าใครไปรับเงินเพื่อการเลือกตั้งจะได้จบๆไป ความวิบัติจะมากกว่านี้ บ้านเมืองจะล่มสลายกว่าที่ท่านเห็นทุกวันนี้ ความแตกแยกแบ่งเป็น 2 ขั้ว กองทัพจะดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้พระองค์ท่านวางใจ ทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกคน บก เรือ อากาศ ลูกเสือ กลุ่มแม่บ้าน ฯลฯ"
พล.ท.สพรั่ง กล่าวอีกว่า "ความเลวกับความดี ต่างกันฟ้ากับดิน ไม่อยากเห็นลูกหลานมารับกรรม เพราะความเห็นแก่ตัวของราชการ เห็นแล้วไม่ช่วย หดหัวอยู่ในกระดอง รู้ว่า ผมจะนำท่านแล้วนะ วันนี้มันสงบ ชกกันเป็นยกๆ ตราบใดต้นเหตุยังไม่แก้ ลามปามไปถึงสถาบัน ต้องการล้มล้างพระเจ้าอยู่หัวของเรา ผมบอกว่า ผมจะปกป้อง ผมจงรักภักดี ด้วยคุณธรรมของท่าน ในฐานะที่พระประมุข เพราะประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต้องยอมรับทุกอย่างเกิดจากความดี ฉันเป็นหัวหน้าแล้วทำอะไรก็ได้ แต่ท่านตรัสว่า กษัตริย์ต้องไม่ทำผิด นี่คือ สุดยอดของคำตรัส 2-3 ปีที่แล้ว พระองค์ท่านปกครองด้วยทศพิธราชธรรม ผมไม่คิดว่า ท่านเป็นสมมติเทพ ผมคิดว่า เป็นคุณงามความดีที่ท่านสั่งสมมา อย่าก้มหัวให้กับคนเลว ข้าราชการเลว นักการเมืองเลว แต่ผมก้มหัวให้กับพระเจ้าอยู่หัว พร้อมที่จะตายและปกป้องท่าน ใครที่บังอาจ กัดเซาะพระองค์ท่านทุกวันนี้ ผมท้าเลยว่า ข้ามศพผมไปก่อน ประกาศให้รู้เลยว่า ศัตรูที่น่ากลัวที่สุด ผมจะโหดเหี้ยมกับศัตรูที่ทำร้ายชาติ กับพระมหากษัตริย์"
นอกจากนี้ในเวลาต่อมา พล.ท.สพรั่ง ยังถือเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของคณะการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ในการลงมือกระทำการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 อีกด้วย และหลังการรัฐประหารเพียงไม่กี่วัน พล.ท.สพรั่ง ยังกล่าวย้ำเหตุผลของการทำรัฐประหารด้วยว่า
"การวางแผนปฏิรูปการปกครองนั้นได้มีการวางแผนมาแล้ว 7-8 เดือน ไม่ใช่เพิ่งคิดจะทำกันแค่วันหรือสองวัน แต่มีการกำหนดไว้หลังจากเห็นว่าสถานการณ์ความสงบเรียบร้อยในประเทศเริ่มสั่นคลอน ประเทศชาติขาดคนมีภาวะผู้นำ มีแต่คนเก่งที่ขี้โกง แต่งตั้งข้าราชการที่เป็นพวกพ้องขึ้นมาบริหารงาน รักษาประโยชน์และอำนาจให้แก่ตนเอง ปรับและโยกย้ายคนที่ไม่ใช่พวกพ้องออกไป กองทัพภาคที่ 3 จึงได้เตรียมความพร้อมมาตลอดเพื่อการปฏิรูปในวันนี้"