ผู้จัดการรายวัน - ประเดิมคดีแรกของ คตส. ส่งสัญญาณติดคุกยกครัว ศาลพิพากษาคุณหญิงอ้อผิดชัดคดีเลี่ยงภาษี ข้อต่อสู้ทุกประเด็นฟังไม่ขึ้น ส่งผลจำคุก 3 ปีพร้อมพี่ชาย ส่วนเลขาฯ 2 ปี ชี้เป็นถึงภริยาผู้นำไม่ทำตัวเป็นแบบอย่าง กลับฝ่าฝืนกฎหมายถือว่าผิดร้ายแรง เผยทั้งครอบครัวอยู่ในศาลออกอาการสุดเครียด "แม้ว" หมอง "อุ๊งอิ๊ง" ส่ายหัว โฆษกส่วนตัวยังคึกขอสู้อุทธรณ์ เผยนายใหญ่เตรียมไปญี่ปุ่นแต่จะกลับมาสู้คดีแน่ เฮ! อัยการสูงสุดเตรียมฟ้อง 3 คดี ทั้ง CTX กรุงไทยและบ้านเอื้อฯ
วานนี้ (31 ก.ค.) เวลา 09.00 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลโดยนายปราโมทย์ พิพัทธ์ปราโมทย์ พร้อมองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดี”เลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ” คดีหมายเลขดำที่ อ.1149/2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ อายุ 59 ปี อดีตประธานกรรมการบริหารชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร อายุ 51 ปี ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน อายุ 51 ปี เลขานุการส่วนตัว เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร และ โดยรู้อยู่แล้ว หรือโดยจงใจ ร่วมกันแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้นบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่าหุ้น 738 ล้านบาท และภาษีที่หลีกเลี่ยงจำนวน 546 ล้านบาท อันเป็นความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1) (2) และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และ 91
**ศาลยันให้ความยุติธรรมทุกฝ่าย**
โดยก่อนอ่านคำพิพากษา ศาลได้สอบถามคุณหญิงพจมาน ว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 (คดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาภิเษก)ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อหรือไม่ คุณหญิงพจมาน ตอบรับว่าใช่ จากนั้นองค์คณะผู้พิพากษาได้กล่าวชี้แจงต่อจำเลยทั้งสาม และผู้เข้าร่วมฟังคำพิพากษาว่า เป็นที่รู้กันว่าขณะนี้ประชาชนบางส่วนแบ่งเป็นฝักฝ่ายซึ่งเป็นปัญหาทางการเมืองอย่างชัดแจ้ง โดยปรากฏว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นการขัดแย้งทางความคิดและการกระทำที่รุนแรงไม่มีใครยอมใครแต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาต่อไป ในส่วนของศาลยุติธรรมเป็นคนกลาง มีหน้าที่พิจารณาคดีในระบอบประชาธิปไตย จึงขอให้ทุกฝ่ายวางใจและวางมือว่าศาลยุติธรรมพิจารณาคดีตามอำนาจและตามกฎหมายและอำนวยความยุติธรรมให้กับทุกฝ่ายตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีอคติ ไม่พิพากษาตามกระแส คดีนี้ศาลให้โอกาสคู่ความทั้งสองฝ่ายนำสืบพยานหลักฐานต่อสู้คดีจนเป็นที่พอใจแล้ว หากคำตัดสินของศาลไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายใด ก็ให้ใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์ - ฎีกาตามตามสิทธิทางกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองที่เราพูดถึงกันอยู่ในขณะนี้
**รวยแต่โกงภาษีจำคุก 3 ปี**
จากนั้นศาลอ่านคำพิพากษาความยาว 48 หน้า ใช้เวลาอ่านประมาณ 1ชั่วโมง 45 นาที โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบแล้วข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้อง ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสาม ไม่สามารถหักล้างพยานฝ่ายโจทก์ได้ ดังที่ศาลวินิจฉัยมาแล้วข้างต้น การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการร่วมกันยกข้อที่ไม่เป็นจริงขึ้นมาอ้างเพื่อให้เข้าข้อยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสียภาษี ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 จงใจแจ้งข้อความเท็จหรือให้ถ้อยคำเท็จฯเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีตามฟ้อง
จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำการเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีจำเลยที่ 2 เป็นภริยาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ ซึ่งจำเลยทั้งสามนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย แต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันทำการหลีกเลี่ยงภาษีอันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งที่จำนวนค่าภาษีที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามกฎหมายเทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมายเช่นพลเมืองทุกคนจึงไม่ได้มีผลกระทบต่อฐานะจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามจึงร้ายแรง
พิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลรัษฎากร ม.37 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา ม.83 และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตาม ม.37 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา ม.83 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษฐานร่วมกันโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงฯ หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 ปี ฐานโดยรู้อยู่แล้ว หรือโดยจงใจร่วมกันแจ้งข้อความเท็จฯ หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ให้จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และที่2 คนละ 3 ปี (อ่านคำพิพากษารายละเอียด หน้า 9 )
**ประกันตัวดิ้นสู้ชั้นอุทธรณ์**
ขณะที่นายเมธา ธรรมวิหาร ทนายความนายบรรณพจน์ กล่าวว่า ก็จะต้องยื่นอุทธรณ์คดีต่อไปภายใน 30 วัน แต่คดีนี้มีประเด็นที่ต้องรวบรวมในการยื่นอุทธรณ์จำนวนมาก ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าจะยื่นคำขอขยายเวลาอุทธรณ์
ส่วนอัตราโทษคดีนี้ที่ศาลมีคำพิพากษานั้นถือว่าเป็นอัตราโทษที่สูงเกินไปหรือไม่ นายเมธา ทนายความ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น โดยกล่าวเพียงเราจะไม่วิจารณ์คำพิพากษาของศาล
ขณะที่ญาติ ของจำเลยทั้งสาม ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เป็นสมุดบัญชีเงินฝาก ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด( มหาชน) สำนักรัชโยธิน คนละ 8 ล้านบาท ขอประกันตัว ศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งสาม ระหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาประคนละ 5 ล้านบาท
**ตร.คุมเข้มลิ่วล้อให้กำลังใจ**
สำหรับบรรยากาศในการฟังคำพิพากษา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 08.00 น.กลุ่มผู้สนับสนุนประมาณ 1,000 คน เดินทางมารอให้กำลังใจคุณหญิงพจมานโดยเจ้าหน้าที่ศาลได้นำแผงเหล็กมากั้นไว้เป็นทางยาว ตรงทางเดินหน้าศาลอาญา และจำกัดผู้สนับสนุนให้อยู่บริเวณลานด้านหน้าทางขึ้นศาล พร้อมกับประสานกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากบก.น.2 กองปราบปราม หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด สนธิกำลัง กับรปภ.ศาลรวมกว่า 400 นาย ดูแลความปลอดภัยโดยรอบบริเวณศาลอาญา และได้มีการกันรถยนต์ที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ให้ผ่านเข้า-ออก บริเวณศาล
**"แม้ว-อ้อ"นั่งรถคนละคัน**
ขบวนรถครอบครัวชินวัตร เดินทางมาถึงศาลอาญา เวลา 08.30 น. ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ นางสาวพิณทองทา และนางสาวแพทองธาร บุตรสาว นั่งมาด้วยกันในรถไคร์สเลอร์ สีบรอนเงิน ทะเบียน ภค 1991 กทม. โดยคุณหญิงพจมาน นายพานทองแท้ บุตรชาย นายบรรพจน์ ดามาพงษ์ และนาง กาญนาภา หงษ์เหิน นั่งมาด้วยกันในรถตู้โฟคสีน้ำเงิน โดยวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ สวมเชิ้ตสีขาวและสูทสีดำ เน็กไทด์สีเหลือง ส่วนคุณหญิงพจมาน ใส่ชุดผ้าไหมสีฟ้าอมม่วง ซึ่งเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ก้าวลงจากรถ กลุ่มผู้สนับสนุนได้โห่ร้องด้วยความยินดี ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ได้ยิ้มและโบกมือทักทายก่อนขึ้นไปฟังคำพิพากษาที่ห้องพิจารณาคดี 704 ทันที โดยที่มีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ , นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีต แกนนำ ทรท. ,นายวัฒนา เซ่งไพเราะ ,นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล อดีตรองเลขานุการ ทรท. , น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตโฆษก ทรท. , น.ส.ศันศนีย์ นาคพงษ์ ทีมโฆษกส่วนตัวพ.ต.ท.ทักษิณ , นายการุณ โหสกุล ส.ส.พรรคพลังประชาชน , นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ และทีม รปภ.ชุดเดิมของพ.ต.ท.ทักษิณ เดินประกบอย่างใกล้ชิด
**กลุ่มหนุนก่อเหตุหน้าศาล**
ขณะที่ บรรยากาศบริเวณหน้าศาล ขณะที่มีการอ่านคำพิพากษานั้น ปรากฏว่ามีกลุ่มสตรีประชาธิไตยประมาณ 20 คน ใส่เสื้อสีแดง เดินมาที่บันไดศาลพร้อมกับพยายามกางป้ายผ้า เจ้าหน้าที่ศาลจึงเดินเข้าไปห้ามปราม แล้วสั่งให้เก็บป้ายผ้านั้น จนเกิดการโต้เถียงกันขึ้นกระทั่ง พ.ต.อ.เจริญ ศรีศลักษณ์ รอง ผบก.น.2 ได้เข้าไประงับเหตุและตักเตือนให้กลุ่มดังกล่าวไปยืนอยู่ข้างๆบันไดศาล ขณะเดียวกันกลุ่มสนับสนุนที่อยู่ตรงบริเวณลานจอดรถหน้าศาลได้ชูภาพถ่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เจ้าหน้าที่ศาลจึงสั่งให้เอาภาพลง นอกจากนี้ตำรวจสืบสวนบก.น.2 ได้เข้าตรวจค้นขอดูบัตรประชาชนกลุ่มชายฉกรรจ์ ชุดดำ ประมาณ 20 คน ที่ยืนอยู่บริเวณดังกล่าว ซึ่งผู้สื่อข่าวจดจำได้ว่าเป็นกลุ่มรักษาความปลอดภัยของ แกนนำ นปก.
**"อุ๊งอิ๊ง"เล่นเกมกดในศาล**
ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศภายในห้องพิจารณาคดี ระหว่างที่ศาลอ่านคำพิพากษา พ.ต.ท.ทักษิณ มีสีหน้าเคร่งเครียด ขมวดคิ้วตลอดเวลา ส่วนคุณหญิงพจมาน มีสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่ น.ส.แพรทองธาร หรืออุ๊งอิ๊ง ลูกสาวคนเล็กทำหน้าเมินเฉยไม่สนใจฟังคำพิพากษา อีกทั้งได้หยิบไอพอต นาโน ขึ้นมากดเล่นสลับกับการนั่งกอดอก และส่ายหัวในลักษณะไม่พอใจศาล ส่วนน.ส.พิณทองทา หรือ เอม ลูกสาวคนกลางมีสีหน้าเคร่งเครียดและตั้งใจฟังศาลอ่านคำพิพากษาโดยตลอด แต่เมื่อฟังไปนานๆ ก็หยิบไอพอต นาโน มากดเล่นเช่นกัน ส่วนนายพานทองแท้ หรือโอ๊ค ทำสีหน้าเรียบเฉย
**แม้วเครียดสบตาเมียขมวดคิ้ว**
เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาจนใกล้ถึงสรุป คุณหญิงพจมาน ได้หันไปสบตากับพ.ต.ท.ทักษิณ แล้วหันกลับมาฟังศาลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นมาขยี้ตา 2 ครั้ง ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สบตากับคุณหญิงพจมานแล้วก็ขมวดคิ้วข้างขวาขึ้น ใบหน้าเริ่มซีด กลืนน้ำลาย ถอนหายใจ เอามือมาประสานกันไว้ และบีบมือตัวเองตลอดเวลา จากนั้นเมื่อศาลให้ยืนฟังสรุปคำพิพากษา คุณหญิงพจมานได้ลุกขึ้นยืน เอามือไขว้หลัง สายตาดุดัน ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ สีหน้าวิตกอย่างมาก และกระพริบตาถี่ๆ หลายครั้ง และเมื่อศาลอ่านคำพิพากษาจำคุกจำเลย น.ส.แพรทองธาร หรืออุ๊งอิ๊ง ถึงกับเบ้ปาก และส่ายหัวไปมาหลายรอบ
**เดินคอตกลงบันไดศาล**
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาจำคุกคุณหญิงพจมาน ประชาชนที่มาให้กำลังใจบางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร้องไห้ออกมา และทำท่าฮึดฮัดแสดงความไม่เห็นด้วยกับผลคำพิพากษา ส่วนคนที่เตรียมดอกไม้มาให้กำลังใจก็ต้องเอาไปเก็บ ทั้งนี้ขณะเดินทางลงจากศาลอาญาพร้อมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และลูกทั้งสาม คุณหญิงพจมานสวมแว่นตาดำ และเดินก้าวลงอย่างช้าๆ ก่อนจะมาหยุดตรงกลางบันไดศาล แล้วยกมือไหว้ ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณ ก็กระพริบตาถี่ๆ เหมือนจะร้องไห้ แล้วกลืนน้ำลายไว้เหมือนอัดอั้นตันใจ เมื่อกลุ่มผู้สนับสนุนเห็นภาพดังกล่าว ก็ปรบมือให้กำลังใจลั่นศาล อย่างไรก็ดี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ได้ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ กับสื่อมวลชน รีบเดินขึ้นรถทันที ส่วนประชาชนที่มาให้กำลังใจหลังจากที่ผิดหวังแล้วก็เดินไปขึ้นรถบัสที่มาจอดรออยู่หน้าศาลประมาณ 10 คัน รถสองแถวใหญ่อีก 1 คันกลับออกไปเช่นกัน
**ยันทักษิณกลับมาสู้คดี**
จากนั้นนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังฟังศาลอ่านคำพิพากษาว่า ทีมทนายความจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาภายใน 30 วัน ตามกฎหมาย ซึ่งจะต่อสู้ในประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยใช้ทีมทนายความชุดเดิม และหลังจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปบรรยายที่เมืองฟูโกโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลา 2 วัน โดยมีกำหนดเดินทางวันที่ 31 ก.ค. หลังจากนั้นจะเดินทางไปร่วมในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิก ที่ประเทศจีนต่อไป ส่วนการเดินทางไปอังกฤษเพื่อไปดูแลสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ ในฐานะประธานสโมสรช่วงฟุตบอลพรีเมียร์ ชิพ เปิดฤดูกาลหรือไม่นั้น จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ภายหลังถูกศาลตัดสินจำคุก 3 ปี กำลังใจคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็นอย่างไรบ้าง นายพงศ์เทพกล่าวว่า หลังจากที่ศาลอ่านคำพิพากษาแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปจับมือคุณหญิงพจมาน โดยช่วงนั้นไม่ได้มีการพูดจาอะไร เป็นความรู้สึกของคนเกี่ยวข้องกัน ส่วนคดีอื่นๆ ของพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน นั้น ทีมทนายความก็จะดูแลรับผิดชอบเป็นรายคดีไป พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งใจที่จะกลับมาต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม และเมื่อศาลมีหมายเรียกให้ไปรายงานตัว ก็จะเดินทางไปให้การอย่างแน่นอน
**คตส.ชี้หลักฐานชัดไม่หวั่นอุทธรณ์
"สิ่งที่เกิดขึ้นคือผลการทำงานชิ้นสำคัญของ คตส.และเป็นการชี้ให้เห็นว่าการดำเนินการตรวจสอบของ คตส.มาถูกทางแล้ว ที่สามารถชี้ให้ศาลได้เห็นพฤติกรรมอำพรางในการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีของกระกูลชินวัตร ซึ่งจะนำไปสู่การขยายผลถึงคดีอื่นๆ ได้" นายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ อดีต คตส.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบและไต่สวนกรณีการเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้นบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์แอนด์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 564 ล้านบาท กล่าวหลังทราบผลการพิพากษาของศาลอาญา
นายวิโรจน์กล่าวว่า คดีนี้ คตส.ทำงานอย่างเต็มที่ซึ่งเป็นไปตามพยานหลักฐาน ข้อมูลตัวเลขของการโอนหุ้นดังกล่าว ซึ่ง มีพยานหลักฐานชัดเจนและแน่นหนาว่าผิดตามมาตรา 37 ทวิของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผลจึงออกมาตามที่ศาลพิพากษา แต่เขาก็ยังมีสิทธิที่จะขออุทธรณ์สู้คดีได้อีก ส่วนจะสู้ถึงชั้นฎีกาหรือต้องใช้เวลายาวนานหรือไม่นั้นก็ถือเป็นดุลยพินิจของศาลท่าน
"ผลกระทบต่อจากนี้คือทางกรมสรรพากรต้องเร่งรีบในการจัดเก็บภาษีในส่วนนี้ทันทีหลังจากที่ศาลมีคำสั่ง เพราะถือว่าผิดกฎหมายมาตราดังกล่าวชัดเจน นอกจากนี้ยังมีคดีที่ คตส.ได้ส่งฟ้องต่อศาลอาญากรณีที่ข้าราชการกรมสรรพากรได้ตอบจดหมายไปถึงผู้เกี่ยวข้องว่าไม่ต้องชำระภาษี ทั้งที่มีกฎหมายระบุไว้ชัดเจนในการโอนหุ้น โดยคดีนี้ผมได้รับหมายศาลกำหนดให้ไปเป็นพยานในชั้นศาลแล้วช่วงต้นเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้"
นายสัก กอแสงเรือง อดีตโฆษก คตส. กล่าวว่า การทำงานของคตส. ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว และคดีนี้ คตส.ทำงานอย่างเต็มที่ มีพยานหลักฐานชัดเจน และแน่นหนา จนนำไปสู่กระบวนการยุติธรรม และมีคำพิพากษาดังกล่าว ส่วนการยื่นอุทธรณ์ของจำเลยทั้ง 3 นั้น ก็เป็นสิทธิของผู้ตกเป็นจำเลยที่สามารถทำได้ ส่วนจะนำประเด็นใดมาหักล้าง ยังไม่สามารถทราบได้ แต่เชื่อว่าสำนวนคดีนี้มีหลักฐานและพยานชัดเจนแน่นหนามาก
***ข่าวดี! อสส.จ่อฟ้องเพิ่ม 3 คดี
ที่สำนักงานคณะกรรมการปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ถึงความคืบหน้าคดีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่ำรวยผิดปกติ 7.6 หมื่นล้านบาท จากการใช้อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี เอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจครอบครัวชินวัตร ว่า เรื่องนี้ได้ตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่าง ป.ป.ช.กับอัยการ ซึ่งที่ประชุมร่วมได้ประชุมเพื่อรับรองมติไปเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา และได้มีมติร่วมกันว่าให้อัยการเป็นผู้ยื่นคำร้องเพื่อส่งฟ้องดำเนินคดีในคดีดังกล่าวแล้ว และนอกจากคดีข้างต้นแล้ว นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ขณะนี้อัยการสูงสุด เตรียมส่งฟ้องตระกูลชินวัตรและพวก อีก 3 คดี คือ คดีทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 คดีปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย และคดีบ้านเอื้ออาทร โดยยืนยันว่า การทำงานของอัยการสูงสุดขณะนี้ สามารถประสานงานลดปัญหาและอุปสรรคได้ดีขึ้น นับแต่ คตส.โอนคดีไปให้ ป.ป.ช..
วานนี้ (31 ก.ค.) เวลา 09.00 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลโดยนายปราโมทย์ พิพัทธ์ปราโมทย์ พร้อมองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดี”เลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ” คดีหมายเลขดำที่ อ.1149/2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ อายุ 59 ปี อดีตประธานกรรมการบริหารชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร อายุ 51 ปี ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน อายุ 51 ปี เลขานุการส่วนตัว เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร และ โดยรู้อยู่แล้ว หรือโดยจงใจ ร่วมกันแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้นบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่าหุ้น 738 ล้านบาท และภาษีที่หลีกเลี่ยงจำนวน 546 ล้านบาท อันเป็นความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1) (2) และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และ 91
**ศาลยันให้ความยุติธรรมทุกฝ่าย**
โดยก่อนอ่านคำพิพากษา ศาลได้สอบถามคุณหญิงพจมาน ว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 (คดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาภิเษก)ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อหรือไม่ คุณหญิงพจมาน ตอบรับว่าใช่ จากนั้นองค์คณะผู้พิพากษาได้กล่าวชี้แจงต่อจำเลยทั้งสาม และผู้เข้าร่วมฟังคำพิพากษาว่า เป็นที่รู้กันว่าขณะนี้ประชาชนบางส่วนแบ่งเป็นฝักฝ่ายซึ่งเป็นปัญหาทางการเมืองอย่างชัดแจ้ง โดยปรากฏว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นการขัดแย้งทางความคิดและการกระทำที่รุนแรงไม่มีใครยอมใครแต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาต่อไป ในส่วนของศาลยุติธรรมเป็นคนกลาง มีหน้าที่พิจารณาคดีในระบอบประชาธิปไตย จึงขอให้ทุกฝ่ายวางใจและวางมือว่าศาลยุติธรรมพิจารณาคดีตามอำนาจและตามกฎหมายและอำนวยความยุติธรรมให้กับทุกฝ่ายตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีอคติ ไม่พิพากษาตามกระแส คดีนี้ศาลให้โอกาสคู่ความทั้งสองฝ่ายนำสืบพยานหลักฐานต่อสู้คดีจนเป็นที่พอใจแล้ว หากคำตัดสินของศาลไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายใด ก็ให้ใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์ - ฎีกาตามตามสิทธิทางกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองที่เราพูดถึงกันอยู่ในขณะนี้
**รวยแต่โกงภาษีจำคุก 3 ปี**
จากนั้นศาลอ่านคำพิพากษาความยาว 48 หน้า ใช้เวลาอ่านประมาณ 1ชั่วโมง 45 นาที โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบแล้วข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้อง ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสาม ไม่สามารถหักล้างพยานฝ่ายโจทก์ได้ ดังที่ศาลวินิจฉัยมาแล้วข้างต้น การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการร่วมกันยกข้อที่ไม่เป็นจริงขึ้นมาอ้างเพื่อให้เข้าข้อยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสียภาษี ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 จงใจแจ้งข้อความเท็จหรือให้ถ้อยคำเท็จฯเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีตามฟ้อง
จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำการเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีจำเลยที่ 2 เป็นภริยาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ ซึ่งจำเลยทั้งสามนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย แต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันทำการหลีกเลี่ยงภาษีอันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งที่จำนวนค่าภาษีที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามกฎหมายเทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมายเช่นพลเมืองทุกคนจึงไม่ได้มีผลกระทบต่อฐานะจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามจึงร้ายแรง
พิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลรัษฎากร ม.37 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา ม.83 และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตาม ม.37 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา ม.83 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษฐานร่วมกันโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงฯ หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 ปี ฐานโดยรู้อยู่แล้ว หรือโดยจงใจร่วมกันแจ้งข้อความเท็จฯ หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ให้จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และที่2 คนละ 3 ปี (อ่านคำพิพากษารายละเอียด หน้า 9 )
**ประกันตัวดิ้นสู้ชั้นอุทธรณ์**
ขณะที่นายเมธา ธรรมวิหาร ทนายความนายบรรณพจน์ กล่าวว่า ก็จะต้องยื่นอุทธรณ์คดีต่อไปภายใน 30 วัน แต่คดีนี้มีประเด็นที่ต้องรวบรวมในการยื่นอุทธรณ์จำนวนมาก ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าจะยื่นคำขอขยายเวลาอุทธรณ์
ส่วนอัตราโทษคดีนี้ที่ศาลมีคำพิพากษานั้นถือว่าเป็นอัตราโทษที่สูงเกินไปหรือไม่ นายเมธา ทนายความ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น โดยกล่าวเพียงเราจะไม่วิจารณ์คำพิพากษาของศาล
ขณะที่ญาติ ของจำเลยทั้งสาม ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เป็นสมุดบัญชีเงินฝาก ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด( มหาชน) สำนักรัชโยธิน คนละ 8 ล้านบาท ขอประกันตัว ศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งสาม ระหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาประคนละ 5 ล้านบาท
**ตร.คุมเข้มลิ่วล้อให้กำลังใจ**
สำหรับบรรยากาศในการฟังคำพิพากษา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 08.00 น.กลุ่มผู้สนับสนุนประมาณ 1,000 คน เดินทางมารอให้กำลังใจคุณหญิงพจมานโดยเจ้าหน้าที่ศาลได้นำแผงเหล็กมากั้นไว้เป็นทางยาว ตรงทางเดินหน้าศาลอาญา และจำกัดผู้สนับสนุนให้อยู่บริเวณลานด้านหน้าทางขึ้นศาล พร้อมกับประสานกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากบก.น.2 กองปราบปราม หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด สนธิกำลัง กับรปภ.ศาลรวมกว่า 400 นาย ดูแลความปลอดภัยโดยรอบบริเวณศาลอาญา และได้มีการกันรถยนต์ที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ให้ผ่านเข้า-ออก บริเวณศาล
**"แม้ว-อ้อ"นั่งรถคนละคัน**
ขบวนรถครอบครัวชินวัตร เดินทางมาถึงศาลอาญา เวลา 08.30 น. ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ นางสาวพิณทองทา และนางสาวแพทองธาร บุตรสาว นั่งมาด้วยกันในรถไคร์สเลอร์ สีบรอนเงิน ทะเบียน ภค 1991 กทม. โดยคุณหญิงพจมาน นายพานทองแท้ บุตรชาย นายบรรพจน์ ดามาพงษ์ และนาง กาญนาภา หงษ์เหิน นั่งมาด้วยกันในรถตู้โฟคสีน้ำเงิน โดยวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ สวมเชิ้ตสีขาวและสูทสีดำ เน็กไทด์สีเหลือง ส่วนคุณหญิงพจมาน ใส่ชุดผ้าไหมสีฟ้าอมม่วง ซึ่งเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ก้าวลงจากรถ กลุ่มผู้สนับสนุนได้โห่ร้องด้วยความยินดี ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ได้ยิ้มและโบกมือทักทายก่อนขึ้นไปฟังคำพิพากษาที่ห้องพิจารณาคดี 704 ทันที โดยที่มีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ , นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีต แกนนำ ทรท. ,นายวัฒนา เซ่งไพเราะ ,นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล อดีตรองเลขานุการ ทรท. , น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตโฆษก ทรท. , น.ส.ศันศนีย์ นาคพงษ์ ทีมโฆษกส่วนตัวพ.ต.ท.ทักษิณ , นายการุณ โหสกุล ส.ส.พรรคพลังประชาชน , นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ และทีม รปภ.ชุดเดิมของพ.ต.ท.ทักษิณ เดินประกบอย่างใกล้ชิด
**กลุ่มหนุนก่อเหตุหน้าศาล**
ขณะที่ บรรยากาศบริเวณหน้าศาล ขณะที่มีการอ่านคำพิพากษานั้น ปรากฏว่ามีกลุ่มสตรีประชาธิไตยประมาณ 20 คน ใส่เสื้อสีแดง เดินมาที่บันไดศาลพร้อมกับพยายามกางป้ายผ้า เจ้าหน้าที่ศาลจึงเดินเข้าไปห้ามปราม แล้วสั่งให้เก็บป้ายผ้านั้น จนเกิดการโต้เถียงกันขึ้นกระทั่ง พ.ต.อ.เจริญ ศรีศลักษณ์ รอง ผบก.น.2 ได้เข้าไประงับเหตุและตักเตือนให้กลุ่มดังกล่าวไปยืนอยู่ข้างๆบันไดศาล ขณะเดียวกันกลุ่มสนับสนุนที่อยู่ตรงบริเวณลานจอดรถหน้าศาลได้ชูภาพถ่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เจ้าหน้าที่ศาลจึงสั่งให้เอาภาพลง นอกจากนี้ตำรวจสืบสวนบก.น.2 ได้เข้าตรวจค้นขอดูบัตรประชาชนกลุ่มชายฉกรรจ์ ชุดดำ ประมาณ 20 คน ที่ยืนอยู่บริเวณดังกล่าว ซึ่งผู้สื่อข่าวจดจำได้ว่าเป็นกลุ่มรักษาความปลอดภัยของ แกนนำ นปก.
**"อุ๊งอิ๊ง"เล่นเกมกดในศาล**
ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศภายในห้องพิจารณาคดี ระหว่างที่ศาลอ่านคำพิพากษา พ.ต.ท.ทักษิณ มีสีหน้าเคร่งเครียด ขมวดคิ้วตลอดเวลา ส่วนคุณหญิงพจมาน มีสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่ น.ส.แพรทองธาร หรืออุ๊งอิ๊ง ลูกสาวคนเล็กทำหน้าเมินเฉยไม่สนใจฟังคำพิพากษา อีกทั้งได้หยิบไอพอต นาโน ขึ้นมากดเล่นสลับกับการนั่งกอดอก และส่ายหัวในลักษณะไม่พอใจศาล ส่วนน.ส.พิณทองทา หรือ เอม ลูกสาวคนกลางมีสีหน้าเคร่งเครียดและตั้งใจฟังศาลอ่านคำพิพากษาโดยตลอด แต่เมื่อฟังไปนานๆ ก็หยิบไอพอต นาโน มากดเล่นเช่นกัน ส่วนนายพานทองแท้ หรือโอ๊ค ทำสีหน้าเรียบเฉย
**แม้วเครียดสบตาเมียขมวดคิ้ว**
เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาจนใกล้ถึงสรุป คุณหญิงพจมาน ได้หันไปสบตากับพ.ต.ท.ทักษิณ แล้วหันกลับมาฟังศาลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นมาขยี้ตา 2 ครั้ง ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สบตากับคุณหญิงพจมานแล้วก็ขมวดคิ้วข้างขวาขึ้น ใบหน้าเริ่มซีด กลืนน้ำลาย ถอนหายใจ เอามือมาประสานกันไว้ และบีบมือตัวเองตลอดเวลา จากนั้นเมื่อศาลให้ยืนฟังสรุปคำพิพากษา คุณหญิงพจมานได้ลุกขึ้นยืน เอามือไขว้หลัง สายตาดุดัน ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ สีหน้าวิตกอย่างมาก และกระพริบตาถี่ๆ หลายครั้ง และเมื่อศาลอ่านคำพิพากษาจำคุกจำเลย น.ส.แพรทองธาร หรืออุ๊งอิ๊ง ถึงกับเบ้ปาก และส่ายหัวไปมาหลายรอบ
**เดินคอตกลงบันไดศาล**
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาจำคุกคุณหญิงพจมาน ประชาชนที่มาให้กำลังใจบางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร้องไห้ออกมา และทำท่าฮึดฮัดแสดงความไม่เห็นด้วยกับผลคำพิพากษา ส่วนคนที่เตรียมดอกไม้มาให้กำลังใจก็ต้องเอาไปเก็บ ทั้งนี้ขณะเดินทางลงจากศาลอาญาพร้อมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และลูกทั้งสาม คุณหญิงพจมานสวมแว่นตาดำ และเดินก้าวลงอย่างช้าๆ ก่อนจะมาหยุดตรงกลางบันไดศาล แล้วยกมือไหว้ ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณ ก็กระพริบตาถี่ๆ เหมือนจะร้องไห้ แล้วกลืนน้ำลายไว้เหมือนอัดอั้นตันใจ เมื่อกลุ่มผู้สนับสนุนเห็นภาพดังกล่าว ก็ปรบมือให้กำลังใจลั่นศาล อย่างไรก็ดี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ได้ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ กับสื่อมวลชน รีบเดินขึ้นรถทันที ส่วนประชาชนที่มาให้กำลังใจหลังจากที่ผิดหวังแล้วก็เดินไปขึ้นรถบัสที่มาจอดรออยู่หน้าศาลประมาณ 10 คัน รถสองแถวใหญ่อีก 1 คันกลับออกไปเช่นกัน
**ยันทักษิณกลับมาสู้คดี**
จากนั้นนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังฟังศาลอ่านคำพิพากษาว่า ทีมทนายความจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาภายใน 30 วัน ตามกฎหมาย ซึ่งจะต่อสู้ในประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยใช้ทีมทนายความชุดเดิม และหลังจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปบรรยายที่เมืองฟูโกโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลา 2 วัน โดยมีกำหนดเดินทางวันที่ 31 ก.ค. หลังจากนั้นจะเดินทางไปร่วมในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิก ที่ประเทศจีนต่อไป ส่วนการเดินทางไปอังกฤษเพื่อไปดูแลสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ ในฐานะประธานสโมสรช่วงฟุตบอลพรีเมียร์ ชิพ เปิดฤดูกาลหรือไม่นั้น จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ภายหลังถูกศาลตัดสินจำคุก 3 ปี กำลังใจคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็นอย่างไรบ้าง นายพงศ์เทพกล่าวว่า หลังจากที่ศาลอ่านคำพิพากษาแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปจับมือคุณหญิงพจมาน โดยช่วงนั้นไม่ได้มีการพูดจาอะไร เป็นความรู้สึกของคนเกี่ยวข้องกัน ส่วนคดีอื่นๆ ของพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน นั้น ทีมทนายความก็จะดูแลรับผิดชอบเป็นรายคดีไป พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งใจที่จะกลับมาต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม และเมื่อศาลมีหมายเรียกให้ไปรายงานตัว ก็จะเดินทางไปให้การอย่างแน่นอน
**คตส.ชี้หลักฐานชัดไม่หวั่นอุทธรณ์
"สิ่งที่เกิดขึ้นคือผลการทำงานชิ้นสำคัญของ คตส.และเป็นการชี้ให้เห็นว่าการดำเนินการตรวจสอบของ คตส.มาถูกทางแล้ว ที่สามารถชี้ให้ศาลได้เห็นพฤติกรรมอำพรางในการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีของกระกูลชินวัตร ซึ่งจะนำไปสู่การขยายผลถึงคดีอื่นๆ ได้" นายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ อดีต คตส.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบและไต่สวนกรณีการเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้นบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์แอนด์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 564 ล้านบาท กล่าวหลังทราบผลการพิพากษาของศาลอาญา
นายวิโรจน์กล่าวว่า คดีนี้ คตส.ทำงานอย่างเต็มที่ซึ่งเป็นไปตามพยานหลักฐาน ข้อมูลตัวเลขของการโอนหุ้นดังกล่าว ซึ่ง มีพยานหลักฐานชัดเจนและแน่นหนาว่าผิดตามมาตรา 37 ทวิของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผลจึงออกมาตามที่ศาลพิพากษา แต่เขาก็ยังมีสิทธิที่จะขออุทธรณ์สู้คดีได้อีก ส่วนจะสู้ถึงชั้นฎีกาหรือต้องใช้เวลายาวนานหรือไม่นั้นก็ถือเป็นดุลยพินิจของศาลท่าน
"ผลกระทบต่อจากนี้คือทางกรมสรรพากรต้องเร่งรีบในการจัดเก็บภาษีในส่วนนี้ทันทีหลังจากที่ศาลมีคำสั่ง เพราะถือว่าผิดกฎหมายมาตราดังกล่าวชัดเจน นอกจากนี้ยังมีคดีที่ คตส.ได้ส่งฟ้องต่อศาลอาญากรณีที่ข้าราชการกรมสรรพากรได้ตอบจดหมายไปถึงผู้เกี่ยวข้องว่าไม่ต้องชำระภาษี ทั้งที่มีกฎหมายระบุไว้ชัดเจนในการโอนหุ้น โดยคดีนี้ผมได้รับหมายศาลกำหนดให้ไปเป็นพยานในชั้นศาลแล้วช่วงต้นเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้"
นายสัก กอแสงเรือง อดีตโฆษก คตส. กล่าวว่า การทำงานของคตส. ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว และคดีนี้ คตส.ทำงานอย่างเต็มที่ มีพยานหลักฐานชัดเจน และแน่นหนา จนนำไปสู่กระบวนการยุติธรรม และมีคำพิพากษาดังกล่าว ส่วนการยื่นอุทธรณ์ของจำเลยทั้ง 3 นั้น ก็เป็นสิทธิของผู้ตกเป็นจำเลยที่สามารถทำได้ ส่วนจะนำประเด็นใดมาหักล้าง ยังไม่สามารถทราบได้ แต่เชื่อว่าสำนวนคดีนี้มีหลักฐานและพยานชัดเจนแน่นหนามาก
***ข่าวดี! อสส.จ่อฟ้องเพิ่ม 3 คดี
ที่สำนักงานคณะกรรมการปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ถึงความคืบหน้าคดีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่ำรวยผิดปกติ 7.6 หมื่นล้านบาท จากการใช้อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี เอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจครอบครัวชินวัตร ว่า เรื่องนี้ได้ตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่าง ป.ป.ช.กับอัยการ ซึ่งที่ประชุมร่วมได้ประชุมเพื่อรับรองมติไปเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา และได้มีมติร่วมกันว่าให้อัยการเป็นผู้ยื่นคำร้องเพื่อส่งฟ้องดำเนินคดีในคดีดังกล่าวแล้ว และนอกจากคดีข้างต้นแล้ว นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ขณะนี้อัยการสูงสุด เตรียมส่งฟ้องตระกูลชินวัตรและพวก อีก 3 คดี คือ คดีทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 คดีปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย และคดีบ้านเอื้ออาทร โดยยืนยันว่า การทำงานของอัยการสูงสุดขณะนี้ สามารถประสานงานลดปัญหาและอุปสรรคได้ดีขึ้น นับแต่ คตส.โอนคดีไปให้ ป.ป.ช..