“หญิงอ้อ” ส่งทนายยื่นอุทธรณ์ คดีจงใจเลี่ยงภาษี บริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่า 546 ล้านบาท ปั้น 10 ประเด็นสู้ ยันไม่ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ขอศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง
วานนี้(21 พ.ย.)นายวีรภัทร ศรีไชยา ทนายความคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยคดีจงใจชำระเลี่ยงภาษี บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่า 546 ล้านบาท ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 ก.ค.51 ให้จำคุกเป็นเวลา 3 ปี กล่าวถึง การยื่นอุทธรณ์คดีว่า ทนายความของนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริหารบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 1-3 ได้ยื่นคำอุทธรณ์ส่งต่อศาลชั้นต้นแล้ว และศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ไว้เพื่อเสนอศาลอุทธรณ์แล้ว โดยเมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา ตนได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ศาลว่า อัยการโจทก์ได้ทำแก้อุทธรณ์ส่งต่อศาลแล้ว ให้ทนายความจำเลยมารับคำแก้อุทธรณ์
อย่างไรก็ดี หลังจากนี้ศาลชั้นต้นจะรวบรวมสำนวนคดี คำอุทธรณ์จำเลย และคำแก้อุทธรณ์อัยการโจทก์ เสนอศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาและมีคำพิพากษาต่อไป โดยไม่ทราบว่าการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จะใช้เวลานานเท่าใด แต่หากศาลอุทธรณ์พิจารณาสำนวนเสร็จสิ้น และมีคำพิพากษาแล้วจะส่งคำพิพากษาอุทธรณ์มาให้ศาลชั้นต้นพร้อมแจ้งหมายให้คู่ความทราบเพื่อฟังคำพิพากษาอุทธรณ์ต่อไป
ทั้งนี้ นายวีรภัทร ทนายความปฏิเสธที่จะกล่าวถึงรายละเอียดคำอุทธรณ์ โดยกล่าวเพียงว่าจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ทุกประเด็น เหมือนที่ต่อสู้คดีในศาลชั้นต้น ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงกว่า 10 ประเด็น ซึ่งคำอุทธรณ์ที่ยื่นมีรายละเอียดกว่า 130 หน้า โดยจำเลยทั้งสามยืนยันว่า ไม่ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง จึงขอให้ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีแล้ว เมื่อจะครบอุทธรณ์คดี 30 วัน ทนายความจำเลยได้ยื่นคำขอขยายเวลาอุทธรณ์ ซึ่งทนายจำเลยทั้งสาม ได้ยื่นคำอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา และศาลมีคำสั่งรับอุทธรณ์จำเลยไว้ และสำเนาคำอุทธรณ์ให้อัยการโจทก์เพื่อยื่นคำแก้อุทธรณ์ภายในวัน 15 วัน โดยอัยการโจทก์ ยื่นคำแก้อุทธรณ์ต่อศาลเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนจะครบกำหนดยื่นแก้อุทธรณ์ในวันที่ 18 พ.ย.นี้ และขณะนี้ศาลชั้นต้นเตรียมรวบรวมสำนวนส่งศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาต่อไป
สำหรับคดีนี้ ศาลอาญามีคำพิพากษาว่า นายบรรณพจน์ อดีตประธานกรรมการบริหาร บมจ.ชินคอร์ป พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน, คุณหญิงพจมาน และนางกาญจนาภา เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 1-3 ได้กระทำความผิดตามฟ้อง โดยคำพิพากษาของศาล ได้ระบุชัดว่า จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร จำเลยที่ 2 เป็นภริยาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ จำเลยทั้งสามจึงนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจ และสังคมด้วย แต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันกระทำการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งๆ ที่จำนวนภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ชำระแทนในที่สุดนั้น เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น
การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมายเช่นพลเมืองดีทุกคน จึงมิได้มีผลกระทำต่อฐานะของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสาม จึงร้ายแรง
พิพากษาว่า จำเลยทั้งสาม มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 38 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานร่วมกันโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 ปี ฐานโดยรู้อยู่แล้วหรือโดยจงใจ ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 3 ปี สำหรับคำขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษที่จำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2551 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ไม่ปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลมีคำพิพากษาแล้วหรือไม่อย่างไร จึงไม่อาจนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อตามที่ขอได้ ให้ยกคำขอส่วนนี้
โดยคดีนี้จำเลยทั้งสาม ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เป็นสมุดบัญชีเงินฝาก ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน คนละ 8 ล้านบาท ขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ ซึ่งศาลชั้นต้น อนุญาตให้ประกันตัวจำเลยทั้งสามโดยตีราคาประกันคนละ 5 ล้านบาท
วานนี้(21 พ.ย.)นายวีรภัทร ศรีไชยา ทนายความคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยคดีจงใจชำระเลี่ยงภาษี บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่า 546 ล้านบาท ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 ก.ค.51 ให้จำคุกเป็นเวลา 3 ปี กล่าวถึง การยื่นอุทธรณ์คดีว่า ทนายความของนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริหารบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 1-3 ได้ยื่นคำอุทธรณ์ส่งต่อศาลชั้นต้นแล้ว และศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ไว้เพื่อเสนอศาลอุทธรณ์แล้ว โดยเมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา ตนได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ศาลว่า อัยการโจทก์ได้ทำแก้อุทธรณ์ส่งต่อศาลแล้ว ให้ทนายความจำเลยมารับคำแก้อุทธรณ์
อย่างไรก็ดี หลังจากนี้ศาลชั้นต้นจะรวบรวมสำนวนคดี คำอุทธรณ์จำเลย และคำแก้อุทธรณ์อัยการโจทก์ เสนอศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาและมีคำพิพากษาต่อไป โดยไม่ทราบว่าการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จะใช้เวลานานเท่าใด แต่หากศาลอุทธรณ์พิจารณาสำนวนเสร็จสิ้น และมีคำพิพากษาแล้วจะส่งคำพิพากษาอุทธรณ์มาให้ศาลชั้นต้นพร้อมแจ้งหมายให้คู่ความทราบเพื่อฟังคำพิพากษาอุทธรณ์ต่อไป
ทั้งนี้ นายวีรภัทร ทนายความปฏิเสธที่จะกล่าวถึงรายละเอียดคำอุทธรณ์ โดยกล่าวเพียงว่าจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ทุกประเด็น เหมือนที่ต่อสู้คดีในศาลชั้นต้น ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงกว่า 10 ประเด็น ซึ่งคำอุทธรณ์ที่ยื่นมีรายละเอียดกว่า 130 หน้า โดยจำเลยทั้งสามยืนยันว่า ไม่ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง จึงขอให้ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีแล้ว เมื่อจะครบอุทธรณ์คดี 30 วัน ทนายความจำเลยได้ยื่นคำขอขยายเวลาอุทธรณ์ ซึ่งทนายจำเลยทั้งสาม ได้ยื่นคำอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา และศาลมีคำสั่งรับอุทธรณ์จำเลยไว้ และสำเนาคำอุทธรณ์ให้อัยการโจทก์เพื่อยื่นคำแก้อุทธรณ์ภายในวัน 15 วัน โดยอัยการโจทก์ ยื่นคำแก้อุทธรณ์ต่อศาลเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนจะครบกำหนดยื่นแก้อุทธรณ์ในวันที่ 18 พ.ย.นี้ และขณะนี้ศาลชั้นต้นเตรียมรวบรวมสำนวนส่งศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาต่อไป
สำหรับคดีนี้ ศาลอาญามีคำพิพากษาว่า นายบรรณพจน์ อดีตประธานกรรมการบริหาร บมจ.ชินคอร์ป พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน, คุณหญิงพจมาน และนางกาญจนาภา เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 1-3 ได้กระทำความผิดตามฟ้อง โดยคำพิพากษาของศาล ได้ระบุชัดว่า จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร จำเลยที่ 2 เป็นภริยาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ จำเลยทั้งสามจึงนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจ และสังคมด้วย แต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันกระทำการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งๆ ที่จำนวนภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ชำระแทนในที่สุดนั้น เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น
การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมายเช่นพลเมืองดีทุกคน จึงมิได้มีผลกระทำต่อฐานะของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสาม จึงร้ายแรง
พิพากษาว่า จำเลยทั้งสาม มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 38 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานร่วมกันโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 ปี ฐานโดยรู้อยู่แล้วหรือโดยจงใจ ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 3 ปี สำหรับคำขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษที่จำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2551 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ไม่ปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลมีคำพิพากษาแล้วหรือไม่อย่างไร จึงไม่อาจนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อตามที่ขอได้ ให้ยกคำขอส่วนนี้
โดยคดีนี้จำเลยทั้งสาม ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เป็นสมุดบัญชีเงินฝาก ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน คนละ 8 ล้านบาท ขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ ซึ่งศาลชั้นต้น อนุญาตให้ประกันตัวจำเลยทั้งสามโดยตีราคาประกันคนละ 5 ล้านบาท