ศาลอนุญาต "แม้ว-อ้อ" บินถลาไปญี่ปุ่น-จีนได้ 10 วันระหวาง 31 ก.ค.-10 ส.ค.นี้ก่อนเข้ารายงานตัว 11 ส.ค.ส่วนอังกฤษให้ขออีกครั้ง ขณะที่การสืบโจทก์นัดสุดท้ายคดีที่ดินรัชดา อัยการนำ "นอมินีพจมาน" - "อดีตผู้ว่าการ ธปท." และ "คตส." เบิกความ โดยที่"อุดม เฟื่องฟุ้ง" ให้การมัด"ทักษิณ-หญิงอ้อ" ยันผิดมาตรา 100 ศาลนัดสืบพยานจำเลยอีกครั้ง 1 ส.ค.นี้
วานนี้ (29 ก.ค.) เวลา 09.30 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโสเจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานโจทก์ครั้งสุดท้าย ในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก มูลค่า 772 ล้านบาท ตาม ป.อาญา และ พ.ร.บ.ว่า ด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542
โดยอัยการโจทก์นำพยานเข้าไต่สวนรวม 3 ปาก ประกอบด้วยนายสมบูรณ์ คุปติมนัส ผู้รับมอบอำนาจจากคุณพจมาน จำเลยที่ 2 ในการทำสัญญาซื้อขายที่ดินที่พิพาทคดีนี้ ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต รมว.คลัง และนายอุดม เฟื่องฟุ้ง ประธานอนุกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ คดีทุจริตที่ดินรัชดา
"นอมินีพจมาน" ให้การช่วย
นายสมบูรณ์ เบิกความสรุปว่า ในการซื้อที่ดินได้มีการตรวจสอบพื้นที่ในการประมูลขายจากเว็บไซต์ของกองทุนฟื้นฟูกิจการและพัฒนาระบบสถาบันการเงินและเอกสารที่ได้มาจากการซื้อซองประมูล ซึ่งพยานได้นำข้อมูลเสนอคุณหญิงพจมาน เพื่อเป็นแนวทางว่าหากจะเข้าประมูลซื้อขายจะที่ดินจะได้เนื้อที่จำนวนเท่าใด โดยทราบว่าในการประมูลขายที่ดินครั้งที่ 2 มีเนื้อที่ลดลงเหลือ 33 ไร่เศษ
จากการประมูลขายครั้งแรกมีเนื้อที่ 35 ไร่เศษ เพราะตัดส่วนที่เป็นถนนและลำรางสาธารณะออกไปเกือบ 2 ไร่ ซึ่งพยานได้สอบถามเจ้าหน้าที่กองทุนฯว่าเหตุใดจำนวนเนื้อที่ของที่ดินไม่เท่ากัน ซึ่งกองทุนแจ้งให้ทราบว่ามีเนื้อที่ถนนเทียนร่วมมิตรและลำรางสาธารณะรวมอยู่ด้วย แต่พยานไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องโฉนดและการออกเลขโฉนดว่าได้มีการทำเสร็จไว้ล่วงหน้าก่อนหรือไม่
"แม้ว"แสดงบัตรนายกรับรอง
นายสมบูรณ์ เบิกความต่อว่า ในวันที่มีการซื้อซองเสนอราคา พยานในฐานะผู้รับมอบอำนาจไม่ได้แจ้งกับทีมอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนว่า พยานดำเนินการประมูลซื้อขายที่ดินแทนคุณหญิงพจมาน โดยระบุเพียงว่าพยานซื้อในนามบุคคลอื่น แต่วันที่ซื้อได้มีหนังสือรับมอบอำนาจจากคุณหญิงมายื่นแสดง โดยในวันดังกล่าวยังไม่มีหนังสือยินยอมจาก พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สมรส โดยพยานได้รับหนังสือยินยอมจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนวันที่มีการลงนามทำหนังสือสัญญาซื้อขายในวันที่ 30 ธ.ค.2546 ซึ่งพยานได้ติดต่อขอหนังสือยินยอมจากจำเลยที่ 1 ผ่านทางเลขานุการ ซึ่งเข้าใจว่าเลขานุการน่าได้ให้เอกสารราชการซึ่งเป็นบัตรประจำตัวข้าราชการ ซึ่งดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาด้วย
โดยในการดำเนินการซื้อขายที่ดินพยานไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะรู้หรือไม่ว่าคุณหญิงพจมาน ชนะการประกวดราคา เพราะไม่เคยรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทราบ แต่จะรายงานกระบวนการและขั้นตอนทั้งหมดให้คุณหญิงพจมานทราบ เพราะพยานได้รับมอบหมายจากคุณหญิงพจมาน ให้ดำเนินการซื้อขายที่ดินในนามของครอบครัวมาโดยตลอด ซึ่งได้ทำมานานถึง 20 ปี ซึ่งหลังจากซื้อขายที่ดินพิพาทคดีนี้เมื่อปี 2546 แล้ว พยานยังได้ดำเนินการซื้อขายที่ดินให้กับบุตรของคุณหญิงพจมาน จำนวน 5 ไร่เศษ ซึ่งเป็นที่ดินของบริษัทรัชดาทรัพย์พัฒนา ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนในราคาตารางวาและ 71,000 บาท ซึ่งเป็นที่ดินย่านห้วยขวาง ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงที่ดินพิพาท
"หม่อมอุ๋ย"เบิกความช่วยจำเลย
ขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดียาธร เบิกความสรุปว่า ขณะเกิดเหตุเป็นผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และประธานกรรมการจัดการกองทุนฯ เหตุที่ทำการขายที่ดินทางเวปไซด์ครั้งแรกเสนอการกำหนดราคาวางเงินมัดจำซองประมูลจาก 10 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาทในครั้งที่ 2 ที่ทำการขายด้วยวิธีเปิดซองราคา เนื่องจากในการซื้อขายก็ยังไม่ทราบว่าผู้ประมูลจะเสนอราคาแตกต่างกันอย่างไร หากจะกำหนดเงินมัดจำซองน้อยเกินไปแล้วพบว่าในการประกวดราคาของผู้ที่เสนอราคาลำดับที่ 1 และ 2 แตกต่างกันเพียง 20 ถึง 30 ล้านบาทแล้วก็อาจส่งผลให้มีการทิ้งซองยอมให้ปรับ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนจำนวนเงินมัดจำซองให้สูงขึ้น
ส่วนที่ครั้งแรกได้มีการกำหนดราคาขั้นต่ำจำนวน 870 ล้านบาทเป็นราคาประเมินที่ดินบวก 15 เปอร์เซ็นต์ แต่ในครั้งที่ 2 ไม่ได้มีการกำหนดราคาขั้นต่ำ แต่คณะกรรมการกองทุนมีราคาขั้นต่ำในใจ ซึ่งเป็นราคาประเมินที่ดินไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท เพราะเห็นว่าในครั้งแรกไม่มีคนซื้อ ซึ่งจากการสอบถามเหตุผลทราบว่าที่ดิน 35 ไร่ มีที่ดินประมาณ 2 ไร่เศษที่เป็นส่วนของถนน คลอง ลำรางสาธารณะ และการซื้อขายครั้งแรกมีการกำหนดราคาขั้นต่ำไว้สูงด้วย และถึงแม้คณะกรรมการจะไม่ได้กำหนดราคาขั้นต่ำ แต่กำหนดราคาไว้ในใจ แต่การขายที่ดินจะต้องได้ไม่ต่ำกว่าราคาประเมิน หากขายต่ำกว่าก็จะต้องติดคุก
ส่วนที่ให้มีการรวมโฉนดในเวลาอันรวดเร็ว เพราะเห็นว่าในการประมูลซื้อขายที่ดินน่าจะดำเนินการได้ก็ควรทำ ขณะที่รัฐบาลได้ออกประกาศยกเว้นการคิดค่าธรรมเนียมให้คิดในราคาที่ต่ำลงก็จะทำให้มีคนมาเสนอซื้อจำนวนมาก
"อุดม"เชื่อผิด "มาตรา 100"
ต่อมานายอุดม เบิกความสรุปว่า ในฐานะที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานอนุฯตรวจสอบคดีนี้ในการไต่สวนรวบรวมหลักฐานได้ให้โอกาสจำเลยที่ 1 และ 2 มาชี้แจงเต็มที่ตามสิทธิที่มีอยู่รวมทั้งให้โอกาสตรวจสอบหลักฐานที่ได้รวบรวมไว้แต่มีบางกรณีที่ อนุ คตส.เห็นว่า มีข้อมูล ซึ่งได้จากการรวบรวมเอกสารชัดเจนแล้ว เช่น เอกสารราคาที่ดิน ประเด็นการกำหนดมาตรฐานสร้างอาคารสูงในที่ดินข้อพิพาท รวมทั้งการประกาศยกเลิกเกี่ยวกับการสร้างอาคารสูง ซึ่งเป็นเอกสารราชการแสดงไว้แล้ว อนุ คตส.ก็จะไม่อนุญาตตามที่ผู้ถูกกล่าวหาขอให้มีการเรียกสอบเจ้าหน้าที่กรมธนารักษ์ และกรมผังเมือง เพราะเห็นว่าหากเรียกพยานบุคคลมาก็จะให้การตามเอกสารที่มีอยู่แล้ว ซึ่งอนุ คตส.เห็นว่าไม่จำเป็น
เช่นเดียวกับที่ครั้งแรกอนุ คตส.จะเชิญ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายพิเชษฐ์ พันธ์วิชาติกุล อดีต รมช.คลัง มาให้การแต่ภายหลังอนุ คตส.ก็ไม่ติดใจเรียกไปสอบเพราะ พล.อ.ชวลิต ไม่สมัครใจ และเคยเรียกสอบนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้งเหมือนกันแล้ว เหตุที่ต้องสอบเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งการสอบพยานของอนุ คตส.ต้องสอบพยานที่สมัครใจและตั้งใจจะให้ข้อเท็จจริงตามที่ผู้นั้นรู้
นายอุดม เบิกความต่อว่า เมื่อมีการทราบผลการประมูลที่ดินรัชดาที่จำเลยที่ 2 ชนะการประกวดราคาแล้ว ก่อนที่ คตส.จะตรวจสอบคดีนี้มีกฤษฏีกา นักวิชาการ ป.ป.ช. นักการเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย เกี่ยวกับ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.100 ซึ่ง คตส.ได้รวบรวมเอกสารข่าวจากสื่อมวลชนมาศึกษา เพราะก่อนหน้านี้เคยมีการระบุว่าไม่อยู่ในอำนาจ ป.ป.ช.พร้อมกับนำความเห็นต่างๆไว้ในสำนวนคดีนี้ด้วย
ส่วนที่ คตส.ทำแบบฟอร์มร้องทุกข์เสนอให้กับ รมว.คลัง ผู้ว่าฯ ธปท. ผู้จัดการกองทุนฯไปในคราวเดียวไม่ใช้เพราะไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้เสียหาย แต่เห็นว่าการบริหารกองทุนมีลำดับการบังคับบัญชาดังกล่าว จึงให้เลือกเองว่าจะให้ผู้ใดเป็นผู้ร้องทุกข์ และส่วนที่ไม่ระบุมูลค่าความเสียหายก็ให้หน่วยราชการนั้นลงบันทึกรายละเอียดความเสียหายเอง เพราะเป็นสิทธิของหน่วยงานนั้น
เมื่อศาลไต่สวนพยานโจทก์ทั้ง 3 ปากเสร็จสิ้นแล้ว อัยการแถลงต่อศาลว่า ต้องการนำสืบพยานอีก 2 ปาก คือ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส.และนายกล้าณรงค์ จันทิก ป.ป.ช. ซึ่งทั้งสองติดภาระไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ โดยนายเอนก คำชุ่ม ทนายความจำเลยก็จะขอนำสืบทั้งสองเป็นพยานร่วมเช่นกัน ดังนั้น ศาลจึงมีคำสั่งให้ไต่สวนพยานทั้งสองปากและพยานจำเลยปากอื่นในวันที่ 1 ส.ค.51 นี้ เวลา 09.30 น.
ศาลอนุญาต 2 จำเลยไปนอก
ส่วนที่จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 28 ก.ค.51 ขอเดินทางออกนอกประเทศ โดยจำเลยที่ 1 จะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นและจีนระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-10 ส.ค. และจะเดินทางไปประเทศอังกฤษระหว่างวันที่ 15-20 ส.ค. โดยจำเลยที่ 2 จะเดินทางไปประเทศจีนวันที่ 5-10 ส.ค. และไปประเทศอังกฤษวันที่ 15-20 ส.ค. องค์คณะพิจารณาคำร้องและเหตุผลของจำเลยทั้งสอง แล้วอนุญาตให้จำเลยที่ 1 เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นและจีน และให้จำเลยที่ 2 เดินทางไปประเทศจีนตามคำร้อง โดยให้แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบ และเมื่อจำเลยทั้งสอง เดินทางกลับเข้าประเทศให้เดินทางกลับเข้ามารายงานตัวต่อศาลในวันที่ 11 ส.ค.นี้ ส่วนการเดินทางไปประเทศอังกฤษ หากจำเลยทั้งสองต้องการเดินทางก็ให้ยื่นคำร้องเข้ามาใหม่เพื่อให้ศาลพิจารณาตามที่เห็นสมควรต่อไป
นายคำนวณ ชโลปถัมภ์ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ได้ยื่นคำร้องขอเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น จีน และอังกฤษ แต่ศาลอนุญาตให้ไปแค่ประเทศญี่ปุ่นและจีนเท่านั้น ส่วนประเทศอังกฤษนั้นให้มายื่นคำร้องใหม่อีกครั้งภายหลังเดินทางกลับจากประเทศ จีน และญี่ปุ่นแล้ว ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เหตุผลในการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นว่า เพื่อไปพบบุคคลสำคัญ ส่วนการไปประเทศจีน เพื่อไปรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่เดินทางไปร่วมพิธีเปิดโอลิมปิกและต้องกลับมารายงานตัวต่อศาลในวันที่ 11 ส.ค.นี้ ในส่วนของคุณหญิงพจมาน ขอศาลเดินทางไปประเทศจีน เพื่อไปร่วมพิธีเปิดโอลิมปิกโดยจะเริ่มเดินทางวันที่ 5 ส.ค.
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ศาลไม่อนุญาตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานเดินทางไปประเทศอังกฤษนั้น เป็นเพราะช่วงเวลาการเดินทางไปต่างประเทศยาวนานเกินไปหรือไม่ นายคำนวณ กล่าวว่า ไม่ทราบ เพียงแต่ศาลท่านเห็นว่าให้กลับมารายงานตัวก่อน แล้วค่อยยื่นคำร้องใหม่อีกครั้ง
วานนี้ (29 ก.ค.) เวลา 09.30 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโสเจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานโจทก์ครั้งสุดท้าย ในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก มูลค่า 772 ล้านบาท ตาม ป.อาญา และ พ.ร.บ.ว่า ด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542
โดยอัยการโจทก์นำพยานเข้าไต่สวนรวม 3 ปาก ประกอบด้วยนายสมบูรณ์ คุปติมนัส ผู้รับมอบอำนาจจากคุณพจมาน จำเลยที่ 2 ในการทำสัญญาซื้อขายที่ดินที่พิพาทคดีนี้ ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต รมว.คลัง และนายอุดม เฟื่องฟุ้ง ประธานอนุกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ คดีทุจริตที่ดินรัชดา
"นอมินีพจมาน" ให้การช่วย
นายสมบูรณ์ เบิกความสรุปว่า ในการซื้อที่ดินได้มีการตรวจสอบพื้นที่ในการประมูลขายจากเว็บไซต์ของกองทุนฟื้นฟูกิจการและพัฒนาระบบสถาบันการเงินและเอกสารที่ได้มาจากการซื้อซองประมูล ซึ่งพยานได้นำข้อมูลเสนอคุณหญิงพจมาน เพื่อเป็นแนวทางว่าหากจะเข้าประมูลซื้อขายจะที่ดินจะได้เนื้อที่จำนวนเท่าใด โดยทราบว่าในการประมูลขายที่ดินครั้งที่ 2 มีเนื้อที่ลดลงเหลือ 33 ไร่เศษ
จากการประมูลขายครั้งแรกมีเนื้อที่ 35 ไร่เศษ เพราะตัดส่วนที่เป็นถนนและลำรางสาธารณะออกไปเกือบ 2 ไร่ ซึ่งพยานได้สอบถามเจ้าหน้าที่กองทุนฯว่าเหตุใดจำนวนเนื้อที่ของที่ดินไม่เท่ากัน ซึ่งกองทุนแจ้งให้ทราบว่ามีเนื้อที่ถนนเทียนร่วมมิตรและลำรางสาธารณะรวมอยู่ด้วย แต่พยานไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องโฉนดและการออกเลขโฉนดว่าได้มีการทำเสร็จไว้ล่วงหน้าก่อนหรือไม่
"แม้ว"แสดงบัตรนายกรับรอง
นายสมบูรณ์ เบิกความต่อว่า ในวันที่มีการซื้อซองเสนอราคา พยานในฐานะผู้รับมอบอำนาจไม่ได้แจ้งกับทีมอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนว่า พยานดำเนินการประมูลซื้อขายที่ดินแทนคุณหญิงพจมาน โดยระบุเพียงว่าพยานซื้อในนามบุคคลอื่น แต่วันที่ซื้อได้มีหนังสือรับมอบอำนาจจากคุณหญิงมายื่นแสดง โดยในวันดังกล่าวยังไม่มีหนังสือยินยอมจาก พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สมรส โดยพยานได้รับหนังสือยินยอมจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนวันที่มีการลงนามทำหนังสือสัญญาซื้อขายในวันที่ 30 ธ.ค.2546 ซึ่งพยานได้ติดต่อขอหนังสือยินยอมจากจำเลยที่ 1 ผ่านทางเลขานุการ ซึ่งเข้าใจว่าเลขานุการน่าได้ให้เอกสารราชการซึ่งเป็นบัตรประจำตัวข้าราชการ ซึ่งดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาด้วย
โดยในการดำเนินการซื้อขายที่ดินพยานไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะรู้หรือไม่ว่าคุณหญิงพจมาน ชนะการประกวดราคา เพราะไม่เคยรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทราบ แต่จะรายงานกระบวนการและขั้นตอนทั้งหมดให้คุณหญิงพจมานทราบ เพราะพยานได้รับมอบหมายจากคุณหญิงพจมาน ให้ดำเนินการซื้อขายที่ดินในนามของครอบครัวมาโดยตลอด ซึ่งได้ทำมานานถึง 20 ปี ซึ่งหลังจากซื้อขายที่ดินพิพาทคดีนี้เมื่อปี 2546 แล้ว พยานยังได้ดำเนินการซื้อขายที่ดินให้กับบุตรของคุณหญิงพจมาน จำนวน 5 ไร่เศษ ซึ่งเป็นที่ดินของบริษัทรัชดาทรัพย์พัฒนา ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนในราคาตารางวาและ 71,000 บาท ซึ่งเป็นที่ดินย่านห้วยขวาง ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงที่ดินพิพาท
"หม่อมอุ๋ย"เบิกความช่วยจำเลย
ขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดียาธร เบิกความสรุปว่า ขณะเกิดเหตุเป็นผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และประธานกรรมการจัดการกองทุนฯ เหตุที่ทำการขายที่ดินทางเวปไซด์ครั้งแรกเสนอการกำหนดราคาวางเงินมัดจำซองประมูลจาก 10 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาทในครั้งที่ 2 ที่ทำการขายด้วยวิธีเปิดซองราคา เนื่องจากในการซื้อขายก็ยังไม่ทราบว่าผู้ประมูลจะเสนอราคาแตกต่างกันอย่างไร หากจะกำหนดเงินมัดจำซองน้อยเกินไปแล้วพบว่าในการประกวดราคาของผู้ที่เสนอราคาลำดับที่ 1 และ 2 แตกต่างกันเพียง 20 ถึง 30 ล้านบาทแล้วก็อาจส่งผลให้มีการทิ้งซองยอมให้ปรับ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนจำนวนเงินมัดจำซองให้สูงขึ้น
ส่วนที่ครั้งแรกได้มีการกำหนดราคาขั้นต่ำจำนวน 870 ล้านบาทเป็นราคาประเมินที่ดินบวก 15 เปอร์เซ็นต์ แต่ในครั้งที่ 2 ไม่ได้มีการกำหนดราคาขั้นต่ำ แต่คณะกรรมการกองทุนมีราคาขั้นต่ำในใจ ซึ่งเป็นราคาประเมินที่ดินไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท เพราะเห็นว่าในครั้งแรกไม่มีคนซื้อ ซึ่งจากการสอบถามเหตุผลทราบว่าที่ดิน 35 ไร่ มีที่ดินประมาณ 2 ไร่เศษที่เป็นส่วนของถนน คลอง ลำรางสาธารณะ และการซื้อขายครั้งแรกมีการกำหนดราคาขั้นต่ำไว้สูงด้วย และถึงแม้คณะกรรมการจะไม่ได้กำหนดราคาขั้นต่ำ แต่กำหนดราคาไว้ในใจ แต่การขายที่ดินจะต้องได้ไม่ต่ำกว่าราคาประเมิน หากขายต่ำกว่าก็จะต้องติดคุก
ส่วนที่ให้มีการรวมโฉนดในเวลาอันรวดเร็ว เพราะเห็นว่าในการประมูลซื้อขายที่ดินน่าจะดำเนินการได้ก็ควรทำ ขณะที่รัฐบาลได้ออกประกาศยกเว้นการคิดค่าธรรมเนียมให้คิดในราคาที่ต่ำลงก็จะทำให้มีคนมาเสนอซื้อจำนวนมาก
"อุดม"เชื่อผิด "มาตรา 100"
ต่อมานายอุดม เบิกความสรุปว่า ในฐานะที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานอนุฯตรวจสอบคดีนี้ในการไต่สวนรวบรวมหลักฐานได้ให้โอกาสจำเลยที่ 1 และ 2 มาชี้แจงเต็มที่ตามสิทธิที่มีอยู่รวมทั้งให้โอกาสตรวจสอบหลักฐานที่ได้รวบรวมไว้แต่มีบางกรณีที่ อนุ คตส.เห็นว่า มีข้อมูล ซึ่งได้จากการรวบรวมเอกสารชัดเจนแล้ว เช่น เอกสารราคาที่ดิน ประเด็นการกำหนดมาตรฐานสร้างอาคารสูงในที่ดินข้อพิพาท รวมทั้งการประกาศยกเลิกเกี่ยวกับการสร้างอาคารสูง ซึ่งเป็นเอกสารราชการแสดงไว้แล้ว อนุ คตส.ก็จะไม่อนุญาตตามที่ผู้ถูกกล่าวหาขอให้มีการเรียกสอบเจ้าหน้าที่กรมธนารักษ์ และกรมผังเมือง เพราะเห็นว่าหากเรียกพยานบุคคลมาก็จะให้การตามเอกสารที่มีอยู่แล้ว ซึ่งอนุ คตส.เห็นว่าไม่จำเป็น
เช่นเดียวกับที่ครั้งแรกอนุ คตส.จะเชิญ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายพิเชษฐ์ พันธ์วิชาติกุล อดีต รมช.คลัง มาให้การแต่ภายหลังอนุ คตส.ก็ไม่ติดใจเรียกไปสอบเพราะ พล.อ.ชวลิต ไม่สมัครใจ และเคยเรียกสอบนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้งเหมือนกันแล้ว เหตุที่ต้องสอบเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งการสอบพยานของอนุ คตส.ต้องสอบพยานที่สมัครใจและตั้งใจจะให้ข้อเท็จจริงตามที่ผู้นั้นรู้
นายอุดม เบิกความต่อว่า เมื่อมีการทราบผลการประมูลที่ดินรัชดาที่จำเลยที่ 2 ชนะการประกวดราคาแล้ว ก่อนที่ คตส.จะตรวจสอบคดีนี้มีกฤษฏีกา นักวิชาการ ป.ป.ช. นักการเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย เกี่ยวกับ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.100 ซึ่ง คตส.ได้รวบรวมเอกสารข่าวจากสื่อมวลชนมาศึกษา เพราะก่อนหน้านี้เคยมีการระบุว่าไม่อยู่ในอำนาจ ป.ป.ช.พร้อมกับนำความเห็นต่างๆไว้ในสำนวนคดีนี้ด้วย
ส่วนที่ คตส.ทำแบบฟอร์มร้องทุกข์เสนอให้กับ รมว.คลัง ผู้ว่าฯ ธปท. ผู้จัดการกองทุนฯไปในคราวเดียวไม่ใช้เพราะไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้เสียหาย แต่เห็นว่าการบริหารกองทุนมีลำดับการบังคับบัญชาดังกล่าว จึงให้เลือกเองว่าจะให้ผู้ใดเป็นผู้ร้องทุกข์ และส่วนที่ไม่ระบุมูลค่าความเสียหายก็ให้หน่วยราชการนั้นลงบันทึกรายละเอียดความเสียหายเอง เพราะเป็นสิทธิของหน่วยงานนั้น
เมื่อศาลไต่สวนพยานโจทก์ทั้ง 3 ปากเสร็จสิ้นแล้ว อัยการแถลงต่อศาลว่า ต้องการนำสืบพยานอีก 2 ปาก คือ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส.และนายกล้าณรงค์ จันทิก ป.ป.ช. ซึ่งทั้งสองติดภาระไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ โดยนายเอนก คำชุ่ม ทนายความจำเลยก็จะขอนำสืบทั้งสองเป็นพยานร่วมเช่นกัน ดังนั้น ศาลจึงมีคำสั่งให้ไต่สวนพยานทั้งสองปากและพยานจำเลยปากอื่นในวันที่ 1 ส.ค.51 นี้ เวลา 09.30 น.
ศาลอนุญาต 2 จำเลยไปนอก
ส่วนที่จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 28 ก.ค.51 ขอเดินทางออกนอกประเทศ โดยจำเลยที่ 1 จะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นและจีนระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-10 ส.ค. และจะเดินทางไปประเทศอังกฤษระหว่างวันที่ 15-20 ส.ค. โดยจำเลยที่ 2 จะเดินทางไปประเทศจีนวันที่ 5-10 ส.ค. และไปประเทศอังกฤษวันที่ 15-20 ส.ค. องค์คณะพิจารณาคำร้องและเหตุผลของจำเลยทั้งสอง แล้วอนุญาตให้จำเลยที่ 1 เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นและจีน และให้จำเลยที่ 2 เดินทางไปประเทศจีนตามคำร้อง โดยให้แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบ และเมื่อจำเลยทั้งสอง เดินทางกลับเข้าประเทศให้เดินทางกลับเข้ามารายงานตัวต่อศาลในวันที่ 11 ส.ค.นี้ ส่วนการเดินทางไปประเทศอังกฤษ หากจำเลยทั้งสองต้องการเดินทางก็ให้ยื่นคำร้องเข้ามาใหม่เพื่อให้ศาลพิจารณาตามที่เห็นสมควรต่อไป
นายคำนวณ ชโลปถัมภ์ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ได้ยื่นคำร้องขอเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น จีน และอังกฤษ แต่ศาลอนุญาตให้ไปแค่ประเทศญี่ปุ่นและจีนเท่านั้น ส่วนประเทศอังกฤษนั้นให้มายื่นคำร้องใหม่อีกครั้งภายหลังเดินทางกลับจากประเทศ จีน และญี่ปุ่นแล้ว ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เหตุผลในการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นว่า เพื่อไปพบบุคคลสำคัญ ส่วนการไปประเทศจีน เพื่อไปรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่เดินทางไปร่วมพิธีเปิดโอลิมปิกและต้องกลับมารายงานตัวต่อศาลในวันที่ 11 ส.ค.นี้ ในส่วนของคุณหญิงพจมาน ขอศาลเดินทางไปประเทศจีน เพื่อไปร่วมพิธีเปิดโอลิมปิกโดยจะเริ่มเดินทางวันที่ 5 ส.ค.
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ศาลไม่อนุญาตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานเดินทางไปประเทศอังกฤษนั้น เป็นเพราะช่วงเวลาการเดินทางไปต่างประเทศยาวนานเกินไปหรือไม่ นายคำนวณ กล่าวว่า ไม่ทราบ เพียงแต่ศาลท่านเห็นว่าให้กลับมารายงานตัวก่อน แล้วค่อยยื่นคำร้องใหม่อีกครั้ง