อดีตประธาน คตส. “นาม ยิ้มแย้ม” เบิกความยันไม่เคยขู่บังคับกองทุนฯ ร้องทุกข์เอาผิด“แม้ว-อ้อ” ชี้ที่ดิน 2 พันล้าน ขาย 700 ล้าน ขาดทุนเห็นๆ ส่วนกองทุนฯ อยู่ภายใต้นายกฯ หรือไม่ เป็นข้อกฎหมายให้ศาลตัดสิน ด้าน"แม้ว-อ้อ" ส่งทนายขออัยการเลื่อนสั่งฟ้องคดีซุกหุ้นเอสซี แอสเสท อ้างติดภารกิจสำคัญ
วานนี้(22 ก.ค.)เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโสเจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะผู้พิพากษา 9 คนออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานโจทก์ครั้งที่สาม ในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษกมูลค่า 772 ล้านบาท ตามประมวลกฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542
โดยอัยการโจทก์นำนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)เข้าเบิกความสรุปว่า การตรวจสอบคดีนี้เนื่องจากมีผู้ร้องเรียน เมื่อมีการแต่งตั้ง คตส. จึงได้เข้ามาตรวจสอบและแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนและตรวจสอบพยานหลักฐาน ซึ่งอนุฯได้รวบรวมหลักฐานมาพิจารณาแล้วเห็นว่าผิดกฎหมายคดีมีมูลจึงเสนอต่อ คตส.ชุดใหญ่ และ คตส.มีมติเห็นว่าคดีมีมูล จึงทำหนังสือถึง รมว.คลัง และกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในฐานะผู้เสียหาย ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 ม.66 และ 67 ให้เข้าทำการร้องทุกข์ ไม่ได้มีการข่มขู่หรือบังคับใดๆ
นายนาม ยังตอบคำถามทนายจำเลยในประเด็นที่อนุ คตส.ตัดพยาน ไม่เรียกผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะเป็นพยานที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการและการบริหารกองทุนที่รู้กฎระเบียบและข้อบังคับของกองทุนฯ ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์ทางสื่อมวลชนว่า กองทุนฯ ยืนยันมาตลอดว่าไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่เคยเข้าแจ้งความคดีนี้ รวมทั้ง พยานปากผู้อำนวยการผังเมือง ซึ่งจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับการรวมโฉนดที่ดินและภายหลังมีประกาศ กทม.เกี่ยวกับการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในที่ดินว่าเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อจำเลยอย่างใดว่าเรื่องนี้เป็นข้อต่อสู้ของจำเลยที่จะอ้างอย่างไรก็ได้ และการตัดพยานก็เป็นอำนาจของ อนุ คตส. ซึ่ง คตส.ก็ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าคดีมีมูล
"สมใจนึก" เบิกความช่วย "แม้ว"
ต่อมา นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และอดีตรองประธานคณะกรรมการกองทุนฯเข้าเบิกความสรุปว่า การนำทรัพย์ของกองทุนฯประมูลขาย ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ซึ่งกองทุนฯมีระเบียบของตัวเอง โดยการซื้อขายที่ดินพิพาทที่ไม่ได้กำหนดราคาขั้นต่ำ แต่ในการประชุมของคณะกรรมการกองทุนฯมีการพูดคุยกันว่าหากได้ราคาต่ำกว่า 750 ล้านบาทก็จะไม่ขาย ส่วนที่มีการขยายเวลาชำระเงินมัดจำจาก 7 วันเป็น 10 วัน เนื่องจาก ที่คณะกรรมการกองทุนฯเห็นว่าควรให้เวลาผู้เข้าประมูลหาเงินมัดจำซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก
นายสมใจนึก เบิกความต่อว่า การขายที่ดินครั้งแรกใช้วิธีประมูลทางอินเตอร์เน็ต รวม 13 แปลง ไม่มีการรวมโฉนด จึงไม่มีผู้เข้าร่วมประมูล ทราบว่ามีสาเหตุ 2-3 ประการ คือ ราคาประเมินและที่ดินไม่แน่นอน ซึ่งมาทราบภายหลังว่า ที่ดินถูกตัดโดยถนนเทียมร่วมมิตร อีกส่วนเป็นทางและคลองสาธารณะ จึงไม่ได้เป็นที่ดินที่แท้จริง ต้องทำการรังวัดและรวมออกโฉนดให้เป็นผืนเดียวกันเพื่อให้มีอำนาจต่อรองมากกว่าผู้ซื้อ ซึ่งในการประมูลครั้งที่สอง มีผู้เข้าร่วมประมูล 3 ราย ซึ่งปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ชนะประมูล ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติที่มีอัยการรวมอยู่ด้วย พิจารณาแล้วการซื้อขายครั้งนี้ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ซื้อไม่มีลักษณะต้องห้าม แต่ไม่ทราบว่าผิด พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ม.100 หรือไม่ และการซื้อขายที่ดินของกองทุนฯได้กำไรไปชำระหนี้ เพราะขายได้ในราคาที่สูงกว่าราคาประเมิน 750 ล้านบาท
ต่อมา ว่าที่ ร.ท.รุ่งเรือง โคกขุนทด เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)หัวหน้าทีมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนฟื้นฟู ฯ เบิกความว่า ที่พยานเคยให้การในชั้น อนุ คตส. ว่า ทราบว่าจำเลยที่ 2 ร่วมประมูลด้วยนั้น พยานทราบเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2546 ซึ่งเป็นวันก่อนการประกวดราคา 1 วัน โดยเหตุที่ทราบเพราะจำเลยที่ 2 ได้โอนเงินมัดจำซองประกวดราคาจำนวน 100 ล้านบาทเข้าบัญชีกองทุนฟื้นฟู ฯ ซึ่งการประกวดราคานั้นพยานไม่ได้ดำเนินการใดเป็นการพิเศษแตกต่างจากปกติ ส่วนที่ไม่กำหนดราคาขั้นต่ำในการประมูลครั้งที่สองเป็นเหตุผลทางการตลาด เนื่องจากครั้งแรกไม่มีผู้เสนอราคาประมูล
ภายหลังศาลไต่สวนพยานเสร็จสิ้นแล้วนัดไต่สวนพยานครั้งต่อไปวันที่ 25 ก.ค. เวลา 09.30 น. โดยนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ หัวหน้าคณะทำงานอัยการรับผิดชอบว่าความคดีนี้ กล่าวว่า เตรียมนำพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดินรวม 6 ปากเข้าเบิกความ
"นาม"ขอให้ศาลวินิจฉัย
นายนาม กล่าวหลังขึ้นเบิกความเสร็จว่า คดีนี้ไม่เคยบีบบังคับให้กองทุนฯเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ที่จำเลยอ้างเรื่องกองทุนไม่ได้รับความเสียหายเป็นข้อต่อสู้ของจำเลย ซึ่งที่จริงราคาที่ดินกองทุนซื้อมาราคา 2 พันล้านบาทเศษ แต่กลับมาขายเพียง 772 ล้านบาท จะไม่เสียหายอย่างไร ส่วนที่อ้างว่า กองทุนฯไม่อยู่ภายใต้กำกับดูแลของนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นอีกข้อต่อสู้ของจำเลย แต่ คตส.เห็นว่า กองทุนฯขึ้นอยู่กับ ธปท. และ ธปท.อยู่ภายใต้กระทรวงการคลัง ซึ่งนายกฯเป็นผู้กำกับดูแลทุกกระทรวง ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นข้อกฎหมาย ศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยเอง
“คดีนี้ปัญหามีอยู่ว่าการที่จำเลยซื้อที่ดินพิพาทผิดกฎหมายหรือไม่ มีสิทธิซื้อหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงก็เห็นๆกันอยู่ว่ามีการซื้อขายเกิดขึ้นจริง” นายนามกล่าว และว่า ยังไม่ได้รับการติดต่อจาก ป.ป.ช.ให้เข้าไปร่วมเป็นอนุกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาคดี แต่หาก ป.ป.ช.ติดต่อมาจริงก็จะต้องพิจารณาอีกครั้งว่ามีความเหมาะสมที่จะไปทำตรงนั้นหรือไม่
ซื้อเวลาสั่งคดีซุกหุ้นเอสซี แอสเสท
วันเดียวกันที่สำนักงานอัยการสูงสุด เวลา 09.00 น. นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ นัดสั่งคดีที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีความเห็นสมควรให้สั่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา, บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น โดยนางเพ็ญโสม ดามาพงศ์ กรรมการบริษัท และนางบุษบา ดามาพงศ์ อดีตกรรมการบริษัท เป็นผู้ต้องหาที่ 1-4 ฐานกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 กรณีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลา มีเพียงนางเพ็ญโสม มารายงานตัวต่อพนักงานอัยการเพียงคนเดียว ในขณะที่ ผู้ต้องหาอีก 3 คน ได้มอบหมายให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายประกัน และนายสมหมาย กู้ทรัพย์ ทนายความ ยื่นหนังสือขอให้เลื่อนสั่งคดีออกไป เนื่องจากผู้ต้องหาทั้ง 3 ติดภารกิจสำคัญที่นัดหมายไว้แล้ว ไม่สามารถมารายงานตัวได้ ทั้งนี้ นายวงศ์สกุล เห็นว่าทางดีเอสไอ ยังไม่ส่งเอกสารที่อัยการได้ขอให้หามาแต่อย่างใด จึงเห็นสมควรให้เลื่อนการสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 16 ก.ย. เวลา 09.00 น.
ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีพนักงานอัยการออกมาระบุว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอยังไม่ส่งเอกสารประกอบสำนวนต่างประเทศของคดีการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท จำกัด (มหาชน) ว่า การประสานงานขอเอกสารจากต่างประเทศเป็นหน้าที่ของทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขณะนี้หมดหน้าที่ของดีเอสไอ เพราะสรุปสำนวนส่งอัยการไปแล้ว การสั่งฟ้องหรือไม่เป็นดุลพินิจของอัยการ ส่วนเอกสารต่างประเทศจะใช้เป็นหลักฐานสำคัญมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของอัยการว่าจะมีความเห็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอไม่ได้นิ่งเฉย เพราะได้ทำ หนังสือเร่งรัดทางเลขาธิการ ก.ล.ต.ไปแล้ว
วานนี้(22 ก.ค.)เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโสเจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะผู้พิพากษา 9 คนออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานโจทก์ครั้งที่สาม ในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษกมูลค่า 772 ล้านบาท ตามประมวลกฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542
โดยอัยการโจทก์นำนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)เข้าเบิกความสรุปว่า การตรวจสอบคดีนี้เนื่องจากมีผู้ร้องเรียน เมื่อมีการแต่งตั้ง คตส. จึงได้เข้ามาตรวจสอบและแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนและตรวจสอบพยานหลักฐาน ซึ่งอนุฯได้รวบรวมหลักฐานมาพิจารณาแล้วเห็นว่าผิดกฎหมายคดีมีมูลจึงเสนอต่อ คตส.ชุดใหญ่ และ คตส.มีมติเห็นว่าคดีมีมูล จึงทำหนังสือถึง รมว.คลัง และกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในฐานะผู้เสียหาย ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 ม.66 และ 67 ให้เข้าทำการร้องทุกข์ ไม่ได้มีการข่มขู่หรือบังคับใดๆ
นายนาม ยังตอบคำถามทนายจำเลยในประเด็นที่อนุ คตส.ตัดพยาน ไม่เรียกผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะเป็นพยานที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการและการบริหารกองทุนที่รู้กฎระเบียบและข้อบังคับของกองทุนฯ ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์ทางสื่อมวลชนว่า กองทุนฯ ยืนยันมาตลอดว่าไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่เคยเข้าแจ้งความคดีนี้ รวมทั้ง พยานปากผู้อำนวยการผังเมือง ซึ่งจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับการรวมโฉนดที่ดินและภายหลังมีประกาศ กทม.เกี่ยวกับการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในที่ดินว่าเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อจำเลยอย่างใดว่าเรื่องนี้เป็นข้อต่อสู้ของจำเลยที่จะอ้างอย่างไรก็ได้ และการตัดพยานก็เป็นอำนาจของ อนุ คตส. ซึ่ง คตส.ก็ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าคดีมีมูล
"สมใจนึก" เบิกความช่วย "แม้ว"
ต่อมา นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และอดีตรองประธานคณะกรรมการกองทุนฯเข้าเบิกความสรุปว่า การนำทรัพย์ของกองทุนฯประมูลขาย ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ซึ่งกองทุนฯมีระเบียบของตัวเอง โดยการซื้อขายที่ดินพิพาทที่ไม่ได้กำหนดราคาขั้นต่ำ แต่ในการประชุมของคณะกรรมการกองทุนฯมีการพูดคุยกันว่าหากได้ราคาต่ำกว่า 750 ล้านบาทก็จะไม่ขาย ส่วนที่มีการขยายเวลาชำระเงินมัดจำจาก 7 วันเป็น 10 วัน เนื่องจาก ที่คณะกรรมการกองทุนฯเห็นว่าควรให้เวลาผู้เข้าประมูลหาเงินมัดจำซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก
นายสมใจนึก เบิกความต่อว่า การขายที่ดินครั้งแรกใช้วิธีประมูลทางอินเตอร์เน็ต รวม 13 แปลง ไม่มีการรวมโฉนด จึงไม่มีผู้เข้าร่วมประมูล ทราบว่ามีสาเหตุ 2-3 ประการ คือ ราคาประเมินและที่ดินไม่แน่นอน ซึ่งมาทราบภายหลังว่า ที่ดินถูกตัดโดยถนนเทียมร่วมมิตร อีกส่วนเป็นทางและคลองสาธารณะ จึงไม่ได้เป็นที่ดินที่แท้จริง ต้องทำการรังวัดและรวมออกโฉนดให้เป็นผืนเดียวกันเพื่อให้มีอำนาจต่อรองมากกว่าผู้ซื้อ ซึ่งในการประมูลครั้งที่สอง มีผู้เข้าร่วมประมูล 3 ราย ซึ่งปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ชนะประมูล ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติที่มีอัยการรวมอยู่ด้วย พิจารณาแล้วการซื้อขายครั้งนี้ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ซื้อไม่มีลักษณะต้องห้าม แต่ไม่ทราบว่าผิด พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ม.100 หรือไม่ และการซื้อขายที่ดินของกองทุนฯได้กำไรไปชำระหนี้ เพราะขายได้ในราคาที่สูงกว่าราคาประเมิน 750 ล้านบาท
ต่อมา ว่าที่ ร.ท.รุ่งเรือง โคกขุนทด เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)หัวหน้าทีมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนฟื้นฟู ฯ เบิกความว่า ที่พยานเคยให้การในชั้น อนุ คตส. ว่า ทราบว่าจำเลยที่ 2 ร่วมประมูลด้วยนั้น พยานทราบเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2546 ซึ่งเป็นวันก่อนการประกวดราคา 1 วัน โดยเหตุที่ทราบเพราะจำเลยที่ 2 ได้โอนเงินมัดจำซองประกวดราคาจำนวน 100 ล้านบาทเข้าบัญชีกองทุนฟื้นฟู ฯ ซึ่งการประกวดราคานั้นพยานไม่ได้ดำเนินการใดเป็นการพิเศษแตกต่างจากปกติ ส่วนที่ไม่กำหนดราคาขั้นต่ำในการประมูลครั้งที่สองเป็นเหตุผลทางการตลาด เนื่องจากครั้งแรกไม่มีผู้เสนอราคาประมูล
ภายหลังศาลไต่สวนพยานเสร็จสิ้นแล้วนัดไต่สวนพยานครั้งต่อไปวันที่ 25 ก.ค. เวลา 09.30 น. โดยนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ หัวหน้าคณะทำงานอัยการรับผิดชอบว่าความคดีนี้ กล่าวว่า เตรียมนำพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดินรวม 6 ปากเข้าเบิกความ
"นาม"ขอให้ศาลวินิจฉัย
นายนาม กล่าวหลังขึ้นเบิกความเสร็จว่า คดีนี้ไม่เคยบีบบังคับให้กองทุนฯเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ที่จำเลยอ้างเรื่องกองทุนไม่ได้รับความเสียหายเป็นข้อต่อสู้ของจำเลย ซึ่งที่จริงราคาที่ดินกองทุนซื้อมาราคา 2 พันล้านบาทเศษ แต่กลับมาขายเพียง 772 ล้านบาท จะไม่เสียหายอย่างไร ส่วนที่อ้างว่า กองทุนฯไม่อยู่ภายใต้กำกับดูแลของนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นอีกข้อต่อสู้ของจำเลย แต่ คตส.เห็นว่า กองทุนฯขึ้นอยู่กับ ธปท. และ ธปท.อยู่ภายใต้กระทรวงการคลัง ซึ่งนายกฯเป็นผู้กำกับดูแลทุกกระทรวง ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นข้อกฎหมาย ศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยเอง
“คดีนี้ปัญหามีอยู่ว่าการที่จำเลยซื้อที่ดินพิพาทผิดกฎหมายหรือไม่ มีสิทธิซื้อหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงก็เห็นๆกันอยู่ว่ามีการซื้อขายเกิดขึ้นจริง” นายนามกล่าว และว่า ยังไม่ได้รับการติดต่อจาก ป.ป.ช.ให้เข้าไปร่วมเป็นอนุกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาคดี แต่หาก ป.ป.ช.ติดต่อมาจริงก็จะต้องพิจารณาอีกครั้งว่ามีความเหมาะสมที่จะไปทำตรงนั้นหรือไม่
ซื้อเวลาสั่งคดีซุกหุ้นเอสซี แอสเสท
วันเดียวกันที่สำนักงานอัยการสูงสุด เวลา 09.00 น. นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ นัดสั่งคดีที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีความเห็นสมควรให้สั่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา, บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น โดยนางเพ็ญโสม ดามาพงศ์ กรรมการบริษัท และนางบุษบา ดามาพงศ์ อดีตกรรมการบริษัท เป็นผู้ต้องหาที่ 1-4 ฐานกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 กรณีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลา มีเพียงนางเพ็ญโสม มารายงานตัวต่อพนักงานอัยการเพียงคนเดียว ในขณะที่ ผู้ต้องหาอีก 3 คน ได้มอบหมายให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายประกัน และนายสมหมาย กู้ทรัพย์ ทนายความ ยื่นหนังสือขอให้เลื่อนสั่งคดีออกไป เนื่องจากผู้ต้องหาทั้ง 3 ติดภารกิจสำคัญที่นัดหมายไว้แล้ว ไม่สามารถมารายงานตัวได้ ทั้งนี้ นายวงศ์สกุล เห็นว่าทางดีเอสไอ ยังไม่ส่งเอกสารที่อัยการได้ขอให้หามาแต่อย่างใด จึงเห็นสมควรให้เลื่อนการสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 16 ก.ย. เวลา 09.00 น.
ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีพนักงานอัยการออกมาระบุว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอยังไม่ส่งเอกสารประกอบสำนวนต่างประเทศของคดีการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท จำกัด (มหาชน) ว่า การประสานงานขอเอกสารจากต่างประเทศเป็นหน้าที่ของทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขณะนี้หมดหน้าที่ของดีเอสไอ เพราะสรุปสำนวนส่งอัยการไปแล้ว การสั่งฟ้องหรือไม่เป็นดุลพินิจของอัยการ ส่วนเอกสารต่างประเทศจะใช้เป็นหลักฐานสำคัญมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของอัยการว่าจะมีความเห็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอไม่ได้นิ่งเฉย เพราะได้ทำ หนังสือเร่งรัดทางเลขาธิการ ก.ล.ต.ไปแล้ว