ผู้จัดการรายวัน - ไต่สวนพยานโจทก์ครั้งที่สองคดี "แม้ว-อ้อ" ทุจริตซื้อที่ดินรัชดา อัยการนำพยาน 4 ปากเข้าเบิกความ "หม่อมเต่า" เผยเคยคิดเข้าร่วมประมูลที่ดิน แต่มีปัญหาก่อนรู้ว่า "อ้อ" ประมูลด้วย ขณะที่อดีตผู้จัดการกองทุน รู้ข่าววงนอกสะพัด "อ้อ" ร่วมประมูล
วานนี้ (15 ก.ค.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง เวลา 09.30 น. นายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโสเจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานโจทก์ครั้งที่สอง ในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1–2 ในความผิดฐานทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษกมูลค่า 772 ล้านบาท ตามประมวลกฎหมายอาญา และพ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542
โดยอัยการนำ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตประธานคณะกรรมการจัดการกองทุนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน เข้าเบิกความสรุปว่า กองทุนฯมีสภาพเป็นนิติบุคคล บริหารงานในรูปแบบของคณะกรรมการกองทุนฯ ซึ่งจะมีปลัดกระทรวงการคลัง ร่วมเป็นคณะกรรมการกองทุนฯด้วย โดยกองทุนฯจะอยู่ภายใต้กำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ซึ่งการจำหน่ายที่ดินของกองทุนฯ ไม่ต้องขออนุมัติจากรมว.คลังหรือ นายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการฯ มีอำนาจที่จะมีมติให้จำหน่ายที่ดินได้ ส่วนในเรื่องความจำเป็นเร่งด่วนในการจำหน่ายที่ดินจะพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งหากสภาพเศรษฐกิจไม่ดี ก็คงจะต้องรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวก่อน อย่างไรก็ดี ในสมัยที่ตนเป็นประธานกองทุนฯนายกรัฐมนตรีไม่ได้เข้ามาบทบาทกำกับดูแลกองทุนฯ
"เมียนายกน" ร่วมประมูลไม่เหมาะสม
ม.ร.ว.จัตุมงคล เบิกความด้วยว่าในเรื่องของการซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นข้อพิพาทคดีนี้ ในส่วนของพยานเมื่อพ้นจากตำแหน่งต่างๆ แล้วพยานได้ไปมีส่วนร่วมในธุรกิจที่ดิน ซึ่งได้ทราบข้อมูลว่าจะมีการเปิดประมูลซื้อที่ดินพิพาทคดีนี้ ในราคาตารางวาละ 70,000 บาท โดยพยานได้ทำการติดต่อกับเจ้าหน้าที่กองทุนฯ เพื่อเข้าร่วมการประมูลด้วย แต่ภายหลังพยานและหุ้นส่วนทางธุรกิจมีปัญหาจึงไม่สามารถเข้าร่วมประมูลได้ จึงได้ติดต่อกลับไปยังเจ้าหน้าที่เพื่อแจ้งยกเลิกการประมูล และได้ทราบข่าวว่า คุณหญิงอ้อ (คุณหญิงพจมาน ชินวัตร) จะเข้าร่วมการประมูลด้วย ซึ่งเรื่องนี้พยานเคยให้การไว้ในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แล้วว่า เป็นการไม่เหมาะสมถ้าจะมีภรรยาของเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทำสัญญา โดยส่วนตัวรับราชการมาเป็นเวลากว่า 40 ปี ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ไม่อยากเข้าไปทำธุรกิจ เกี่ยวกับการทำสัญญากับทางราชการเพราะอาจจะทำให้เกิดความสงสัยและเกิดความเสียหายในภายหลังได้
"ผมก็ตกใจเหมือนกันที่รู้ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาร่วมประมูลด้วย ผมไม่ได้ถอนตัว เพราะรู้ว่าคุณหญิงพจมานร่วมประมูลด้วย แต่ถอนตัวออกมาก่อนแล้วถึงมาทราบภายหลัง ซึ่งตามหลักการที่รู้กันว่า ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็ควรทำหน้าที่ไป หากเอาเรื่องธุรกิจเข้ามาปะปนด้วย มันก็ไม่เหมาะสม และผมก็ไม่ทราบความในใจของผู้ซื้อที่ดินว่าจะเอาไปทำอะไร ที่ดินมีตั้งมากมายในโลก จะก่อให้มันยุ่งทำไม หากจะทำหน้าที่รัฐก็ทำ อย่าเข้ามายุ่งตรงนี้" ม.ร.ว.จัตุมงคลกล่าว
ซื้อขายที่ดินผิดกฎหมาย
ต่อมาอัยการนำนายอำนวย ธันธรา อดีตคตส. เข้าเบิกความ สรุปว่าพยานไม่ได้เป็นคณะอนุฯ ตรวจสอบและไต่สวนคดีนี้ โดยเมื่อคณะอนุฯตรวจสอบและไต่สวนเสร็จสิ้นแล้วได้สรุปสำนวนและเสนอความเห็นต่อที่ประชุม คตส. ซึ่งคตส. มีความเห็นส่งให้อัยการยื่นฟ้องคดีนี้และขอให้ริบทรัพย์ แต่โดยส่วนตัวเห็นว่า นิติกรรมการทำสัญญาซื้อขายที่ดินรัชดา เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย นิติกรรมจึงต้องตกเป็นโมฆะ โดยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายต้องกลับไปอยู่ในสถานะเดิม หมายความว่า ไม่มีการโอนขายที่ดิน ดังนั้นเงินที่ซื้อขายที่ดิน พยานเห็นว่าน่าจะริบไม่ได้
ทราบข่าว "เมียแม้ว" ร่วมประมูล
จากนั้นอัยการนำ นายเกริก วณิกกุล เจ้าหน้าที่ ธปท. อดีต ผู้จัดการกองทุนฯ ปี 2545 เข้าเบิกความสรุปว่า ที่ดินรัชดาเดิมเป็นของ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เอราวัณ ทรัสต์ เมื่อปี 2538 ที่ดินดังกล่าวมีมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาทเศษ แต่เมื่อโอนมาเป็นของกองทุนฯ แล้วมีมูลค่าสูงขึ้นเป็น 2 พันล้านบาทเศษ เนื่องจากกองทุนได้นำเงินเข้าไปช่วยเหลือการสภาพคล่องของ เอราวัณทรัสต์ ให้ดำรงอยู่ได้ ซึ่งถ้าหากเอราวัณทรัสต์ล้ม กองทุนฯ ก็จะเป็นเจ้าหนี้ด้วย ส่วนที่มูลค่าที่ดินลดลงจาก 2 พันล้าน ในปี 2544 เหลือเพียง 700 ล้านบาทเศษ นายเกริก เบิกความว่าโดยหลักการทางบัญชีเมื่อกองทุนได้สนับสนุนสภาพคล่อง เอราวัณทรัสต์ แต่กองทุนมีสองสถานะซึ่งนอกจากจะเป็นนิติบุคคลแล้ว อีกสถานะหนึ่งขึ้นตรงกับ ธปท. ซึ่ง ธปท.จะต้องถูกตรวจสอบบัญชีโดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ที่จะต้องแสดงตัวเลขหนี้สินทรัพย์ให้ชัดเจน เพื่อความสะดวกในการทวงถามติดตามหนี้สินที่เกิดขึ้นที่แท้จริง ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีหนี้สินอยู่กับกองทุนฯ 100 ล้านบาท แต่ราคาประเมินที่ดินอยู่ที่ 50 ล้านบาท ก็จะเท่ากับว่ามูลค่าหนี้ที่แท้จริงเหลืออยู่ 50 ล้านบาท
นายเกริก เบิกความด้วยว่าในการลงชื่อซื้อซองประมูลราคาจึงพบว่า มีนิติบุคคล 2 ราย และบุคคลธรรมดา 1 ราย โดยไม่มีการระบุว่ากระทำในนามแทนของบุคคลใด หรือมีชื่อของคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ได้มีกฎหรือระเบียบใดระบุไว้ว่า ผู้ลงชื่อซื้อซองกับผู้ยื่นซองประมูลราคาจะต้องเป็นบุคคลเดียวกัน หรือกระทำแทนกันได้หรือไม่ ซึ่งก่อนการประมูล พยานเคยได้ยินข่าวจากวงนอกแว่วๆว่า ภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าร่วมประมูลที่ดินด้วย โดยเรื่องนี้พยานได้ให้การกับคตส.แล้ว
ต่อมาอัยการนำ นายไพโรจน์ เฮงสกุล อดีตผู้จัดการกองทุนฯ ช่วงปี 49-50 เข้าเบิกความสรุปว่า พยานเคยให้การกับ คตส. ว่านายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีอำนาจกำกับดูแลกองทุนฯ โดยตรง แต่เหตุที่พยานทำหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษคดีนี้ เนื่องจาก คตส.ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการคลังส่งเรื่องให้กองทุนฯและที่ประชุมกรรมการกองทุนฯ ให้พิจารณาร้องทุกข์ เพราะคตส. เห็นว่าการเข้าประมูลซื้อขายที่ดินไม่ชอบด้วย กฎหมาย ม.100 (พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.) ตนในฐานะผู้จัดการกองทุนจึงเป็นผู้แทนเข้าร้องทุกข์
นายไพโรจน์ เบิกความว่ากองทุนอยู่ภายในธปท. ในส่วนของการดำเนินการจึงเป็นไปตามคำสั่ง ธปท.แต่ถ้าส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับรัฐวิสาหกิจ ก็จะปฏิบัติตามระเบียบของรัฐวิสาหกิจนั้น ส่วนเรื่องหลักเกณฑ์การวางซองมัดจำซื้อขายที่ดินพิพาทคดีนี้ ซึ่งต้องโอนเงินสดจำนวน 100 ล้านบาท เข้าบัญชีกองทุนฯ ส่วนที่ดินที่ขายให้ อ.ส.ม.ท.จำนวน 50 ไร่ ที่ให้วางเป็นแคชเชียร์เช็คนั้น พยานเห็นว่าไม่มีปัญหาความแตกต่าง เพราะถึงจะวางเป็นแคชเชียร์เช็คก็จะต้องนำเข้าบัญชีเงินฝากกองทุนเช่นเดียวกัน ส่วนที่กองทุนจะได้ดอกเบี้ยหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อตกลงกับธนาคาร
นายไพโรจน์ เบิกความต่อว่า นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจกำกับดูแล ซึ่งขณะที่พยานเป็นผู้จัดการกองทุน ในสมัยพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้เข้ามากำกับดูแลหรือสั่งการพยาน
"นาม ยิ้มแย้ม" ไต่สวนนัดหน้า
ภายหลังศาลไต่สวนพยานโจทก์เสร็จสิ้นครบจำนวน 4 ปาก ตามบัญชีของอัยการโจกท์แล้ว ศาลนัดไต่สวนพยานโจทก์ครั้งต่อไปวันที่ 22 ก.ค. เวลา 09.30 น. โดยนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ หัวหน้าคณะอัยการรับผิดชอบว่าความคดีนี้ กล่าวว่า ได้เชิญนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธานคตส. นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง นายสว่างจิต จายวัฒน์ ผู้จัดการกองทุนฟื้นฟู ขณะเกิดเหตุ และนายรุ่งเรือง โคกขุนทด เจ้าหน้าที่กองทุนฯขณะเกิดเหตุ เข้าเบิกความ
วานนี้ (15 ก.ค.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง เวลา 09.30 น. นายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโสเจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานโจทก์ครั้งที่สอง ในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1–2 ในความผิดฐานทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษกมูลค่า 772 ล้านบาท ตามประมวลกฎหมายอาญา และพ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542
โดยอัยการนำ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตประธานคณะกรรมการจัดการกองทุนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน เข้าเบิกความสรุปว่า กองทุนฯมีสภาพเป็นนิติบุคคล บริหารงานในรูปแบบของคณะกรรมการกองทุนฯ ซึ่งจะมีปลัดกระทรวงการคลัง ร่วมเป็นคณะกรรมการกองทุนฯด้วย โดยกองทุนฯจะอยู่ภายใต้กำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ซึ่งการจำหน่ายที่ดินของกองทุนฯ ไม่ต้องขออนุมัติจากรมว.คลังหรือ นายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการฯ มีอำนาจที่จะมีมติให้จำหน่ายที่ดินได้ ส่วนในเรื่องความจำเป็นเร่งด่วนในการจำหน่ายที่ดินจะพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งหากสภาพเศรษฐกิจไม่ดี ก็คงจะต้องรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวก่อน อย่างไรก็ดี ในสมัยที่ตนเป็นประธานกองทุนฯนายกรัฐมนตรีไม่ได้เข้ามาบทบาทกำกับดูแลกองทุนฯ
"เมียนายกน" ร่วมประมูลไม่เหมาะสม
ม.ร.ว.จัตุมงคล เบิกความด้วยว่าในเรื่องของการซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นข้อพิพาทคดีนี้ ในส่วนของพยานเมื่อพ้นจากตำแหน่งต่างๆ แล้วพยานได้ไปมีส่วนร่วมในธุรกิจที่ดิน ซึ่งได้ทราบข้อมูลว่าจะมีการเปิดประมูลซื้อที่ดินพิพาทคดีนี้ ในราคาตารางวาละ 70,000 บาท โดยพยานได้ทำการติดต่อกับเจ้าหน้าที่กองทุนฯ เพื่อเข้าร่วมการประมูลด้วย แต่ภายหลังพยานและหุ้นส่วนทางธุรกิจมีปัญหาจึงไม่สามารถเข้าร่วมประมูลได้ จึงได้ติดต่อกลับไปยังเจ้าหน้าที่เพื่อแจ้งยกเลิกการประมูล และได้ทราบข่าวว่า คุณหญิงอ้อ (คุณหญิงพจมาน ชินวัตร) จะเข้าร่วมการประมูลด้วย ซึ่งเรื่องนี้พยานเคยให้การไว้ในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แล้วว่า เป็นการไม่เหมาะสมถ้าจะมีภรรยาของเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทำสัญญา โดยส่วนตัวรับราชการมาเป็นเวลากว่า 40 ปี ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ไม่อยากเข้าไปทำธุรกิจ เกี่ยวกับการทำสัญญากับทางราชการเพราะอาจจะทำให้เกิดความสงสัยและเกิดความเสียหายในภายหลังได้
"ผมก็ตกใจเหมือนกันที่รู้ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาร่วมประมูลด้วย ผมไม่ได้ถอนตัว เพราะรู้ว่าคุณหญิงพจมานร่วมประมูลด้วย แต่ถอนตัวออกมาก่อนแล้วถึงมาทราบภายหลัง ซึ่งตามหลักการที่รู้กันว่า ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็ควรทำหน้าที่ไป หากเอาเรื่องธุรกิจเข้ามาปะปนด้วย มันก็ไม่เหมาะสม และผมก็ไม่ทราบความในใจของผู้ซื้อที่ดินว่าจะเอาไปทำอะไร ที่ดินมีตั้งมากมายในโลก จะก่อให้มันยุ่งทำไม หากจะทำหน้าที่รัฐก็ทำ อย่าเข้ามายุ่งตรงนี้" ม.ร.ว.จัตุมงคลกล่าว
ซื้อขายที่ดินผิดกฎหมาย
ต่อมาอัยการนำนายอำนวย ธันธรา อดีตคตส. เข้าเบิกความ สรุปว่าพยานไม่ได้เป็นคณะอนุฯ ตรวจสอบและไต่สวนคดีนี้ โดยเมื่อคณะอนุฯตรวจสอบและไต่สวนเสร็จสิ้นแล้วได้สรุปสำนวนและเสนอความเห็นต่อที่ประชุม คตส. ซึ่งคตส. มีความเห็นส่งให้อัยการยื่นฟ้องคดีนี้และขอให้ริบทรัพย์ แต่โดยส่วนตัวเห็นว่า นิติกรรมการทำสัญญาซื้อขายที่ดินรัชดา เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย นิติกรรมจึงต้องตกเป็นโมฆะ โดยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายต้องกลับไปอยู่ในสถานะเดิม หมายความว่า ไม่มีการโอนขายที่ดิน ดังนั้นเงินที่ซื้อขายที่ดิน พยานเห็นว่าน่าจะริบไม่ได้
ทราบข่าว "เมียแม้ว" ร่วมประมูล
จากนั้นอัยการนำ นายเกริก วณิกกุล เจ้าหน้าที่ ธปท. อดีต ผู้จัดการกองทุนฯ ปี 2545 เข้าเบิกความสรุปว่า ที่ดินรัชดาเดิมเป็นของ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เอราวัณ ทรัสต์ เมื่อปี 2538 ที่ดินดังกล่าวมีมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาทเศษ แต่เมื่อโอนมาเป็นของกองทุนฯ แล้วมีมูลค่าสูงขึ้นเป็น 2 พันล้านบาทเศษ เนื่องจากกองทุนได้นำเงินเข้าไปช่วยเหลือการสภาพคล่องของ เอราวัณทรัสต์ ให้ดำรงอยู่ได้ ซึ่งถ้าหากเอราวัณทรัสต์ล้ม กองทุนฯ ก็จะเป็นเจ้าหนี้ด้วย ส่วนที่มูลค่าที่ดินลดลงจาก 2 พันล้าน ในปี 2544 เหลือเพียง 700 ล้านบาทเศษ นายเกริก เบิกความว่าโดยหลักการทางบัญชีเมื่อกองทุนได้สนับสนุนสภาพคล่อง เอราวัณทรัสต์ แต่กองทุนมีสองสถานะซึ่งนอกจากจะเป็นนิติบุคคลแล้ว อีกสถานะหนึ่งขึ้นตรงกับ ธปท. ซึ่ง ธปท.จะต้องถูกตรวจสอบบัญชีโดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ที่จะต้องแสดงตัวเลขหนี้สินทรัพย์ให้ชัดเจน เพื่อความสะดวกในการทวงถามติดตามหนี้สินที่เกิดขึ้นที่แท้จริง ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีหนี้สินอยู่กับกองทุนฯ 100 ล้านบาท แต่ราคาประเมินที่ดินอยู่ที่ 50 ล้านบาท ก็จะเท่ากับว่ามูลค่าหนี้ที่แท้จริงเหลืออยู่ 50 ล้านบาท
นายเกริก เบิกความด้วยว่าในการลงชื่อซื้อซองประมูลราคาจึงพบว่า มีนิติบุคคล 2 ราย และบุคคลธรรมดา 1 ราย โดยไม่มีการระบุว่ากระทำในนามแทนของบุคคลใด หรือมีชื่อของคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ได้มีกฎหรือระเบียบใดระบุไว้ว่า ผู้ลงชื่อซื้อซองกับผู้ยื่นซองประมูลราคาจะต้องเป็นบุคคลเดียวกัน หรือกระทำแทนกันได้หรือไม่ ซึ่งก่อนการประมูล พยานเคยได้ยินข่าวจากวงนอกแว่วๆว่า ภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าร่วมประมูลที่ดินด้วย โดยเรื่องนี้พยานได้ให้การกับคตส.แล้ว
ต่อมาอัยการนำ นายไพโรจน์ เฮงสกุล อดีตผู้จัดการกองทุนฯ ช่วงปี 49-50 เข้าเบิกความสรุปว่า พยานเคยให้การกับ คตส. ว่านายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีอำนาจกำกับดูแลกองทุนฯ โดยตรง แต่เหตุที่พยานทำหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษคดีนี้ เนื่องจาก คตส.ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการคลังส่งเรื่องให้กองทุนฯและที่ประชุมกรรมการกองทุนฯ ให้พิจารณาร้องทุกข์ เพราะคตส. เห็นว่าการเข้าประมูลซื้อขายที่ดินไม่ชอบด้วย กฎหมาย ม.100 (พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.) ตนในฐานะผู้จัดการกองทุนจึงเป็นผู้แทนเข้าร้องทุกข์
นายไพโรจน์ เบิกความว่ากองทุนอยู่ภายในธปท. ในส่วนของการดำเนินการจึงเป็นไปตามคำสั่ง ธปท.แต่ถ้าส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับรัฐวิสาหกิจ ก็จะปฏิบัติตามระเบียบของรัฐวิสาหกิจนั้น ส่วนเรื่องหลักเกณฑ์การวางซองมัดจำซื้อขายที่ดินพิพาทคดีนี้ ซึ่งต้องโอนเงินสดจำนวน 100 ล้านบาท เข้าบัญชีกองทุนฯ ส่วนที่ดินที่ขายให้ อ.ส.ม.ท.จำนวน 50 ไร่ ที่ให้วางเป็นแคชเชียร์เช็คนั้น พยานเห็นว่าไม่มีปัญหาความแตกต่าง เพราะถึงจะวางเป็นแคชเชียร์เช็คก็จะต้องนำเข้าบัญชีเงินฝากกองทุนเช่นเดียวกัน ส่วนที่กองทุนจะได้ดอกเบี้ยหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อตกลงกับธนาคาร
นายไพโรจน์ เบิกความต่อว่า นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจกำกับดูแล ซึ่งขณะที่พยานเป็นผู้จัดการกองทุน ในสมัยพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้เข้ามากำกับดูแลหรือสั่งการพยาน
"นาม ยิ้มแย้ม" ไต่สวนนัดหน้า
ภายหลังศาลไต่สวนพยานโจทก์เสร็จสิ้นครบจำนวน 4 ปาก ตามบัญชีของอัยการโจกท์แล้ว ศาลนัดไต่สวนพยานโจทก์ครั้งต่อไปวันที่ 22 ก.ค. เวลา 09.30 น. โดยนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ หัวหน้าคณะอัยการรับผิดชอบว่าความคดีนี้ กล่าวว่า ได้เชิญนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธานคตส. นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง นายสว่างจิต จายวัฒน์ ผู้จัดการกองทุนฟื้นฟู ขณะเกิดเหตุ และนายรุ่งเรือง โคกขุนทด เจ้าหน้าที่กองทุนฯขณะเกิดเหตุ เข้าเบิกความ