นาทีนี้ไม่ต้องมาถามกันแล้วว่าจะให้โอกาสรัฐบาล “หุ่นเชิด” ชุดนี้บริหารราชการแผ่นดินต่อไปอีกหรือไม่ เพราะถ้าฟังจากปากชาวบ้านทั่วไปแทบทุกระดับชั้น ต่างก็เบะหน้า ส่ายหัว ไม่เว้นแม้แต่ระดับรากหญ้า คนขับรถแท็กซี่รับจ้างที่ในสมัยก่อนต่างเคยร่วมขบวนแห่แหนกันมาตลอด
แต่บรรยากาศวันนี้เปรียบเหมือนหน้ามือเป็นหลังเท้า มีแต่สียงสวดชยันโตไล่หลังกันเกือบทั้งนั้น
ส่วนวงการอื่นไม่ต้องพูดถึง ทั้งนักวิชาการ ชนชั้นกลาง ใครได้ยินชื่อ “สมัคร สุนทรเวช” ก็แทบจะอ๊วกออกมาสิ้นไส้ สิ้นพุง
เวลานี้สถานการณ์การกำลังเดินมาถึงจุดสำคัญที่หัวหน้ารัฐบาลหุ่นเชิดอย่าง "สมัคร สุนทรเวช" จะต้องตัดสินใจปรับคณะรัฐมนตรี เนื่องจากรัฐมนตรีหลายคนต่างร่วงผลอยกันไปทีละคนสองคน ต่างกรรมต่างวาระ
เริ่มจาก สุธา ชันแสง ที่ถูกจับได้ว่า น่าจะมีการปลอมแปลงวุฒิการศึกษาทำให้ต้องโบกมือลาเก้าอี้รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก่อนเป็นรายแรก
ถัดมา จักรภพ เพ็ญแข ก็ถูกดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จนเกิดความตึงเครียดในสังคม แม้เจ้าตัวจะใช้วิธีตีฝีปาก ยื้อเวลากันอยู่พักใหญ่ แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันรอบทิศ โดยเฉพาะภายในรัฐบาล หรือแม้กระทั่ง “นายใหญ่” ต้องเป่านกหวีดส่งสัญญาณเอง ก็ต้องไขก๊อกพ้นเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไป
จากนั้นก็มาถึง ไขยา สะสมทรัพย์ ที่ต้องพ้นจากตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข เป็นรายล่าสุด เนื่องจากตุลาการรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีจากกรณีภรรยาถือหุ้นเกินร้อยละ 5
และยังมีค้างคาอีกหนึ่งรายคือ วิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.พาณิชย์ ที่แม้ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งจะลงมติให้ผ่านอย่างฉิวเฉียด 3 ต่อ 2 ว่า การถือหุ้นเกินร้อยละ 5 ขาดคุณสมบัติ เพราะบริษัทที่ว่านั้น ได้ปิดกิจการไปแล้ว แต่เรื่องก็ยังค้างอยู่ที่ตุลาการรัฐธรรมนูญ ยังต้องลุ้นเล็กๆว่า จะชี้ขาดออกมาอย่างไร
นี่ว่ากันเฉพาะรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลที่ต้องพ้นจากเก้าอี้ จนทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือน ก่อให้เกิดความเสื่อมศรัทธาลงทุกวัน และไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สั่งให้ "ใบแดง" ยงยุทธ ติยะไพรัช จนอาจนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชนค่อนข้าสูง
ยังไม่นับเรื่องการทำงานที่ไม่เอาอ่าว ไม่เป็นโล้เป็นพาย ในช่วงสองสามเดือนแรก เมื่อมีเสียงด่าก็อ้างตามสูตรว่า เพิ่ง เข้ามาทำงาน ต้องให้เวลากันหน่อย แต่เมื่อผ่านไปเกือบ 6 เดือน ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ไม่เห็นวี่แวว ตัวรมว.พาณิชย์ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ" ที่ก่อนหน้านี้ถูกโปรโมตกันจนเลิศลอยจาก สมัคร สุนทรเวช ถึงขนาดในช่วงหาเสียงป่าวประกาศทำราวกับว่า เป็น “อัศวินม้าขาว” มาช่วยกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจ
แต่พอเอาเข้าจริง เวลาผ่านไปจนเวลานี้ชาวบ้านแทบจะลืมไปแล้วว่า เรามีรมว.พาณิชย์ ชื่ออะไร เพราะถูกกีดกันออกไปนอกวง
สังเกตได้จากภารกิจสำคัญในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งในเรื่องการจำนำข้าว การเป็นคณะกรรมการข้าวในระดับชาติ มิ่งขวัญ ก็ไม่มีชื่อติดโผ ซึ่งแทบจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่รัฐมนตรีพาณิชย์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องกำหนดราคาข้าว
ทั้งที่ในอดีต องค์การคลังสินค้า(อคส.) เป็นหน่วยงานหลักในการรับจำนำข้าวของเกษตรแทบทุกปี
บทบาทสำคัญกลับไปตกอยู่ที่ "หมอเลี้ยบ" นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯและรมว.คลัง ตัดหน้า “โชว์เดี่ยว” เสียนี่
หรือล่าสุดแม้แต่งาน “มหกรรมมั่นใจไทยแลนด์ ดีแน่ ถูกแน่ เพื่อคนไทย” แม่งานก็ยังเป็นกระทรวงการคลังอีก ส่วนกระทรวงอื่นที่เข้าร่วม ก็มี กระทรวงพลังงาน การท่องเที่ยวและกีฬา คมนาคม และมหาดไทย ไม่ว่าเพ่งตามองอย่างไร กลับไม่มีชื่อกระทรวงพาณิชย์ของ"เจ๊มิ่ง" เลยแม้แต่น้อย
บรรยากาศแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร หมายความว่า"เจ๊มิ่ง" ไร้น้ำยาใช่หรือเปล่า จนต้องกันออกมานอกวง
แต่ในมุมกลับกัน ถ้าพิจารณาจากข่าวเก่าๆ ย้อนหลังเมื่อครั้งมีการตั้งคณะกรรมการข้าว และเรื่องการแก้ปัญหาราคาข้าว แบบ “หักดิบ” ในช่วงที่ มิ่งขวัญ ตระเวนอยู่ต่างประเทศ กลับมาถึงไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงแว่วๆ มาเข้าหูว่า"ถูกคนตัวใหญ่" หักหลัง
สร้างรอยร้าวกินใจกันจนทุกวันนี้
ดังนั้นถ้าถึงเวลาต้องปรับคณะรัฐมนตรีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เชื่อขนมกินได้ล่วงหน้าเลยว่า มิ่งขวัญ จะต้องถูกลดชั้นไปนั่งเก้าอี้ระดับเกรดบี หรือเกรดซี ค่อนข้างแน่
ขณะเดียวกันถ้าโฟกัสกันเฉพาะเรื่องปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ เป้าหมายสำคัญก็เพื่อตัวเองและ “นายใหญ่ หน้าเหลี่ยม” ล้วนๆ เป็นแค่การซื้อเวลา รักษาอำนาจรัฐในมือให้นานที่สุด อย่างน้อยก็ถึงช่วงเวลาฤดูโยกย้ายนายทหารปลายปีนี้
โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมนี้ก็เริ่มเคาะรายชื่อกันไปบ้างแล้ว และที่น่าจับตาอย่างยิ่งก็คือ การโยกย้ายในปีนี้ ถือเป็นการย้ายล็อตใหญ่ในทุกเหล่าทัพ ทั้งกองบัญชาการทหารสูงสุด ทัพเรือ อากาศ ที่ระดับส่วนหัว ต้องเกษียณอายุพร้อมกัน ยกเว้นกองทัพบก ที่ระดับผู้บัญชาการทหารบก มีอายุราชการเหลืออีก 2 ปี แต่ระดับ 5 เสือ ต้องมีการขยับแน่นอน
ในเชิงอำนาจไม่ว่าใครก็ย่อมมองออกว่า การโยกย้ายปีนี้ถือว่าเป็นการกระชับอำนาจครั้งสำคัญ และน่าจะถึงเวลาที่เพื่อนพ้องน้องพี่ “รุ่น10” จะต้องขึ้นมากุมตำแหน่งสำคัญเสียที หลังจากมีการเบิกร่อง เปิดหัวกันมาบ้างแล้ว ในช่วงการโยกย้ายกลางปีที่ผ่านมา
และที่สำคัญ ต้องเร่งเวลา “หักดิบ” ผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ “ลูกพี่” ได้รอดคุก ไม่ต้องถูกริบทรัพย์ ยังเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องทำให้สำเร็จให้ได้
ถ้าพิจารณาจากปัจจัยดังกล่าวมาทั้งหมด น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไม “หมัก” และพรรคพลังประชาชน ต้องยื้อสุดชีวิต ไม่ออก-ไม่ยุบ แต่ใช้วิธีปรับคณะรัฐมนตรี
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในแง่ของความรู้สึกชาวบ้านแล้ว ถือว่ารัฐบาลชุดนี้เหมือน “ศพเดินได้” เท่านั้น เหม็นหึ่งไปทั่วบ้านทั่วเมือง หมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไปแล้ว คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า การปรับคณะรัฐมนตรี ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
เป็นแค่การเปลี่ยนหน้า เปลี่ยน “หุ่นเชิด” ตัวใหม่เข้ามาแทน เพราะถ้าพิจารณาจากตัวบุคคลที่แย้มๆ กันมา ส่วนใหญ่ก็ยังวนเวียนอยู่แค่ “เด็กในบ้าน” หรือ “นายหน้า” ทางธุรกิจ ที่เคยทำกำไรเข้ากระเป๋ากันมานาน เมื่อได้จังหวะก็ต้องตอบแทนสมนาคุณ
ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้จริงๆ
ดังนั้นจึงเป็นช่วงใช้เวลาหากำไรให้มากที่สุด แต่ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง หรือฟ้ามีตา ก็น่าจะดลใจให้ “ตุลาการ” ลากคอให้เข้าคุกเข้าตะรางเสียก่อน หรืออีกมุมหนึ่งทำให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่
“ล้างไพ่” กันไปก่อน และหากพิจารณาตามปฏิทินแล้ว ก็น่าจะใกล้เวลา “ตุลาการภิวัฒน์” เข้ามาทุกขณะ ภายในเดือน สองเดือนนี้อย่ากระพริบตาเป็นอันขาด !!
แต่บรรยากาศวันนี้เปรียบเหมือนหน้ามือเป็นหลังเท้า มีแต่สียงสวดชยันโตไล่หลังกันเกือบทั้งนั้น
ส่วนวงการอื่นไม่ต้องพูดถึง ทั้งนักวิชาการ ชนชั้นกลาง ใครได้ยินชื่อ “สมัคร สุนทรเวช” ก็แทบจะอ๊วกออกมาสิ้นไส้ สิ้นพุง
เวลานี้สถานการณ์การกำลังเดินมาถึงจุดสำคัญที่หัวหน้ารัฐบาลหุ่นเชิดอย่าง "สมัคร สุนทรเวช" จะต้องตัดสินใจปรับคณะรัฐมนตรี เนื่องจากรัฐมนตรีหลายคนต่างร่วงผลอยกันไปทีละคนสองคน ต่างกรรมต่างวาระ
เริ่มจาก สุธา ชันแสง ที่ถูกจับได้ว่า น่าจะมีการปลอมแปลงวุฒิการศึกษาทำให้ต้องโบกมือลาเก้าอี้รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก่อนเป็นรายแรก
ถัดมา จักรภพ เพ็ญแข ก็ถูกดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จนเกิดความตึงเครียดในสังคม แม้เจ้าตัวจะใช้วิธีตีฝีปาก ยื้อเวลากันอยู่พักใหญ่ แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันรอบทิศ โดยเฉพาะภายในรัฐบาล หรือแม้กระทั่ง “นายใหญ่” ต้องเป่านกหวีดส่งสัญญาณเอง ก็ต้องไขก๊อกพ้นเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไป
จากนั้นก็มาถึง ไขยา สะสมทรัพย์ ที่ต้องพ้นจากตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข เป็นรายล่าสุด เนื่องจากตุลาการรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีจากกรณีภรรยาถือหุ้นเกินร้อยละ 5
และยังมีค้างคาอีกหนึ่งรายคือ วิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.พาณิชย์ ที่แม้ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งจะลงมติให้ผ่านอย่างฉิวเฉียด 3 ต่อ 2 ว่า การถือหุ้นเกินร้อยละ 5 ขาดคุณสมบัติ เพราะบริษัทที่ว่านั้น ได้ปิดกิจการไปแล้ว แต่เรื่องก็ยังค้างอยู่ที่ตุลาการรัฐธรรมนูญ ยังต้องลุ้นเล็กๆว่า จะชี้ขาดออกมาอย่างไร
นี่ว่ากันเฉพาะรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลที่ต้องพ้นจากเก้าอี้ จนทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือน ก่อให้เกิดความเสื่อมศรัทธาลงทุกวัน และไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สั่งให้ "ใบแดง" ยงยุทธ ติยะไพรัช จนอาจนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชนค่อนข้าสูง
ยังไม่นับเรื่องการทำงานที่ไม่เอาอ่าว ไม่เป็นโล้เป็นพาย ในช่วงสองสามเดือนแรก เมื่อมีเสียงด่าก็อ้างตามสูตรว่า เพิ่ง เข้ามาทำงาน ต้องให้เวลากันหน่อย แต่เมื่อผ่านไปเกือบ 6 เดือน ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ไม่เห็นวี่แวว ตัวรมว.พาณิชย์ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ" ที่ก่อนหน้านี้ถูกโปรโมตกันจนเลิศลอยจาก สมัคร สุนทรเวช ถึงขนาดในช่วงหาเสียงป่าวประกาศทำราวกับว่า เป็น “อัศวินม้าขาว” มาช่วยกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจ
แต่พอเอาเข้าจริง เวลาผ่านไปจนเวลานี้ชาวบ้านแทบจะลืมไปแล้วว่า เรามีรมว.พาณิชย์ ชื่ออะไร เพราะถูกกีดกันออกไปนอกวง
สังเกตได้จากภารกิจสำคัญในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งในเรื่องการจำนำข้าว การเป็นคณะกรรมการข้าวในระดับชาติ มิ่งขวัญ ก็ไม่มีชื่อติดโผ ซึ่งแทบจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่รัฐมนตรีพาณิชย์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องกำหนดราคาข้าว
ทั้งที่ในอดีต องค์การคลังสินค้า(อคส.) เป็นหน่วยงานหลักในการรับจำนำข้าวของเกษตรแทบทุกปี
บทบาทสำคัญกลับไปตกอยู่ที่ "หมอเลี้ยบ" นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯและรมว.คลัง ตัดหน้า “โชว์เดี่ยว” เสียนี่
หรือล่าสุดแม้แต่งาน “มหกรรมมั่นใจไทยแลนด์ ดีแน่ ถูกแน่ เพื่อคนไทย” แม่งานก็ยังเป็นกระทรวงการคลังอีก ส่วนกระทรวงอื่นที่เข้าร่วม ก็มี กระทรวงพลังงาน การท่องเที่ยวและกีฬา คมนาคม และมหาดไทย ไม่ว่าเพ่งตามองอย่างไร กลับไม่มีชื่อกระทรวงพาณิชย์ของ"เจ๊มิ่ง" เลยแม้แต่น้อย
บรรยากาศแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร หมายความว่า"เจ๊มิ่ง" ไร้น้ำยาใช่หรือเปล่า จนต้องกันออกมานอกวง
แต่ในมุมกลับกัน ถ้าพิจารณาจากข่าวเก่าๆ ย้อนหลังเมื่อครั้งมีการตั้งคณะกรรมการข้าว และเรื่องการแก้ปัญหาราคาข้าว แบบ “หักดิบ” ในช่วงที่ มิ่งขวัญ ตระเวนอยู่ต่างประเทศ กลับมาถึงไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงแว่วๆ มาเข้าหูว่า"ถูกคนตัวใหญ่" หักหลัง
สร้างรอยร้าวกินใจกันจนทุกวันนี้
ดังนั้นถ้าถึงเวลาต้องปรับคณะรัฐมนตรีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เชื่อขนมกินได้ล่วงหน้าเลยว่า มิ่งขวัญ จะต้องถูกลดชั้นไปนั่งเก้าอี้ระดับเกรดบี หรือเกรดซี ค่อนข้างแน่
ขณะเดียวกันถ้าโฟกัสกันเฉพาะเรื่องปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ เป้าหมายสำคัญก็เพื่อตัวเองและ “นายใหญ่ หน้าเหลี่ยม” ล้วนๆ เป็นแค่การซื้อเวลา รักษาอำนาจรัฐในมือให้นานที่สุด อย่างน้อยก็ถึงช่วงเวลาฤดูโยกย้ายนายทหารปลายปีนี้
โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมนี้ก็เริ่มเคาะรายชื่อกันไปบ้างแล้ว และที่น่าจับตาอย่างยิ่งก็คือ การโยกย้ายในปีนี้ ถือเป็นการย้ายล็อตใหญ่ในทุกเหล่าทัพ ทั้งกองบัญชาการทหารสูงสุด ทัพเรือ อากาศ ที่ระดับส่วนหัว ต้องเกษียณอายุพร้อมกัน ยกเว้นกองทัพบก ที่ระดับผู้บัญชาการทหารบก มีอายุราชการเหลืออีก 2 ปี แต่ระดับ 5 เสือ ต้องมีการขยับแน่นอน
ในเชิงอำนาจไม่ว่าใครก็ย่อมมองออกว่า การโยกย้ายปีนี้ถือว่าเป็นการกระชับอำนาจครั้งสำคัญ และน่าจะถึงเวลาที่เพื่อนพ้องน้องพี่ “รุ่น10” จะต้องขึ้นมากุมตำแหน่งสำคัญเสียที หลังจากมีการเบิกร่อง เปิดหัวกันมาบ้างแล้ว ในช่วงการโยกย้ายกลางปีที่ผ่านมา
และที่สำคัญ ต้องเร่งเวลา “หักดิบ” ผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ “ลูกพี่” ได้รอดคุก ไม่ต้องถูกริบทรัพย์ ยังเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องทำให้สำเร็จให้ได้
ถ้าพิจารณาจากปัจจัยดังกล่าวมาทั้งหมด น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไม “หมัก” และพรรคพลังประชาชน ต้องยื้อสุดชีวิต ไม่ออก-ไม่ยุบ แต่ใช้วิธีปรับคณะรัฐมนตรี
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในแง่ของความรู้สึกชาวบ้านแล้ว ถือว่ารัฐบาลชุดนี้เหมือน “ศพเดินได้” เท่านั้น เหม็นหึ่งไปทั่วบ้านทั่วเมือง หมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไปแล้ว คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า การปรับคณะรัฐมนตรี ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
เป็นแค่การเปลี่ยนหน้า เปลี่ยน “หุ่นเชิด” ตัวใหม่เข้ามาแทน เพราะถ้าพิจารณาจากตัวบุคคลที่แย้มๆ กันมา ส่วนใหญ่ก็ยังวนเวียนอยู่แค่ “เด็กในบ้าน” หรือ “นายหน้า” ทางธุรกิจ ที่เคยทำกำไรเข้ากระเป๋ากันมานาน เมื่อได้จังหวะก็ต้องตอบแทนสมนาคุณ
ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้จริงๆ
ดังนั้นจึงเป็นช่วงใช้เวลาหากำไรให้มากที่สุด แต่ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง หรือฟ้ามีตา ก็น่าจะดลใจให้ “ตุลาการ” ลากคอให้เข้าคุกเข้าตะรางเสียก่อน หรืออีกมุมหนึ่งทำให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่
“ล้างไพ่” กันไปก่อน และหากพิจารณาตามปฏิทินแล้ว ก็น่าจะใกล้เวลา “ตุลาการภิวัฒน์” เข้ามาทุกขณะ ภายในเดือน สองเดือนนี้อย่ากระพริบตาเป็นอันขาด !!