สิ่งที่นายสมัคร สุนทรเวช ได้พูดคนเดียว ข้างเดียว (พาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์บางฉบับเรียกว่า ‘สำราก’) ในรายการ ‘สนทนาประสาสมัคร’ เช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ป่านนี้คงรู้แล้วล่ะว่า คนในสังคมเขามีปฏิกิริยาตอบสนองกันอย่างไร
กรณีการแสดงเจตนาอย่างโจ่งแจ้งว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนและพวกพ้นผิด การวิจารณ์ฝ่ายตุลาการว่าล้ำเส้นฝ่ายบริหาร การโยนความผิดของตัวให้เป็นเรื่องชั่วของคนอื่น การถูกกลั่นแกล้งขององค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ เหล่านี้ล้วนถูกตอบโต้เกือบจะทันที
นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ตั้งคำถามต่อสังคม 3 ข้อ ว่า 1.จะให้อาชญากรแก้ไขกฎหมายอาญาหรือไม่ 2. จะให้นักเลือกตั้งแก้ไขการทุจริตซื้อเสียงหรือไม่ 3. จะให้มิจฉาทิฐิ แก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่
ขณะที่ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด พูดชัดถึงบทบาทของศาลปกครองว่า “ขอยืนยันตุลาการศาลปกครองทุกคนทำหน้าที่ด้วยความถูกต้อง กล้าหาญ ซื่อสัตย์ สุจริต ตามกระแสรับสั่งของในหลวงทุกครั้งที่ได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ”
คิดว่า นายสมัครที่เพิ่งได้รับศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง มาไม่นานคงไม่ต้องให้ใครถอดความคำพูดของสองท่านนี้ให้ฟัง หรือ ต้องแปลไทยเป็นไทยอีก!
สังคมเขาก็เข้าใจตรงกันหมด ยกเว้นพรรคพลังประชาชน และรัฐบาลนอมินีชุดนี้ ที่แกล้งโง่ พยายามยื้อเวลาหนี ‘ตาย’ ออกไปให้นานที่สุด ทั้งๆ ที่จริงก็ตายไปแล้ว
สังคมเขารู้กันว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่เหตุแห่งทุกข์จริงๆ ของคนไทย คือ มีรัฐบาลเถื่อนๆ ที่ไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกติกาต่างหาก
เขาถามคำถามกันง่ายๆ ในวงกาแฟว่า ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากเผด็จการ เกิดจากความเกลียดชังมีข้อบกพร่องแล้ว บรรดานักเลือกตั้งอย่างพรรคพลังประชาชนลงเลือกตั้งทำไม? และตอนที่หาเสียง ทำไมไม่ชูประเด็นที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ?
แปลว่า นักเลือกตั้งพวกนี้ก็รู้อยู่แก่ใจว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ด้วย ‘ระบบ’ ถ้าโกงเลือกตั้งเข้ามาก็ต้องถูกใบเหลือง ใบแดง และหากเป็นกรรมการบริหารพรรคอาจนำไปสู่การยุบพรรคตามวรรค 2 ของมาตรา 237 ที่พยายามจะแก้ไข
ทุกคน ทุกพรรค ก็ต้องเล่นตามกติกา เหมือนกีฬา เหมือนฟุตบอล นักเตะที่ถูกใบแดงไล่ออกจากสนามยังไงๆ ก็ต้องเดินออกไป จะอุทธรณ์หรือประท้วงไม่เห็นด้วยก็ต้องกระทำหลังจากนั้น ไม่ใช่ตะแบงว่า กติกาผิดขอแก้กติกาขณะเล่น!
ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าคิดหลายคนหลายครั้ง เช่นเดียวกับสื่อที่นำมาถ่ายทอดแต่กลับถูกนายสมัครประณามและย้อนว่า ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ และขอไม่ไว้วางใจการทำหน้าที่ของสื่อ
ว่าไปแล้วก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของนายสมัครที่ไม่ไว้วางใจ ไม่เชื่อถือสื่อ แต่นายสมัครจะหลงลืมอย่างไร จะแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นานอย่างคนเขาว่ากันหรือไม่ นายสมัครก็น่าจะพอรู้ว่า ยุคสมัยนี้ ข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่สังคมได้รับรู้นั้น ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่ทีวี หนังสือพิมพ์ หากยังมีอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีพื้นที่เปิดมากมายให้คนในสังคมเขาได้นำข้อมูล นำข่าวสารมาแลกเปลี่ยนกัน อาทิ เว็บบอร์ด หรือเว็บบล็อก (Blog)
นายสมัคร ควรทราบว่า วันนี้อินเทอร์เน็ตมีอิทธิพลต่อความคิดของคนในวงสังคมมากแค่ไหน ปริมาณ 3.7 ล้านคนที่เข้าอินเทอร์เน็ตต่อวัน (สถิติจาก ทรูฮิต ดอท เน็ต) บางทีอาจจะมากกว่าพวกที่ดูละครน้ำเน่าตามฟรีทีวี และมากกว่าคนที่อ่านหนังสือพิมพ์ต่อวันด้วยซ้ำ
พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่นักข่าว ไม่ใช่สื่อมวลชน แต่บางคนมีความรู้สูง เป็นข้าราชการ เป็นพนักงานเอกชน เป็นนักศึกษา เป็นประชาชนที่ไม่มีวาระอะไรให้เคลือบแคลงสงสัย ทุกข้อเขียน ทุกถ้อยคำที่นำมา ‘สื่อ’ วิญญูชนที่แท้ย่อมสดับรับฟังกัน
ดังนั้น หากนายสมัคร อยากรู้ว่าคนส่วนใหญ่จากประชาชนทุกหมู่เหล่าจริงๆ เขาคิดอย่างไรกับตนเอง นายสมัครลองใช้เจ้าหน้าที่สำนักนายกฯ เปิดคอมพิวเตอร์ให้ดูก็ได้จะพบว่า เรื่องราวที่แบบนายสมัครเอาพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์มาประณาม เอาจดหมายของทางบ้าน (ที่ไม่มีใครทราบว่า เขียนเอง อ่านเอง ตอบเองหรือไม่) มาด่าตัวเองนั้น มีจำนวนนับพันนับหมื่นชิ้นต่อวัน
มากมายจนนายสมัครอาจจะอุทานด้วยความตกใจว่า ‘โอ้โฮ’ อย่างที่ชอบพูดติดปาก ทำไมมันมากมายเช่นนี้!
นายสมัครควรต้องทราบเสียทีว่า การเมืองประเภทตีสำนวนโวหารไปวันๆ เอาข้อมูลข้อเท็จจริงบิดเบือนไปวันๆ หลอกประชาชนได้ไม่ง่ายเหมือนสมัยอดีตแล้ว
รายการพูดข้างเดียววันอาทิตย์กลายเป็นรายการที่หาสาระไม่ได้ ไม่ต่างจากการแสดงจำอวด ที่คนในสังคมหัวเราะเยาะ สมเพชที่มีนายกฯ เช่นนี้
ทว่า เมื่ออาทิตย์ก่อน นายสมัครจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม มีเรื่องหนึ่งที่เขาพูดแล้วฟังได้มีสาระ และน่าจะมีสาระที่สุดเท่าที่จัดรายการมา คือ ช่วงหยิบกระดาษใบหนึ่งมาอ่านแล้วบอกว่า เป็นจดหมายมาจากทางบ้านเขียนเข้ามา
นายสมัครอ่านว่า “ไอ้สมัครบ้ากิน ตะกละ ไปไหนก็เร่ไปทำกับข้าว ที่สำคัญที่สุดทำเสร็จทั้งหมดแทนที่จะให้นักข่าวหรือคนในพื้นที่กิน เรียกว่า แจกเขาน่ะ เพราะ วัตถุดิบตัวเองก็ไม่ได้ซื้อมา พอทำเสร็จแล้ว ขนกลับบ้านหมด โอ้โฮ แน่จริง เขาบอกไอ้อุบาทว์ ทำอะไรต่างๆ บริหารบ้านเมืองก็ทำไม่เป็น ไม่มีความสามารถจะสะเออะอยากจะมาเป็นนายกฯ เพื่อจะได้บันทึกประวัติศาสตร์ตัวเอง แม้จะได้มาเป็นก็เพราะว่ามีใครเป็นคนจัดการมาให้ต่างๆ
ไม่มีศักดิ์ศรี อำนาจ พลเมืองจำนวนมาก เขาทุเรศพฤติกรรมของแกจะแย่อยู่แล้ว นอกจากหน้าตาบุคลิกจะอุบาทว์แล้ว นิสัยยังถ่อยฉะนั้น ที่เกิดมาไม่เคยพบเห็นนายกรัฐมนตรีที่จะมีความเลว ความถ่อยสถุล พับผ่าสิ วันหนึ่งไม่เห็นจะบริหารอะไร ดีแต่ปากเห่าไปวันๆ ให้สัมภาษณ์ไปวันๆ เสร็จแล้วว่าอย่างไร ขอแช่งให้มันตายปุบปับ แผ่นดินไทยจะได้สูงขึ้น”
หลายคนบ่นเสียดาย เพราะวันนั้นนายสมัครพูดเร็วไปฟังไม่ทัน หรือไม่ก็ติดธุระไม่ทันได้ดู วันอาทิตย์นี้จึงอยากให้นายสมัครเอาจดหมายฉบับนี้มาอ่านออกอากาศซ้ำอีกครั้ง และขอให้อ่านช้าๆ
สาระสำคัญเช่นนี้ใครเล่าอยากจะพลาด!
ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อก http://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th
กรณีการแสดงเจตนาอย่างโจ่งแจ้งว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนและพวกพ้นผิด การวิจารณ์ฝ่ายตุลาการว่าล้ำเส้นฝ่ายบริหาร การโยนความผิดของตัวให้เป็นเรื่องชั่วของคนอื่น การถูกกลั่นแกล้งขององค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ เหล่านี้ล้วนถูกตอบโต้เกือบจะทันที
นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ตั้งคำถามต่อสังคม 3 ข้อ ว่า 1.จะให้อาชญากรแก้ไขกฎหมายอาญาหรือไม่ 2. จะให้นักเลือกตั้งแก้ไขการทุจริตซื้อเสียงหรือไม่ 3. จะให้มิจฉาทิฐิ แก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่
ขณะที่ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด พูดชัดถึงบทบาทของศาลปกครองว่า “ขอยืนยันตุลาการศาลปกครองทุกคนทำหน้าที่ด้วยความถูกต้อง กล้าหาญ ซื่อสัตย์ สุจริต ตามกระแสรับสั่งของในหลวงทุกครั้งที่ได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ”
คิดว่า นายสมัครที่เพิ่งได้รับศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง มาไม่นานคงไม่ต้องให้ใครถอดความคำพูดของสองท่านนี้ให้ฟัง หรือ ต้องแปลไทยเป็นไทยอีก!
สังคมเขาก็เข้าใจตรงกันหมด ยกเว้นพรรคพลังประชาชน และรัฐบาลนอมินีชุดนี้ ที่แกล้งโง่ พยายามยื้อเวลาหนี ‘ตาย’ ออกไปให้นานที่สุด ทั้งๆ ที่จริงก็ตายไปแล้ว
สังคมเขารู้กันว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่เหตุแห่งทุกข์จริงๆ ของคนไทย คือ มีรัฐบาลเถื่อนๆ ที่ไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกติกาต่างหาก
เขาถามคำถามกันง่ายๆ ในวงกาแฟว่า ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากเผด็จการ เกิดจากความเกลียดชังมีข้อบกพร่องแล้ว บรรดานักเลือกตั้งอย่างพรรคพลังประชาชนลงเลือกตั้งทำไม? และตอนที่หาเสียง ทำไมไม่ชูประเด็นที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ?
แปลว่า นักเลือกตั้งพวกนี้ก็รู้อยู่แก่ใจว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ด้วย ‘ระบบ’ ถ้าโกงเลือกตั้งเข้ามาก็ต้องถูกใบเหลือง ใบแดง และหากเป็นกรรมการบริหารพรรคอาจนำไปสู่การยุบพรรคตามวรรค 2 ของมาตรา 237 ที่พยายามจะแก้ไข
ทุกคน ทุกพรรค ก็ต้องเล่นตามกติกา เหมือนกีฬา เหมือนฟุตบอล นักเตะที่ถูกใบแดงไล่ออกจากสนามยังไงๆ ก็ต้องเดินออกไป จะอุทธรณ์หรือประท้วงไม่เห็นด้วยก็ต้องกระทำหลังจากนั้น ไม่ใช่ตะแบงว่า กติกาผิดขอแก้กติกาขณะเล่น!
ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าคิดหลายคนหลายครั้ง เช่นเดียวกับสื่อที่นำมาถ่ายทอดแต่กลับถูกนายสมัครประณามและย้อนว่า ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ และขอไม่ไว้วางใจการทำหน้าที่ของสื่อ
ว่าไปแล้วก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของนายสมัครที่ไม่ไว้วางใจ ไม่เชื่อถือสื่อ แต่นายสมัครจะหลงลืมอย่างไร จะแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นานอย่างคนเขาว่ากันหรือไม่ นายสมัครก็น่าจะพอรู้ว่า ยุคสมัยนี้ ข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่สังคมได้รับรู้นั้น ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่ทีวี หนังสือพิมพ์ หากยังมีอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีพื้นที่เปิดมากมายให้คนในสังคมเขาได้นำข้อมูล นำข่าวสารมาแลกเปลี่ยนกัน อาทิ เว็บบอร์ด หรือเว็บบล็อก (Blog)
นายสมัคร ควรทราบว่า วันนี้อินเทอร์เน็ตมีอิทธิพลต่อความคิดของคนในวงสังคมมากแค่ไหน ปริมาณ 3.7 ล้านคนที่เข้าอินเทอร์เน็ตต่อวัน (สถิติจาก ทรูฮิต ดอท เน็ต) บางทีอาจจะมากกว่าพวกที่ดูละครน้ำเน่าตามฟรีทีวี และมากกว่าคนที่อ่านหนังสือพิมพ์ต่อวันด้วยซ้ำ
พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่นักข่าว ไม่ใช่สื่อมวลชน แต่บางคนมีความรู้สูง เป็นข้าราชการ เป็นพนักงานเอกชน เป็นนักศึกษา เป็นประชาชนที่ไม่มีวาระอะไรให้เคลือบแคลงสงสัย ทุกข้อเขียน ทุกถ้อยคำที่นำมา ‘สื่อ’ วิญญูชนที่แท้ย่อมสดับรับฟังกัน
ดังนั้น หากนายสมัคร อยากรู้ว่าคนส่วนใหญ่จากประชาชนทุกหมู่เหล่าจริงๆ เขาคิดอย่างไรกับตนเอง นายสมัครลองใช้เจ้าหน้าที่สำนักนายกฯ เปิดคอมพิวเตอร์ให้ดูก็ได้จะพบว่า เรื่องราวที่แบบนายสมัครเอาพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์มาประณาม เอาจดหมายของทางบ้าน (ที่ไม่มีใครทราบว่า เขียนเอง อ่านเอง ตอบเองหรือไม่) มาด่าตัวเองนั้น มีจำนวนนับพันนับหมื่นชิ้นต่อวัน
มากมายจนนายสมัครอาจจะอุทานด้วยความตกใจว่า ‘โอ้โฮ’ อย่างที่ชอบพูดติดปาก ทำไมมันมากมายเช่นนี้!
นายสมัครควรต้องทราบเสียทีว่า การเมืองประเภทตีสำนวนโวหารไปวันๆ เอาข้อมูลข้อเท็จจริงบิดเบือนไปวันๆ หลอกประชาชนได้ไม่ง่ายเหมือนสมัยอดีตแล้ว
รายการพูดข้างเดียววันอาทิตย์กลายเป็นรายการที่หาสาระไม่ได้ ไม่ต่างจากการแสดงจำอวด ที่คนในสังคมหัวเราะเยาะ สมเพชที่มีนายกฯ เช่นนี้
ทว่า เมื่ออาทิตย์ก่อน นายสมัครจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม มีเรื่องหนึ่งที่เขาพูดแล้วฟังได้มีสาระ และน่าจะมีสาระที่สุดเท่าที่จัดรายการมา คือ ช่วงหยิบกระดาษใบหนึ่งมาอ่านแล้วบอกว่า เป็นจดหมายมาจากทางบ้านเขียนเข้ามา
นายสมัครอ่านว่า “ไอ้สมัครบ้ากิน ตะกละ ไปไหนก็เร่ไปทำกับข้าว ที่สำคัญที่สุดทำเสร็จทั้งหมดแทนที่จะให้นักข่าวหรือคนในพื้นที่กิน เรียกว่า แจกเขาน่ะ เพราะ วัตถุดิบตัวเองก็ไม่ได้ซื้อมา พอทำเสร็จแล้ว ขนกลับบ้านหมด โอ้โฮ แน่จริง เขาบอกไอ้อุบาทว์ ทำอะไรต่างๆ บริหารบ้านเมืองก็ทำไม่เป็น ไม่มีความสามารถจะสะเออะอยากจะมาเป็นนายกฯ เพื่อจะได้บันทึกประวัติศาสตร์ตัวเอง แม้จะได้มาเป็นก็เพราะว่ามีใครเป็นคนจัดการมาให้ต่างๆ
ไม่มีศักดิ์ศรี อำนาจ พลเมืองจำนวนมาก เขาทุเรศพฤติกรรมของแกจะแย่อยู่แล้ว นอกจากหน้าตาบุคลิกจะอุบาทว์แล้ว นิสัยยังถ่อยฉะนั้น ที่เกิดมาไม่เคยพบเห็นนายกรัฐมนตรีที่จะมีความเลว ความถ่อยสถุล พับผ่าสิ วันหนึ่งไม่เห็นจะบริหารอะไร ดีแต่ปากเห่าไปวันๆ ให้สัมภาษณ์ไปวันๆ เสร็จแล้วว่าอย่างไร ขอแช่งให้มันตายปุบปับ แผ่นดินไทยจะได้สูงขึ้น”
หลายคนบ่นเสียดาย เพราะวันนั้นนายสมัครพูดเร็วไปฟังไม่ทัน หรือไม่ก็ติดธุระไม่ทันได้ดู วันอาทิตย์นี้จึงอยากให้นายสมัครเอาจดหมายฉบับนี้มาอ่านออกอากาศซ้ำอีกครั้ง และขอให้อ่านช้าๆ
สาระสำคัญเช่นนี้ใครเล่าอยากจะพลาด!
ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อก http://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th