รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550) เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งสำหรับรัฐบาลหุ่น นายสมัคร สุนทรเวช ทั้งนี้เนื่องจากนายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต่างพ้นจากหน้าที่เพราะศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดว่า การที่คู่สมรสของนายไชยา สะสมทรัพย์ ถือครองหุ้นเกิน 5% และไม่ปรากฏว่านายไชยา ได้แจ้งให้ประธานกรรมการ ป.ป.ช.ทราบว่า ประสงค์จะได้รับประโยชน์จากการที่คู่สมรสถือหุ้นในบริษัท ฮกเฮง จำกัด เกินกว่าร้อยละห้าของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ในบริษัทภายใน 30 วันนับแต่วันที่นายไชยา ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 269
ความเป็นรัฐมนตรีของนายไชยา จึงสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่พ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี
นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็จะเป็นอีกคนหนึ่งที่เดินตามรอยนายไชยา สะสมทรัพย์
และเพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550) นี่เองที่เป็นอุปสรรคสำคัญยิ่ง ทำให้รัฐบาลหุ่น นายสมัคร สุนทรเวช ต้องหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศใหม่ แทนนายนพดล ปัทมะ ที่ต้องลาออกไปภายหลังจากมติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 เป็นสนธิสัญญา และแถลงการณ์ร่วมที่มีเนื้อหาสาระเช่นนี้จะต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190
และเพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550) เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการเป็นผู้แทนราษฎรของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช นอกจากเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการเป็นผู้แทนราษฎรแล้ว ยังเป็นอุปสรรคต่อการดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานรัฐสภา
ซ้ำยังทำให้เขาหมดอนาคตทางการเมือง 5 ปีอีกด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ ยังอาจจะทำให้พรรคพลังประชาชนที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ อีกนับสิบต้องยุติบทบาททางการเมืองอีกด้วย หาก กกต.เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค และศาลรัฐธรรมนูญเห็นด้วย
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ยังเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวของเขาแทนที่จะเป็นอิสระ ต้องขึ้นศาลอีกหลายต่อหลายคดี เสี่ยงต่อการที่จะติดคุกติดตะราง และเสี่ยงต่อการที่จะต้องถูกยึดทรัพย์อีกต่างหาก
“เป็นเพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ทีเดียว” คนที่คิดเช่นนี้คือบรรดาพรรคพลังประชาชนทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้ง นายสมัคร พ.ต.ท.ทักษิณ
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดที่นายกรัฐมนตรีหุ่น นายสมัคร สุนทรเวช จะลั่นวาจาออกมาว่า ทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภาฯ ก็จะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญทันที
ไม่สนใจว่า การที่รัฐบาลหุ่น นายสมัคร สุนทรเวช ตกอยู่ในสภาพอันทุลักทุเลจะล้มแหล่มิล้มแหล่อยู่ในขณะนี้ ก็เนื่องจากความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 เพื่อพรรคจะได้พ้นผิด และมาตรา 309 เพื่อล้ม คตส. เพื่อทักษิณและครอบครัวของเขาจะได้เป็นอิสระ ไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลนั่นเอง
อาการเช่นนี้ของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีหุ่น ทำให้มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากสติแตกไปแล้ว
และจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติและประชาชนที่เราปล่อยให้คนสติแตกบริหารบ้านเมือง
ความที่อยากเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้นายสมัคร สุนทรเวช ลดศักดิ์ศรีตัวเองมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนตามคำขอร้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีสมาชิกพรรคขึ้นตรงต่อทักษิณ ชินวัตร
จะแต่งตั้งรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วย กรรมการบริหารรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทักษิณ
แม้กระทั่งตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรที่นายชัย ชิดชอบ มาแทน นายยงยุทธ ติยะไพรัช นั่นก็อยู่ที่การตัดสินใจของทักษิณ
ในความเห็นของนายสมัคร สุนทรเวช ก็คือ ใครจะเป็นจะตาย ใครจะอยู่ในตำแหน่งใด จะบริหารให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าหรือเสื่อมทรุด ไม่เป็นไร ไม่สนใจ ขอแต่ให้นายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็พอใจแล้ว
ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน บรรดาบริษัท บริวารของทักษิณ เห็นความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างน้อย 2 มาตราคือ มาตรา 237 และมาตรา 309 เพื่อพรรคพลังประชาชนที่รองหัวหน้าพรรคทำผิดกฎหมายเลือกตั้งต้องได้รับใบแดง และจะส่งผลให้มีการยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคหนึ่ง และทำให้ทักษิณและครอบครัวต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอีกหนึ่ง สมัครก็ยอมกลืนน้ำลาย ยอมพลิกลิ้นจากที่เคยบอกว่า รัฐบาลหุ่นของเขาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายของการทำหน้าที่รัฐบาล
และเมื่อลงมือจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจริงๆ ประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสนก็ออกมาคัดค้าน ในที่สุดความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เลิกไป
เลิกไปด้วยอาการบอบช้ำของรัฐบาล
แต่ความอยากเป็นนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช ทำให้เขาสติแตก ไม่รู้จักสรุปบทเรียน ไม่รู้ความผิดพลาดของรัฐบาลหุ่นที่ตัวเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ 4-5 เดือนที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีหุ่น ไม่ได้เอาเวลาไปบริหารบ้านเมือง แก้ไขปัญหาของบ้านเมืองเลย
4-5 เดือนที่ผ่านมา คิดแต่ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้พวกเขาพ้นผิด เพื่อให้ทักษิณซึ่งมีบุญคุณกับพวกเขายิ่งเสียกว่าบิดาบังเกิดเกล้าพ้นผิด ไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชนอันเนื่องมาจากค่าครองชีพ
เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช มีปัญหาข้อสงสัยว่าทำผิดรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐบาลหุ่นของเขามีปัญหาว่าทำผิดรัฐธรรมนูญ แทนที่เขาจะพิจารณาตัวเอง แทนที่จะสรุปบทเรียนว่าจะไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ทำผิดรัฐธรรมนูญ พวกเขากลับบอกว่า ที่เป็นเช่นนี้ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ดี รัฐธรรมนูญมีข้อบกพร่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไข
นี่เพราะอาการสติแตกของ นายสมัคร สุนทรเวช โดยแท้
แน่นอน รัฐธรรมนูญที่นายสมัคร พ.ต.ท.ทักษิณ และบริษัทบริวารของเขาต้องการก็คือ
1. ตัดมาตรา 190 ออกไป เพื่อให้การทำสนธิสัญญาหรือแถลงการณ์ใดๆ ข้อตกลงใดๆ กับต่างประเทศ จะทำให้ประเทศชาติและประชาชนไทยเสียเปรียบอย่างไรก็ได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ประโยชน์ เช่น อาจจะได้สัมปทานการทำมาหากินในต่างประเทศ (ทำสถานกาสิโน สัมปทานแหล่งพลังงาน) ไทยจะเสียเปรียบบ้าง ก็ไม่เป็นไร
เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องให้สภาฯ รับรู้ ไม่ต้องให้ประชาชนคนไทยรับรู้
2. ตัดมาตรา 237 ออกไป ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะซื้อสิทธิเสียงยังไงก็ได้ ถือเป็นเสรีภาพอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เช่น เอาปลาทูเค็มไปแลกคะแนนที่ศรีสะเกษ หรือซื้อเสียงกันอย่างเอิกเกริกที่เรียกกันว่า โรคร้อยเอ็ด
นายสมัคร สุนทรเวช พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และบริษัทบริวารของเขา คงอยากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกหลายต่อหลายมาตรา เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือคู่สมรสจะถือหุ้น หรือจะมีทรัพย์สินสักเท่าไรก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี คนนั้นๆ เป็นเสรีภาพ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของสังคมทุนนิยม
ใครจะรวย ใครจะจน เป็นเรื่องของคนคนนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องแจ้ง ป.ป.ช.และไม่ขัดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
นอกจากรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเป็นใครก็ได้ จะชั่วช้าสามานย์อย่างไร จะมีคดีฟ้องร้องในศาลแพ่ง ศาลอาญาให้ระงับไว้ก่อน หรือให้ยกเลิกไปเลย เพราะถือว่าได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชนแล้ว
เอาอย่างนี้ไหมละครับ ฯพณฯ หอกหัก
ความเป็นรัฐมนตรีของนายไชยา จึงสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่พ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี
นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็จะเป็นอีกคนหนึ่งที่เดินตามรอยนายไชยา สะสมทรัพย์
และเพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550) นี่เองที่เป็นอุปสรรคสำคัญยิ่ง ทำให้รัฐบาลหุ่น นายสมัคร สุนทรเวช ต้องหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศใหม่ แทนนายนพดล ปัทมะ ที่ต้องลาออกไปภายหลังจากมติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 เป็นสนธิสัญญา และแถลงการณ์ร่วมที่มีเนื้อหาสาระเช่นนี้จะต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190
และเพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550) เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการเป็นผู้แทนราษฎรของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช นอกจากเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการเป็นผู้แทนราษฎรแล้ว ยังเป็นอุปสรรคต่อการดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานรัฐสภา
ซ้ำยังทำให้เขาหมดอนาคตทางการเมือง 5 ปีอีกด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ ยังอาจจะทำให้พรรคพลังประชาชนที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ อีกนับสิบต้องยุติบทบาททางการเมืองอีกด้วย หาก กกต.เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค และศาลรัฐธรรมนูญเห็นด้วย
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ยังเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวของเขาแทนที่จะเป็นอิสระ ต้องขึ้นศาลอีกหลายต่อหลายคดี เสี่ยงต่อการที่จะติดคุกติดตะราง และเสี่ยงต่อการที่จะต้องถูกยึดทรัพย์อีกต่างหาก
“เป็นเพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ทีเดียว” คนที่คิดเช่นนี้คือบรรดาพรรคพลังประชาชนทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้ง นายสมัคร พ.ต.ท.ทักษิณ
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดที่นายกรัฐมนตรีหุ่น นายสมัคร สุนทรเวช จะลั่นวาจาออกมาว่า ทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภาฯ ก็จะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญทันที
ไม่สนใจว่า การที่รัฐบาลหุ่น นายสมัคร สุนทรเวช ตกอยู่ในสภาพอันทุลักทุเลจะล้มแหล่มิล้มแหล่อยู่ในขณะนี้ ก็เนื่องจากความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 เพื่อพรรคจะได้พ้นผิด และมาตรา 309 เพื่อล้ม คตส. เพื่อทักษิณและครอบครัวของเขาจะได้เป็นอิสระ ไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลนั่นเอง
อาการเช่นนี้ของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีหุ่น ทำให้มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากสติแตกไปแล้ว
และจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติและประชาชนที่เราปล่อยให้คนสติแตกบริหารบ้านเมือง
ความที่อยากเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้นายสมัคร สุนทรเวช ลดศักดิ์ศรีตัวเองมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนตามคำขอร้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีสมาชิกพรรคขึ้นตรงต่อทักษิณ ชินวัตร
จะแต่งตั้งรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วย กรรมการบริหารรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทักษิณ
แม้กระทั่งตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรที่นายชัย ชิดชอบ มาแทน นายยงยุทธ ติยะไพรัช นั่นก็อยู่ที่การตัดสินใจของทักษิณ
ในความเห็นของนายสมัคร สุนทรเวช ก็คือ ใครจะเป็นจะตาย ใครจะอยู่ในตำแหน่งใด จะบริหารให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าหรือเสื่อมทรุด ไม่เป็นไร ไม่สนใจ ขอแต่ให้นายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็พอใจแล้ว
ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน บรรดาบริษัท บริวารของทักษิณ เห็นความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างน้อย 2 มาตราคือ มาตรา 237 และมาตรา 309 เพื่อพรรคพลังประชาชนที่รองหัวหน้าพรรคทำผิดกฎหมายเลือกตั้งต้องได้รับใบแดง และจะส่งผลให้มีการยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคหนึ่ง และทำให้ทักษิณและครอบครัวต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอีกหนึ่ง สมัครก็ยอมกลืนน้ำลาย ยอมพลิกลิ้นจากที่เคยบอกว่า รัฐบาลหุ่นของเขาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายของการทำหน้าที่รัฐบาล
และเมื่อลงมือจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจริงๆ ประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสนก็ออกมาคัดค้าน ในที่สุดความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เลิกไป
เลิกไปด้วยอาการบอบช้ำของรัฐบาล
แต่ความอยากเป็นนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช ทำให้เขาสติแตก ไม่รู้จักสรุปบทเรียน ไม่รู้ความผิดพลาดของรัฐบาลหุ่นที่ตัวเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ 4-5 เดือนที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีหุ่น ไม่ได้เอาเวลาไปบริหารบ้านเมือง แก้ไขปัญหาของบ้านเมืองเลย
4-5 เดือนที่ผ่านมา คิดแต่ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้พวกเขาพ้นผิด เพื่อให้ทักษิณซึ่งมีบุญคุณกับพวกเขายิ่งเสียกว่าบิดาบังเกิดเกล้าพ้นผิด ไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชนอันเนื่องมาจากค่าครองชีพ
เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช มีปัญหาข้อสงสัยว่าทำผิดรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐบาลหุ่นของเขามีปัญหาว่าทำผิดรัฐธรรมนูญ แทนที่เขาจะพิจารณาตัวเอง แทนที่จะสรุปบทเรียนว่าจะไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ทำผิดรัฐธรรมนูญ พวกเขากลับบอกว่า ที่เป็นเช่นนี้ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ดี รัฐธรรมนูญมีข้อบกพร่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไข
นี่เพราะอาการสติแตกของ นายสมัคร สุนทรเวช โดยแท้
แน่นอน รัฐธรรมนูญที่นายสมัคร พ.ต.ท.ทักษิณ และบริษัทบริวารของเขาต้องการก็คือ
1. ตัดมาตรา 190 ออกไป เพื่อให้การทำสนธิสัญญาหรือแถลงการณ์ใดๆ ข้อตกลงใดๆ กับต่างประเทศ จะทำให้ประเทศชาติและประชาชนไทยเสียเปรียบอย่างไรก็ได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ประโยชน์ เช่น อาจจะได้สัมปทานการทำมาหากินในต่างประเทศ (ทำสถานกาสิโน สัมปทานแหล่งพลังงาน) ไทยจะเสียเปรียบบ้าง ก็ไม่เป็นไร
เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องให้สภาฯ รับรู้ ไม่ต้องให้ประชาชนคนไทยรับรู้
2. ตัดมาตรา 237 ออกไป ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะซื้อสิทธิเสียงยังไงก็ได้ ถือเป็นเสรีภาพอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เช่น เอาปลาทูเค็มไปแลกคะแนนที่ศรีสะเกษ หรือซื้อเสียงกันอย่างเอิกเกริกที่เรียกกันว่า โรคร้อยเอ็ด
นายสมัคร สุนทรเวช พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และบริษัทบริวารของเขา คงอยากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกหลายต่อหลายมาตรา เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือคู่สมรสจะถือหุ้น หรือจะมีทรัพย์สินสักเท่าไรก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี คนนั้นๆ เป็นเสรีภาพ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของสังคมทุนนิยม
ใครจะรวย ใครจะจน เป็นเรื่องของคนคนนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องแจ้ง ป.ป.ช.และไม่ขัดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
นอกจากรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเป็นใครก็ได้ จะชั่วช้าสามานย์อย่างไร จะมีคดีฟ้องร้องในศาลแพ่ง ศาลอาญาให้ระงับไว้ก่อน หรือให้ยกเลิกไปเลย เพราะถือว่าได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชนแล้ว
เอาอย่างนี้ไหมละครับ ฯพณฯ หอกหัก