“ประพันธ์ คูณมี” แฉ “พ่อยี้ห้อย” มั่วนิ่มแจงบัญชีทรัพย์สิน ระบุชัด ขณะเป็นประธานรัฐสภา คู่สมรสยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัท ศิลาชัยบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นคู่สัมปทานกับรัฐมาตั้งแต่ปี 49 จนถึง พ.ค.51 ตั้งข้อสังเกตแจงบัญชีมีหุ้นถึง 21 ล้านบาท ขณะที่ทุนจดทะเบียนมีหุ้นเพียง 15 ล้านบาท ฟันธง ชะตากรรมสุดท้ายตกเก้าอี้ตาม “ยุทธ ตู้เย็น” แน่นอน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายประพันธ์ คูณมี ปราศรัย
วันนี้ (26 มิ.ย.) เมื่อเวลา 19.21น. นายประพันธ์ คูณมี อดีต สนช. กล่าวบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า วันนี้มีเรื่องของนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา มาฝาก ที่เลวพอๆ กับนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา เป็นไปทั้งกระบวนการ ซึ่งเชื่อว่าหลังจากตนพูดจบไม่เกินพรุ่งนี้มะรืนนี้ นายชัยถูกยื่นถอดถอนแน่ เรื่องนี้ใหญ่กว่ากรณีของนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม อีก
นายประพันธ์ กล่าวว่า นายชัย ชิดชอบ ตามรัฐธรรมนูญเขาถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และปัจจุบันเป็นประธานรัฐสภา ด้วยการสนับสนุนของกระบวนการยี้ห้อย การดำรงตำแน่งทางการเมืองของส.ส.มีหน้าที่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา263 ที่บัญญัติไว้ว่า
“ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้ใดจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยต่อไป
ถ้าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่าผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองผู้ใดกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งในวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย โดยให้นำบทบัญญัติมาตรา 92 มาใช้บังคับโดยอนุโลมและผู้นั้นต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยด้วย”
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า นายชัยได้แจ้งรายการบัญชีทรัพย์สินของตนเองและนางละออง ชิดชอบ คู่สมรส เมื่อวันที่ 21 ม.ค.51 หน้าที่8 หมวดที่สาม ว่าด้วยเงินลงทุน แสดงว่านายชัยมีหุ้นอยู่บริษัท ศิลาชัยบุรีรัมย์ (1991) จำกัด จำนวน 75,000 หุ้น เป็นเงิน 7.5 ล้านบาท หุ้นละ100บาท ส่วนนางละออง มี 135,000 หุ้น เป็นเงิน 13.5ล้านบาท เมื่อรวมทั้งสองคนจะมีหุ้นทั้งสิ้น 2.1แสนหุ้น เป็นเงิน รวม 21 ล้านบาท
“แต่จากการตรวจสอบพบว่า หนังสือรับรองของบริษัทนี้ ที่แจ้งกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ออกเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.51 พบว่า เป็นนิติบุคคลจำกัด มีทุนจดทะเบียนเพียง 15ล้านบาท แต่นายชัยแจ้งบัญชีทรัพย์สินเกินล่วงหน้าไปแล้ว 21 ล้านบาท แสดงว่าเตรียมจะทำอะไรนี่ หุ้นจริงๆ มีเพียง 15 ล้านบาท”
นอกจากนั้น บริษัทนี้ได้มีหนังสือเมื่อวันที่ 12 พ.ค. ส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ครั้งที่1 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. แจ้งว่ากรรมการผู้ขอจดทะเบียนครั้งนี้ ดำเนินการโดยถูกต้องทุกอย่าง และมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 7 พ.ค. เมื่อเวลา 10.30 น. มีกรรมการผู้ถือหุ้นเข้าประชุมจำนวน 7 คน นับจำนวนหุ้นได้ 150,000 หุ้น โดยนางละออง เป็นประธานที่ประชุม และนางละอองได้ลาออกจากการเป็นกรรมการเมื่อวันที่ 30 เม.ย. โดยให้มีผลวันที่ 7 พ.ค. สรุปว่ามาลาออกหลังจากนายชัย เป็นประธานรัฐสภาแล้ว และเมื่อดูเอกสารที่นายชัย ยื่นต่อกรมทะเบียนการค้าฯ จ.บุรีรัมย์ มีการแสดงเงินลงทุนในบริษัทฯ รวมกัน 21 ล้านบาท
เพราะฉะนั้น การยื่นบัญชีทรัพย์สินของนายชัยครั้งนี้ จึงเป็นการยื่นบัญชีรายการทรัพย์สิน ด้วยรายการข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จ บอกว่ามีหุ้น 75,000 หุ้น แต่ความจริงมีเพียง 7,500หุ้น เมื่อหักลบแล้ว แสดงว่าแจ้งเท็จไป 67,500 หุ้น เฉพาะของนายชัย เป็นเงิน 6.75 ล้านบาท
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นี่ความผิดขั้นที่หนึ่ง แล้วความผิดการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ถามว่านายชัยรู้ตัวไหม นายชัยเป็นประธานรัฐสภา เป็นส.ส. ยื่นบัญชีมาหลายครั้งแล้ว และรู้อยู่แก่ใจ และก็เป็นคนเซ็นรับรองความถูกต้องบัญชีรายการทรัพย์สินชุดนี้ และเป็นประธานรัฐสภา และเป็นนักการเมืองมาหลายสมัย ยากที่จะปฏิเสธได้ เพราะฉะนั้นการแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินของนายชัยผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 263”
นายประพันธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้อยู่เพียงแต่นี้ โยงไปถึงเรื่องรัฐธรรมนูญ มาตรา265(2) ที่บัญญัติไว้ว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้อง “..ไม่รับหรือแทรกแซงหรือก้าวก่ายการเข้ารับสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับ สัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม”
อีกทั้งในมาตรา 265 ยังระบุว่า “ให้นำความใน (2) (3) และ (4) มาใช้บังคับกับคู่สมรสและบุตรของสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา และบุคคลอื่นซึ่งมิใช่คู่สมรสและบุตรของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือ”
นายประพันธ์ กล่าวว่า ปัญหาของนายชัยคือ นอกจากแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ แต่ก็ถือว่าตัวเองเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทนี้แล้ว จากการตรวจสอบรายการรายได้ของบริษัทและธุรกิจที่บริษัทนี้ประกอบ พบว่า ตามแบบสำเนาสบ.3 แบบส่งงบการเงินรอบปีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค.49 บริษัท ศิลาชัย ได้ระบุสินค้าและประกอบการที่ต้วเองกระทำ คือทำธุรกิจโม่บดย่อยหิน โดยมีอัตราร้อยละ 99.84 สรุปแล้วทำธุรกิจเรื่องนี้เกือบร้อยเปอร์เซ็น โดยการประกอบธุรกิจสิ้นสุดตามที่กล่าวมา บริษัทจ่ายค่าสัมปทานปี 48และ49 เป็นเงิน ปีละ102,850บาท ปีและมีค่าภาคหลวงแร่ปีละล้านกว่าบาท
“จึงเห็นได้ว่าจากรายการดังกล่าว รายได้ของบริษัทนี้คือรายได้จากสัมปทานทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นนางละอองซึ่งเป็นคู่สมรสของนายชัยยังเป็นคู่สัมปทานกับรัฐ จนกระทั่งก่อนถึงวันที่ลาออกเมื่อวันที่ 7พ.ค.51 ตลอดเวลาที่นายชัยเป็นส.ส. และดำรงตำแหน่งอยู่ บริษัทนี้ยังเป็นคู่สัมปทานกับรัฐมาโดยตลอด ฉะนั้นนายชัยและนางละออง จึงกระทำความผิดรัฐธรรมนูญ”
นายประพันธ์ กล่าวว่า ถ้ายังจำกันได้ นายทักษิณต้องลาออกจาก รมว.ต่างประเทศมาแล้ว ก็เพราะเป็นคู่สัญญากับรัฐ ขาดคุณสมบัติ ทั้งสองเรื่องชี้เห็นว่านายชัยเป็นโมฆบุรุษ ขาดคุณสมบัติที่จะเป็นส.ส.และประธานรัฐสภาแล้ว อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ เป็นหน้าที่ของ ส.ส. ส.ว. ตนชี้เป้าให้แล้ว ท่านต้องไปดำเนินการยื่น ป.ป.ช.ดำเนินการตามกฎหมาย ในสุดนายชัยก็ต้องตามนายยงยุทธไปอีกแน่นอน