“ไชยา” แจงบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเจตนาซุกหุ้นภรรยา ลั่นไม่ลาออกจากตำแหน่ง รมว.สธ. ชี้แจง ป.ป.ช.ช้า เพราะงานกระทรวงยุ่ง ระบุ ถ้าทุจริต ประพฤติมิชอบ ปลอมวุฒิการศึกษาจึงเข้าข่ายมีการกระทำต้องห้ามรัฐธรรมนูญต้องลาออก
กรณีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมนำกรณี นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อาจขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา 182(7) เพราะมีการกระทำอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 269 หรือไม่ เนื่องจาก นางจุไร สะสมทรัพย์ ภรรยา ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวเกินกว่าร้อยละ 5 ของทุนจดทะเบียน ตาม พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 ซึ่งตามมาตรา 269 บัญญัติ ว่า ถ้ารัฐมนตรี (รวมถึงภรรยาและบุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ) ประสงค์จะถือหุ้นดังกล่าวต้องแจ้งต่อประธาน ป.ป.ช.ภายใน 30 วันนับแต่ได้รับการแต่งตั้ง แต่เนื่องจากนายไชยาเพิ่งทำหนังสือแจ้งมายัง ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 2 เมษายน ซึ่งช้ากว่าที่กำหนดเกือบ 1 เดือน ทั้งนี้ จะนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมวันที่ 8 เมษายนนั้น
นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ตนไม่มีเจตนาปกปิดข้อมูลการถือหุ้นของภรรยา บัญชีรายการทรัพย์สินเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด เมื่อไปดูคู่มือที่ ป.ป.ช.แจกมาก็ไม่มีการระบุถึง สัดส่วนการถือหุ้นของภรรยา ระบุแต่รัฐมนตรีเท่านั้น จึงเข้าใจว่า การแจ้งต่อประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า ในเรื่องการจะรับประโยชน์จากการถือหุ้นในบริษัทนั้นต้องแจ้งเฉพาะตัวรัฐมนตรี ไม่รวมถึงภรรยา ทั้งในกฎหมายก็ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าจะต้องแจ้ง แต่เมื่อพบว่าการถือหุ้นดังกล่าวอาจมีปัญหา ตนก็เป็นผู้ที่เร่งทำหนังสือแจ้งต่อประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทันที ในวันที่ 2 เมษายนด้วยตัวเอง โดยแจ้งให้ทราบว่า นางจุไร สะสมทรัพย์ ภรรยาซึ่งถือหุ้นบริษัท ทรัพย์ฮกเฮง จำกัด จำนวน 25,000 หุ้น มูลค่า 2,500,000 บาท เท่ากับถือหุ้นร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน ประสงค์จะถือหุ้นและรับประโยชน์จากหุ้นบริษัทดังกล่าวต่อไป ดังนั้นจึงรอผลการพิจารณาว่าจะเป็นอย่างไร
“ส่วนสาเหตุที่ทำให้แจ้งล่าช้า เป็นเพราะช่วงที่เข้ารับตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข มีปัญหาภาระงานยุ่งมาก ทำให้ไม่ได้ดูแลจัดการด้วยตัวเอง แต่ได้ว่าจ้างให้บริษัทเป็นผู้ดูแลจัดการให้ภายหลังทราบว่าเข้าข่ายมีปัญหา ก็ถือความบริสุทธิ์ใจแจ้งไปยังป.ป.ช.ทันที เพื่อแสดงบัญชีทรัพย์สินตามจริง ถ้าจะปกปิด คงไม่ทำหนังสือแจ้ง ป.ป.ช.” นายไชยา กล่าว
ต่อข้อถามว่า จะแสดงสปิริตโดยการลาออกหรือไม่ นายไชยา กล่าวว่า ต้องแยกแยะว่า ถ้าเป็นข้อบกพร่อง เช่น เรื่องวุฒิทางการศึกษา ทุจริต ประพฤติมิชอบ อาจเข้าข่ายต้องลาออก เพราะมีการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าเป็นเรื่องการถือหุ้นเป็นคนละเรื่อง ไม่น่าจะเป็นปัญหา
เมื่อถามว่า ท้อใจหรือไม่ เมื่อเกิดปัญหาการถือหุ้นแทรกเข้ามาอีก นายไชยา กล่าวว่า ไม่เป็นไร กำลังใจยังดีอยู่ เป็นนักการเมืองก็ต้องเจอปัญหาแบบนี้เป็นธรรมดา
กรณีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมนำกรณี นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อาจขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา 182(7) เพราะมีการกระทำอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 269 หรือไม่ เนื่องจาก นางจุไร สะสมทรัพย์ ภรรยา ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวเกินกว่าร้อยละ 5 ของทุนจดทะเบียน ตาม พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 ซึ่งตามมาตรา 269 บัญญัติ ว่า ถ้ารัฐมนตรี (รวมถึงภรรยาและบุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ) ประสงค์จะถือหุ้นดังกล่าวต้องแจ้งต่อประธาน ป.ป.ช.ภายใน 30 วันนับแต่ได้รับการแต่งตั้ง แต่เนื่องจากนายไชยาเพิ่งทำหนังสือแจ้งมายัง ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 2 เมษายน ซึ่งช้ากว่าที่กำหนดเกือบ 1 เดือน ทั้งนี้ จะนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมวันที่ 8 เมษายนนั้น
นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ตนไม่มีเจตนาปกปิดข้อมูลการถือหุ้นของภรรยา บัญชีรายการทรัพย์สินเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด เมื่อไปดูคู่มือที่ ป.ป.ช.แจกมาก็ไม่มีการระบุถึง สัดส่วนการถือหุ้นของภรรยา ระบุแต่รัฐมนตรีเท่านั้น จึงเข้าใจว่า การแจ้งต่อประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า ในเรื่องการจะรับประโยชน์จากการถือหุ้นในบริษัทนั้นต้องแจ้งเฉพาะตัวรัฐมนตรี ไม่รวมถึงภรรยา ทั้งในกฎหมายก็ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าจะต้องแจ้ง แต่เมื่อพบว่าการถือหุ้นดังกล่าวอาจมีปัญหา ตนก็เป็นผู้ที่เร่งทำหนังสือแจ้งต่อประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทันที ในวันที่ 2 เมษายนด้วยตัวเอง โดยแจ้งให้ทราบว่า นางจุไร สะสมทรัพย์ ภรรยาซึ่งถือหุ้นบริษัท ทรัพย์ฮกเฮง จำกัด จำนวน 25,000 หุ้น มูลค่า 2,500,000 บาท เท่ากับถือหุ้นร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน ประสงค์จะถือหุ้นและรับประโยชน์จากหุ้นบริษัทดังกล่าวต่อไป ดังนั้นจึงรอผลการพิจารณาว่าจะเป็นอย่างไร
“ส่วนสาเหตุที่ทำให้แจ้งล่าช้า เป็นเพราะช่วงที่เข้ารับตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข มีปัญหาภาระงานยุ่งมาก ทำให้ไม่ได้ดูแลจัดการด้วยตัวเอง แต่ได้ว่าจ้างให้บริษัทเป็นผู้ดูแลจัดการให้ภายหลังทราบว่าเข้าข่ายมีปัญหา ก็ถือความบริสุทธิ์ใจแจ้งไปยังป.ป.ช.ทันที เพื่อแสดงบัญชีทรัพย์สินตามจริง ถ้าจะปกปิด คงไม่ทำหนังสือแจ้ง ป.ป.ช.” นายไชยา กล่าว
ต่อข้อถามว่า จะแสดงสปิริตโดยการลาออกหรือไม่ นายไชยา กล่าวว่า ต้องแยกแยะว่า ถ้าเป็นข้อบกพร่อง เช่น เรื่องวุฒิทางการศึกษา ทุจริต ประพฤติมิชอบ อาจเข้าข่ายต้องลาออก เพราะมีการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าเป็นเรื่องการถือหุ้นเป็นคนละเรื่อง ไม่น่าจะเป็นปัญหา
เมื่อถามว่า ท้อใจหรือไม่ เมื่อเกิดปัญหาการถือหุ้นแทรกเข้ามาอีก นายไชยา กล่าวว่า ไม่เป็นไร กำลังใจยังดีอยู่ เป็นนักการเมืองก็ต้องเจอปัญหาแบบนี้เป็นธรรมดา