ฝ่ายค้านยำ “มิ่งขวัญ” บริหารงานล้มเหลว แถมปล่อยไอ้โม่งใส่สูทจ้องงาบค่าคอมมิชชั่นข้าว “สมัคร” ทนไม่ไหวลุกแจง ที่โดดมาดูข้าวเพราะอยากช่วย ยันที่ต้องดึงข้าวฟิลิปปินส์ออก เพราะไม่ไว้ใจข้าราชการพาณิชย์ที่มุ่งเอื้อแต่ผู้ส่งออก หลังถูกหักหน้าเอาออเดอร์ข้าวมาเลเซียไปประเคนให้ก่อนหน้านี้ แย้มข้าวในสต๊อก 2.1 ล้านตัน จะนำออกขายแน่ “มิ่งขวัญ” เผยการปูดตัวเลขราคาข้าว ไม่ใช่จ้องปั่นราคา แต่เพื่อให้ชาวนารู้ทัน ลั่นหากข้าวราคาไม่ถึง 30,000 บาท/ตัน จะลาออกเอง
วานนี้ (26 มิ.ย.) มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เริ่มขึ้นเวลา 09.30 น. มี พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งเป็นการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ต่อเป็นวันที่ 3 และเป็นวันสุดท้ายสำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เริ่มอภิปรายนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เป็นคนแรก
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เริ่มต้นการอภิปราย โดยระบุว่า การบริหารงานของนายมิ่งขวัญล้มเหลวและผิดพลาดหลายครั้ง ส่งผลให้ประเทศชาติเสียหาย โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพง ที่มีการจัดโครงการธงฟ้าต่างๆ แต่ช่วยผู้บริโภคได้ไม่ถึง 1% ขณะเดียวกัน ยังมีการแทรกแซงกลไกราคา และกลไกตลาด โดยไม่ดูปัญหาที่แท้จริงว่าเกิดจากปัญหาราคาน้ำมัน ไม่ใช่เกิดจากการปั่นราคา หรือการเก็งกำไรของพ่อค้า
“ความสามารถของท่านในการประชาสัมพันธ์ ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าท่านเป็นเทวดามาช่วยยามทุกข์เข็ญ แต่ทำงานล้มเหลว แก้ปัญหาไม่เหมาะสม ใช้วิธีแก้ปัญหาไม่เป็น เรื่องเงินเฟ้อไม่ใช่หน้าที่กระทรวงพาณิชย์ แต่ก็เข้าไปทำ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของกระทรวงการคลัง ที่ต้องกำหนดนโยบายการคลัง เป็นเรื่องของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ต้องกำหนดนโยบายการเงิน”นายไตรรงค์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีการบริหารงานผิดพลาดในเรื่องการแก้ไขปัญหาหมูแพง มีการเข้าไปแทรกแซงราคาที่กิโลกรัมละ 98 บาท แต่ก็ล้มเหลว เพราะประชาชนทั่วไปต้องการซื้อหมูถูก แต่ไม่มีขาย ต้องซื้อในราคา 120 บาทเหมือนเดิม ส่วนเรื่องข้าว ก็บริหารงานผิดพลาด มีการปั่นราคาข้าวจะขึ้นถึงตันละ 3 หมื่นบาท ทำให้เกิดการเก็งกำไรไปหมด โรงสีไม่ยอมขายข้าวให้ผู้ส่งออก ผู้ส่งออกไม่มีข้าวส่งมอบ ทำให้ปั่นป่วน และยังมีการทำข้าวถุงธงฟ้าออกมา ทำให้ผู้ซื้อชะลอการซื้อ ราคาข้าวตกต่ำ
ขณะเดียวกัน งานที่ควรจะทำก็ไม่ทำ เช่น การยกเลิกการเรียกเก็บเซอร์ชาร์จอาหารสัตว์เพื่อช่วยเหลือผู้เลี้ยงสัตว์ การควบคุมธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งข้ามชาติที่ทำให้ระบบค้าปลีกในประเทศล่มสลาย
นายไตรรงค์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาปุ๋ยมีราคาแพง เห็นว่านายมิ่งขวัญมีความตั้งใจในการช่วยเหลือเกษตรกร ได้มอบหมายให้อธิบดีกรมการค้าภายในไปเจรจากับบริษัทปุ๋ย 9 ราย นำปุ๋ยราคาถูกมาขายให้กับเกษตรกร 1.5 แสนตัน กำหนดเงื่อนไขให้ชาวนาที่จะซื้อได้ต้องเป็นสมาชิกสหกรณ์ จึงมีผู้นำสหกรณ์บางรายไปรวบรวมรายชื่อสหกรณ์ที่ไม่มีเงินสดไปเบิกปุ๋ยมา 1 แสนตัน แล้วไปขายราคาตันละ 25,000 บาท ได้กำหนดเกือบพันล้านบาท เงินกำไรไปแบ่งใครบ้าง รัฐมนตรีไม่เคยติดตาม หรือสนใจ
จากนั้น นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายต่อถึงการบริหารงานที่บกพร่อง ของนายมิ่งขวัญ ซึ่งเห็นว่านอกจากจะไม่ช่วยชาวนาแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมปัญหาของชาวนาให้มากขึ้นไปอีก ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องปลดนายมิ่งขวัญ ออกจากการแก้ปัญหาข้าว พร้อมตั้งคำถามว่า ใครเป็นคนดึงเรื่องที่จะมีการจำหน่ายข้าวให้ประเทศฟิลิปปินส์ออกจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา
นายวิทยา อธิบายว่า ปีนี้น่าจะเป็นปีทองของชาวนา เพราะมีสัญญาณชี้ชัดว่าสต๊อกข้าวของโลกเริ่มลดลง จาก 100 ล้านตัน เหลือ 74 ล้านตัน ประเทศผู้ส่งออกทั้งจีน เวียดนาม อินเดีย ส่งออกข้าวไม่ได้ และไทยมีสต๊อกเหลือแค่ 2.1 ล้านตัน แต่ราคาข้าวก็ยังไม่ดีขึ้น นายมิ่งขวัญจึงได้สร้างวิกฤตใหม่ มีการประกาศให้ชาวนาเก็บข้าวไว้ ราคาจะขึ้นเป็นตันละ 3 หมื่นบาท
นายวิทยา กล่าวว่า นายมิ่งขวัญยังทำโอกาสให้เป็นวิกฤต เพราะฟิลิปปินส์จะเปิดประมูลข้าว 6.5 แสนตัน โดยมีเงื่อนไขว่ารัฐบาลจะต้องรับรองผู้ส่งออกที่จะเข้าร่วมประมูล แต่รัฐบาลปฏิเสธบอกว่าออกหนังสือรับรองให้ไม่ได้ และยังไม่เคยมีความคิดเอาองค์การคลังสินค้า (อคส.) ไปประมูลข้าว ทำให้โอกาสหายหมด ซึ่งไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ เพราะการไม่รับรองผู้ส่งออกไปประมูลข้าวฟิลิปปินส์ เป็นการช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้ออเดอร์ข้าวมาเลเซีย ให้หาซื้อข้าวราคาถูกได้ และยังมีข่าวว่ามีพวกใส่สูทไปเรียกเก็บตันละ 20 เหรียญ เพื่อไม่ให้ออกหนังสือรับรองพ่อค้าไปประมูลข้าวฟิลิปปินส์ เพราะถ้าไปแข่งประมูลได้ ก็จะทำให้ราคาข้าวในประเทศสูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยติดตามด้วยว่าใครเป็นมือที่มองไม่เห็นที่ดึงเรื่องการเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาการลงนามในบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลฟิลิปปินส์แบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) 6.75 แสนตัน ในวันที่ 10 มิ.ย.ออกไป ทั้งๆ ที่ฟิลิปปินส์จะเปิดประมูลในวันที่ 13 มิ.ย. เพราะทำให้ไทยเสียโอกาสในการขายข้าว และเวียดนามได้ข้าวจำนวนนี้ไปในราคา 820 เหรียญสหรัฐต่อตัน
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่นายวิทยาอภิปรายจบ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นมาชี้แจงก่อนนายมิ่งขวัญ โดยกล่าวว่า ผู้ที่ดึงเรื่องเอกสารเสนอไทยเข้าร่วมเจรจาขายข้าวกับประเทศฟิลิปปินส์ จำนวน 6.75 แสนตัน (จีทูจี) ออกจากการพิจารณาของครม. เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ที่ผ่านมา ชื่อนายสมัคร สุนทรเวช เพราะตนเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้บริหารประเทศ และเรื่องนี้ ข้าราชการประจำที่ฟิลิปปินส์ก็บอกว่าไม่ต้องยื่นเข้าครม. เพราะไทยสามารถขายข้าวจีทูจีให้ฟิลิปปินส์ได้เลย
ส่วนข้าวมาเลเซีย ได้ตกลงกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียว่าไทยพร้อมจะขายข้าวให้ตามที่ต้องการ 5 แสนตัน แต่ขอซื้อทันที 2 แสนตัน ประชุมกันที่โรงแรมเอราวัณ มีทูตมาเลเซีย รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ก็อยู่ด้วย ตกลงที่จะขายข้าวฉุกเฉิน 2 แสนตัน ให้มาเลเซียก่อน ในราคา 850 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่พอให้ไปเจรจากันจริงกลับให้ผู้ส่งออกเป็นผู้ขายให้มาเลเซีย และมาบอกว่าจะต้องขายในราคา 925 เหรียญสหรัฐ/ตัน บางผู้ส่งออกข้าวต้องการได้ราคาสูงถึง 970 เหรียญสหรัฐ/ตัน สุดท้ายตกลงได้ที่ราคา 940 เหรียญสหรัฐ/ตัน อย่างนี้ ใช้ไม่ได้ หักหน้านายกรัฐมนตรีตัวเอง
นายสมัคร กล่าวอีกว่า เหตุผลที่ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสต๊อกข้าวรัฐบาล 2.1 ล้านตัน ซึ่งทับซ้อนกับการตรวจสอบของคณะกรรมการที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการอยู่ เพราะได้รับรายงานว่าข้าวที่อยู่ในสต๊อกรัฐบาล เป็นสต๊อกลม ไม่มีข้าวจริง ก็ต้องต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ เพราะหากไม่มีข้าวในสต๊อกจริงตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงาน ก็ต้องมีคนติดตาราง นี่คือเล่ห์ของข้างราชการประจำ ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้ทำให้ ไม่ได้ทำเอา ใครใส่สูท ใครเป็นไอ้โม่ง ตนไม่รู้
สำหรับการตั้งคณะกรรมการดูแลข้าวขึ้นมา 4 ชุด เช่น คณะกรรมการจำนำข้าว คณะกรรมการสีแปรข้าว คณะกรรมการระบายข้าว บุคคลที่ตั้งให้มาดูแลก็เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญเรื่องข้าว เป็นนักการเมืองที่รู้เรื่องข้าว อย่างที่ให้รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาช่วยเรื่องเงื่อนในการสีแปรข้าว ก็เพราะรัฐมนตรีสมศักดิ์ เป็นผู้มีความรู้เรื่องโรงสีดี รู้สเปกทุกอย่าง สีกี่ลูกรู้เรื่องหมด ดังนั้นกรรมการที่ตนตั้งขึ้นมา ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องข้าวทั้งนั้น
ส่วนข้าวใหม่ที่ได้จากโครงการรับจำนำ จะขายจีทูจีด้วยตนเอง รวมทั้งข้าวเก่าในสต๊อกรัฐบาล 2.1 ล้านตันด้วย และเป็นราคาที่ใครก็มาว่าไม่ได้ เพราะถ้าขายได้ในราคาตันละ 900 เหรียญสหรัฐ คงไม่มีใครด่า โดยตนจะมีสูตรขายข้าวในสต๊อกรัฐบาล เช่น ขายข้าวแบบผสม หรือขายข้าวเก่า 5 ส่วน ราคา 900 เหรียญสหรัฐ/ตัน ผสมกับข้าวใหม่ 2 ส่วน จะขายในราคา 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพราะเมื่อนำมาผสมกันเวลาหุงจะพอดี เพราะข้าวใหม่ไม่นิยมกิน เนื่องจากแฉะ
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า เหตุผลที่ต้องพูดเรื่องราคาข้าว เพราะไม่ต้องการให้ชาวนาถูกเอาเปรียบ และรู้ข้อมูลทันพ่อค้า เพราะมีข้อมูลว่าปีนี้ข้าวจะขาดแคลน ความต้องการข้าวจะสูงขึ้นจากการที่ประเทศผู้ส่งออกอื่นๆ มีปัญหาในการส่งออก ถ้าไม่พูดชาวนาก็จะถูกกดราคารับซื้อข้าว และเมื่อราคาถึงตามที่พูดก็ออกมาบอกให้ชาวนาขาย
"เบื้องต้นได้สั่งให้ตรวจสต็อกข้าวมีอยู่จริงหรือไม่ทุก 15 วัน ปรากฏว่าหายไป 13,000 ตัน และขอย้ำว่าข้อมูลเรื่องข้าวมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และที่เคยบอกว่าอย่าเพิ่งขายข้าวนั้นหมายถึงข้าวนาปรังที่กำลังจะออก ขอให้เตรียมตัวไว้ให้ดีๆ อย่าให้ถูกหลอกซื้อในราคาแค่ 5,000 บาท/ตัน และยืนยันว่าถ้าบอกว่าราคาข้าวจาก 11,000 บาทจะขึ้นไปถึง 30,000 บาท/ตัน แล้วทำไม่ได้ ก็พร้อมจะพิจารณาตัวเอง โดยไม่ต้องรอให้ใครเอากระดาษอะไรมาให้ แต่จะเซ็นลาออกเอง"
ส่วนประเด็นที่ไทยไม่ได้เข้าร่วมขายข้าวที่ประเทศฟิลิปปินส์ คงไม่ต้องอธิบาย เพราะนายกรัฐมนตรีได้อธิบายไว้หมดแล้ว ว่าทำไมถึงถอนเรื่องออกจาก ครม.
สำหรับประเด็นข้าวถุงธงฟ้า นายมิ่งขวัญ ชี้แจงว่า ตอนที่ตัดสินใจทำข้าวถุงธงฟ้า เพราะราคาข้าวตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น พอเมื่อราคาข้าวตลาดโลกราคาดี ข้าวในประเทศก็ขึ้นอุตหลุด ซึ่งทุกคนก็เห็นได้จากหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับว่าข้าวถุงในประเทศขาดตลาด คนแห่ซื้อข้าว ประชาชนเดือดร้อนมาก จึงได้เรียกประชุมผู้ผลิตข้าวถุงและห้างโมเดิร์นเทรด ซึ่งผู้ผลิตข้าวถุงบอกว่าทำข้าวขึ้นมาเท่าไร ก็ไม่พอขาย อีกทั้งประสบปัญหาเงินทุนหมุนเวียน เพราะราคาข้าวขึ้นสูงขึ้น จึงได้เจรจาให้โมเดิร์นเทรดจ่ายเงินให้กับผู้ผลิตข้าวถุงต่อรอบเร็วขึ้นจาก 2-3 เดือนเป็น 1 เดือน
ขณะที่ประเด็นปุ๋ย ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาปุ๋ยที่ตั้งก็มีกรรมการจากสภาอุตสาหกรรม และสภาหอการค้าไทย ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ส่วนประเด็นที่ว่ามีการฟันกำไรปุ๋ยเกินจริงเป็นหมื่นบาทนั้น หากสมาชิกรัฐสภาคนใดมีข้อมูลว่ามีการค้ากำไรเกินจริง ขอให้ส่งเอกสารให้ตน จะดำเนินการจัดการให้ หากตรวจสอบแล้วว่ามีปรากฎการณ์อย่างนั้นจริง ตนจะจัดการให้เห็นกับตา
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการตอบกระทู้ นายมิ่งขวัญได้ขออนุญาตประธานสภาผู้แทนราษฎรเข้าห้องน้ำ ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมคลายเครียดลงมาบ้าง โดยนายมิ่งขวัญยอมรับว่า เมื่อคืนนี้ตนเองเครียดมากจนนอนไม่หลับ มีโอกาสนอนแค่ 4 ชั่วโมง เพราะนึกถึงแต่หน้าผู้อภิปรายลอยอยู่ที่หน้าตลอด พร้อมกับมองไปที่นายอาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
“วินัย”ชี้”สันติ” คมนาคมล้มเหลว
พันเอกวินัย สมพงษ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม ไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ แต่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ถือว่า ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ในการทำงาน 4 เดือน โดยงานของกระทรวงคมนาคมมีเรื่องที่ต้องแก้ไขมากมายแต่ ไม่ดำเนินงาน ถือว่า นายสันติไม่มีจิตวิญญาณในการทำงาน และไม่กล้าตัดสินใจเปลี่ยนแปลงเพื่อเลือกแนวทางที่ดีกว่า เช่นกรณี โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ เส้นทางผ่านชุมชนแต่จะสร้างเป็นระบบลอยฟ้า ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ปัญหาการจราจรระหว่างก่อสร้าง ควรก่อสร้างเป็นรถใต้ดินแต่นายสันติก็ไม่ทำ รวมถึงการดำเนินโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ โดยไม่เชื่อมต่อระหว่างสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งจะได้ประโยชน์มากขึ้นกว่า
นายสันติ พร้อมพัฒน์ ชี้แจงว่า รถไฟฟ้าสายสีม่วง ได้ดำเนินการมาก่อนที่ตนจะเข้ารับตำแหน่ง มีการสำรวจ ออกแบบ เวนคืน ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้ามารับตำแหน่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มาหารือเพื่อดำเนินการต่อ ที่รฟม. ได้ดำเนินการทุกอย่างไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวมาดูแลเพื่อให้ใช้ประโยชน์ของสถานีรถไฟฟ้าอย่างเต็มที่ ในการเพิ่มพื้นที่จอดรถสาธารณะจักรยานยนต์ รถตู้ รถฟีดเดอร์ ให้ทุกๆ สถานีเป็นรถต้นสายให้กระจายไปยังชุมชนและบ้านของประชาชนตามหมู่บ้าน
นอกจากนี้ยังเร่งรัดแผนรถไฟฟ้า 9 สายซึ่งเป็นความหวังคน กทม. และปริมณฑลซึ่งรัฐบาลก่อนไม่ได้ดำเนินการไว้เลยยกเว้นสายสีม่วง โดยให้ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ เร่งดำเนินการ ด้านสิ่งแวดล้อม ออกแบบ และเจรจาเงินกู้ ให้เสร็จในปี 2551 ส่วนการเชื่อมโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ระหว่าง 2 สนามบินนั้น ได้ให้รฟม.ดำเนินการเชื่อมเส้นทางโครงการของรถไฟสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต และสายสีเขียวช่วง หมอชิตสะพานใหม่ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบินดอนเมือง
วานนี้ (26 มิ.ย.) มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เริ่มขึ้นเวลา 09.30 น. มี พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งเป็นการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ต่อเป็นวันที่ 3 และเป็นวันสุดท้ายสำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เริ่มอภิปรายนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เป็นคนแรก
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เริ่มต้นการอภิปราย โดยระบุว่า การบริหารงานของนายมิ่งขวัญล้มเหลวและผิดพลาดหลายครั้ง ส่งผลให้ประเทศชาติเสียหาย โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพง ที่มีการจัดโครงการธงฟ้าต่างๆ แต่ช่วยผู้บริโภคได้ไม่ถึง 1% ขณะเดียวกัน ยังมีการแทรกแซงกลไกราคา และกลไกตลาด โดยไม่ดูปัญหาที่แท้จริงว่าเกิดจากปัญหาราคาน้ำมัน ไม่ใช่เกิดจากการปั่นราคา หรือการเก็งกำไรของพ่อค้า
“ความสามารถของท่านในการประชาสัมพันธ์ ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าท่านเป็นเทวดามาช่วยยามทุกข์เข็ญ แต่ทำงานล้มเหลว แก้ปัญหาไม่เหมาะสม ใช้วิธีแก้ปัญหาไม่เป็น เรื่องเงินเฟ้อไม่ใช่หน้าที่กระทรวงพาณิชย์ แต่ก็เข้าไปทำ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของกระทรวงการคลัง ที่ต้องกำหนดนโยบายการคลัง เป็นเรื่องของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ต้องกำหนดนโยบายการเงิน”นายไตรรงค์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีการบริหารงานผิดพลาดในเรื่องการแก้ไขปัญหาหมูแพง มีการเข้าไปแทรกแซงราคาที่กิโลกรัมละ 98 บาท แต่ก็ล้มเหลว เพราะประชาชนทั่วไปต้องการซื้อหมูถูก แต่ไม่มีขาย ต้องซื้อในราคา 120 บาทเหมือนเดิม ส่วนเรื่องข้าว ก็บริหารงานผิดพลาด มีการปั่นราคาข้าวจะขึ้นถึงตันละ 3 หมื่นบาท ทำให้เกิดการเก็งกำไรไปหมด โรงสีไม่ยอมขายข้าวให้ผู้ส่งออก ผู้ส่งออกไม่มีข้าวส่งมอบ ทำให้ปั่นป่วน และยังมีการทำข้าวถุงธงฟ้าออกมา ทำให้ผู้ซื้อชะลอการซื้อ ราคาข้าวตกต่ำ
ขณะเดียวกัน งานที่ควรจะทำก็ไม่ทำ เช่น การยกเลิกการเรียกเก็บเซอร์ชาร์จอาหารสัตว์เพื่อช่วยเหลือผู้เลี้ยงสัตว์ การควบคุมธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งข้ามชาติที่ทำให้ระบบค้าปลีกในประเทศล่มสลาย
นายไตรรงค์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาปุ๋ยมีราคาแพง เห็นว่านายมิ่งขวัญมีความตั้งใจในการช่วยเหลือเกษตรกร ได้มอบหมายให้อธิบดีกรมการค้าภายในไปเจรจากับบริษัทปุ๋ย 9 ราย นำปุ๋ยราคาถูกมาขายให้กับเกษตรกร 1.5 แสนตัน กำหนดเงื่อนไขให้ชาวนาที่จะซื้อได้ต้องเป็นสมาชิกสหกรณ์ จึงมีผู้นำสหกรณ์บางรายไปรวบรวมรายชื่อสหกรณ์ที่ไม่มีเงินสดไปเบิกปุ๋ยมา 1 แสนตัน แล้วไปขายราคาตันละ 25,000 บาท ได้กำหนดเกือบพันล้านบาท เงินกำไรไปแบ่งใครบ้าง รัฐมนตรีไม่เคยติดตาม หรือสนใจ
จากนั้น นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายต่อถึงการบริหารงานที่บกพร่อง ของนายมิ่งขวัญ ซึ่งเห็นว่านอกจากจะไม่ช่วยชาวนาแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมปัญหาของชาวนาให้มากขึ้นไปอีก ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องปลดนายมิ่งขวัญ ออกจากการแก้ปัญหาข้าว พร้อมตั้งคำถามว่า ใครเป็นคนดึงเรื่องที่จะมีการจำหน่ายข้าวให้ประเทศฟิลิปปินส์ออกจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา
นายวิทยา อธิบายว่า ปีนี้น่าจะเป็นปีทองของชาวนา เพราะมีสัญญาณชี้ชัดว่าสต๊อกข้าวของโลกเริ่มลดลง จาก 100 ล้านตัน เหลือ 74 ล้านตัน ประเทศผู้ส่งออกทั้งจีน เวียดนาม อินเดีย ส่งออกข้าวไม่ได้ และไทยมีสต๊อกเหลือแค่ 2.1 ล้านตัน แต่ราคาข้าวก็ยังไม่ดีขึ้น นายมิ่งขวัญจึงได้สร้างวิกฤตใหม่ มีการประกาศให้ชาวนาเก็บข้าวไว้ ราคาจะขึ้นเป็นตันละ 3 หมื่นบาท
นายวิทยา กล่าวว่า นายมิ่งขวัญยังทำโอกาสให้เป็นวิกฤต เพราะฟิลิปปินส์จะเปิดประมูลข้าว 6.5 แสนตัน โดยมีเงื่อนไขว่ารัฐบาลจะต้องรับรองผู้ส่งออกที่จะเข้าร่วมประมูล แต่รัฐบาลปฏิเสธบอกว่าออกหนังสือรับรองให้ไม่ได้ และยังไม่เคยมีความคิดเอาองค์การคลังสินค้า (อคส.) ไปประมูลข้าว ทำให้โอกาสหายหมด ซึ่งไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ เพราะการไม่รับรองผู้ส่งออกไปประมูลข้าวฟิลิปปินส์ เป็นการช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้ออเดอร์ข้าวมาเลเซีย ให้หาซื้อข้าวราคาถูกได้ และยังมีข่าวว่ามีพวกใส่สูทไปเรียกเก็บตันละ 20 เหรียญ เพื่อไม่ให้ออกหนังสือรับรองพ่อค้าไปประมูลข้าวฟิลิปปินส์ เพราะถ้าไปแข่งประมูลได้ ก็จะทำให้ราคาข้าวในประเทศสูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยติดตามด้วยว่าใครเป็นมือที่มองไม่เห็นที่ดึงเรื่องการเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาการลงนามในบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลฟิลิปปินส์แบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) 6.75 แสนตัน ในวันที่ 10 มิ.ย.ออกไป ทั้งๆ ที่ฟิลิปปินส์จะเปิดประมูลในวันที่ 13 มิ.ย. เพราะทำให้ไทยเสียโอกาสในการขายข้าว และเวียดนามได้ข้าวจำนวนนี้ไปในราคา 820 เหรียญสหรัฐต่อตัน
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่นายวิทยาอภิปรายจบ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นมาชี้แจงก่อนนายมิ่งขวัญ โดยกล่าวว่า ผู้ที่ดึงเรื่องเอกสารเสนอไทยเข้าร่วมเจรจาขายข้าวกับประเทศฟิลิปปินส์ จำนวน 6.75 แสนตัน (จีทูจี) ออกจากการพิจารณาของครม. เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ที่ผ่านมา ชื่อนายสมัคร สุนทรเวช เพราะตนเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้บริหารประเทศ และเรื่องนี้ ข้าราชการประจำที่ฟิลิปปินส์ก็บอกว่าไม่ต้องยื่นเข้าครม. เพราะไทยสามารถขายข้าวจีทูจีให้ฟิลิปปินส์ได้เลย
ส่วนข้าวมาเลเซีย ได้ตกลงกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียว่าไทยพร้อมจะขายข้าวให้ตามที่ต้องการ 5 แสนตัน แต่ขอซื้อทันที 2 แสนตัน ประชุมกันที่โรงแรมเอราวัณ มีทูตมาเลเซีย รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ก็อยู่ด้วย ตกลงที่จะขายข้าวฉุกเฉิน 2 แสนตัน ให้มาเลเซียก่อน ในราคา 850 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่พอให้ไปเจรจากันจริงกลับให้ผู้ส่งออกเป็นผู้ขายให้มาเลเซีย และมาบอกว่าจะต้องขายในราคา 925 เหรียญสหรัฐ/ตัน บางผู้ส่งออกข้าวต้องการได้ราคาสูงถึง 970 เหรียญสหรัฐ/ตัน สุดท้ายตกลงได้ที่ราคา 940 เหรียญสหรัฐ/ตัน อย่างนี้ ใช้ไม่ได้ หักหน้านายกรัฐมนตรีตัวเอง
นายสมัคร กล่าวอีกว่า เหตุผลที่ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสต๊อกข้าวรัฐบาล 2.1 ล้านตัน ซึ่งทับซ้อนกับการตรวจสอบของคณะกรรมการที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการอยู่ เพราะได้รับรายงานว่าข้าวที่อยู่ในสต๊อกรัฐบาล เป็นสต๊อกลม ไม่มีข้าวจริง ก็ต้องต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ เพราะหากไม่มีข้าวในสต๊อกจริงตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงาน ก็ต้องมีคนติดตาราง นี่คือเล่ห์ของข้างราชการประจำ ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้ทำให้ ไม่ได้ทำเอา ใครใส่สูท ใครเป็นไอ้โม่ง ตนไม่รู้
สำหรับการตั้งคณะกรรมการดูแลข้าวขึ้นมา 4 ชุด เช่น คณะกรรมการจำนำข้าว คณะกรรมการสีแปรข้าว คณะกรรมการระบายข้าว บุคคลที่ตั้งให้มาดูแลก็เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญเรื่องข้าว เป็นนักการเมืองที่รู้เรื่องข้าว อย่างที่ให้รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาช่วยเรื่องเงื่อนในการสีแปรข้าว ก็เพราะรัฐมนตรีสมศักดิ์ เป็นผู้มีความรู้เรื่องโรงสีดี รู้สเปกทุกอย่าง สีกี่ลูกรู้เรื่องหมด ดังนั้นกรรมการที่ตนตั้งขึ้นมา ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องข้าวทั้งนั้น
ส่วนข้าวใหม่ที่ได้จากโครงการรับจำนำ จะขายจีทูจีด้วยตนเอง รวมทั้งข้าวเก่าในสต๊อกรัฐบาล 2.1 ล้านตันด้วย และเป็นราคาที่ใครก็มาว่าไม่ได้ เพราะถ้าขายได้ในราคาตันละ 900 เหรียญสหรัฐ คงไม่มีใครด่า โดยตนจะมีสูตรขายข้าวในสต๊อกรัฐบาล เช่น ขายข้าวแบบผสม หรือขายข้าวเก่า 5 ส่วน ราคา 900 เหรียญสหรัฐ/ตัน ผสมกับข้าวใหม่ 2 ส่วน จะขายในราคา 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพราะเมื่อนำมาผสมกันเวลาหุงจะพอดี เพราะข้าวใหม่ไม่นิยมกิน เนื่องจากแฉะ
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า เหตุผลที่ต้องพูดเรื่องราคาข้าว เพราะไม่ต้องการให้ชาวนาถูกเอาเปรียบ และรู้ข้อมูลทันพ่อค้า เพราะมีข้อมูลว่าปีนี้ข้าวจะขาดแคลน ความต้องการข้าวจะสูงขึ้นจากการที่ประเทศผู้ส่งออกอื่นๆ มีปัญหาในการส่งออก ถ้าไม่พูดชาวนาก็จะถูกกดราคารับซื้อข้าว และเมื่อราคาถึงตามที่พูดก็ออกมาบอกให้ชาวนาขาย
"เบื้องต้นได้สั่งให้ตรวจสต็อกข้าวมีอยู่จริงหรือไม่ทุก 15 วัน ปรากฏว่าหายไป 13,000 ตัน และขอย้ำว่าข้อมูลเรื่องข้าวมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และที่เคยบอกว่าอย่าเพิ่งขายข้าวนั้นหมายถึงข้าวนาปรังที่กำลังจะออก ขอให้เตรียมตัวไว้ให้ดีๆ อย่าให้ถูกหลอกซื้อในราคาแค่ 5,000 บาท/ตัน และยืนยันว่าถ้าบอกว่าราคาข้าวจาก 11,000 บาทจะขึ้นไปถึง 30,000 บาท/ตัน แล้วทำไม่ได้ ก็พร้อมจะพิจารณาตัวเอง โดยไม่ต้องรอให้ใครเอากระดาษอะไรมาให้ แต่จะเซ็นลาออกเอง"
ส่วนประเด็นที่ไทยไม่ได้เข้าร่วมขายข้าวที่ประเทศฟิลิปปินส์ คงไม่ต้องอธิบาย เพราะนายกรัฐมนตรีได้อธิบายไว้หมดแล้ว ว่าทำไมถึงถอนเรื่องออกจาก ครม.
สำหรับประเด็นข้าวถุงธงฟ้า นายมิ่งขวัญ ชี้แจงว่า ตอนที่ตัดสินใจทำข้าวถุงธงฟ้า เพราะราคาข้าวตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น พอเมื่อราคาข้าวตลาดโลกราคาดี ข้าวในประเทศก็ขึ้นอุตหลุด ซึ่งทุกคนก็เห็นได้จากหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับว่าข้าวถุงในประเทศขาดตลาด คนแห่ซื้อข้าว ประชาชนเดือดร้อนมาก จึงได้เรียกประชุมผู้ผลิตข้าวถุงและห้างโมเดิร์นเทรด ซึ่งผู้ผลิตข้าวถุงบอกว่าทำข้าวขึ้นมาเท่าไร ก็ไม่พอขาย อีกทั้งประสบปัญหาเงินทุนหมุนเวียน เพราะราคาข้าวขึ้นสูงขึ้น จึงได้เจรจาให้โมเดิร์นเทรดจ่ายเงินให้กับผู้ผลิตข้าวถุงต่อรอบเร็วขึ้นจาก 2-3 เดือนเป็น 1 เดือน
ขณะที่ประเด็นปุ๋ย ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาปุ๋ยที่ตั้งก็มีกรรมการจากสภาอุตสาหกรรม และสภาหอการค้าไทย ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ส่วนประเด็นที่ว่ามีการฟันกำไรปุ๋ยเกินจริงเป็นหมื่นบาทนั้น หากสมาชิกรัฐสภาคนใดมีข้อมูลว่ามีการค้ากำไรเกินจริง ขอให้ส่งเอกสารให้ตน จะดำเนินการจัดการให้ หากตรวจสอบแล้วว่ามีปรากฎการณ์อย่างนั้นจริง ตนจะจัดการให้เห็นกับตา
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการตอบกระทู้ นายมิ่งขวัญได้ขออนุญาตประธานสภาผู้แทนราษฎรเข้าห้องน้ำ ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมคลายเครียดลงมาบ้าง โดยนายมิ่งขวัญยอมรับว่า เมื่อคืนนี้ตนเองเครียดมากจนนอนไม่หลับ มีโอกาสนอนแค่ 4 ชั่วโมง เพราะนึกถึงแต่หน้าผู้อภิปรายลอยอยู่ที่หน้าตลอด พร้อมกับมองไปที่นายอาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
“วินัย”ชี้”สันติ” คมนาคมล้มเหลว
พันเอกวินัย สมพงษ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม ไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ แต่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ถือว่า ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ในการทำงาน 4 เดือน โดยงานของกระทรวงคมนาคมมีเรื่องที่ต้องแก้ไขมากมายแต่ ไม่ดำเนินงาน ถือว่า นายสันติไม่มีจิตวิญญาณในการทำงาน และไม่กล้าตัดสินใจเปลี่ยนแปลงเพื่อเลือกแนวทางที่ดีกว่า เช่นกรณี โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ เส้นทางผ่านชุมชนแต่จะสร้างเป็นระบบลอยฟ้า ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ปัญหาการจราจรระหว่างก่อสร้าง ควรก่อสร้างเป็นรถใต้ดินแต่นายสันติก็ไม่ทำ รวมถึงการดำเนินโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ โดยไม่เชื่อมต่อระหว่างสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งจะได้ประโยชน์มากขึ้นกว่า
นายสันติ พร้อมพัฒน์ ชี้แจงว่า รถไฟฟ้าสายสีม่วง ได้ดำเนินการมาก่อนที่ตนจะเข้ารับตำแหน่ง มีการสำรวจ ออกแบบ เวนคืน ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้ามารับตำแหน่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มาหารือเพื่อดำเนินการต่อ ที่รฟม. ได้ดำเนินการทุกอย่างไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวมาดูแลเพื่อให้ใช้ประโยชน์ของสถานีรถไฟฟ้าอย่างเต็มที่ ในการเพิ่มพื้นที่จอดรถสาธารณะจักรยานยนต์ รถตู้ รถฟีดเดอร์ ให้ทุกๆ สถานีเป็นรถต้นสายให้กระจายไปยังชุมชนและบ้านของประชาชนตามหมู่บ้าน
นอกจากนี้ยังเร่งรัดแผนรถไฟฟ้า 9 สายซึ่งเป็นความหวังคน กทม. และปริมณฑลซึ่งรัฐบาลก่อนไม่ได้ดำเนินการไว้เลยยกเว้นสายสีม่วง โดยให้ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ เร่งดำเนินการ ด้านสิ่งแวดล้อม ออกแบบ และเจรจาเงินกู้ ให้เสร็จในปี 2551 ส่วนการเชื่อมโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ระหว่าง 2 สนามบินนั้น ได้ให้รฟม.ดำเนินการเชื่อมเส้นทางโครงการของรถไฟสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต และสายสีเขียวช่วง หมอชิตสะพานใหม่ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบินดอนเมือง