xs
xsm
sm
md
lg

ขุนพล ปชป.เรียงคิว “มิ่ง” เดี้ยงคาสภา เปิดโปงไอ้โม่งฟาดหัวคิวข้าว 20 ดอลลาร์/ตัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์
“ไตรรงค์-วิทยา” เรียงคิวสับ “มิ่งขวัญ” บริหารงานผิดพลาด แก้ไขปัญหามั่ว-อ่อนด้อยประสบการณ์ หวังแค่อยากเห็นตัวเองดังออกข่าวในทีวี ชี้ ปมธงฟ้า-ออเดอร์ข้าวฟิลิปปินส์ 6.5 ล้านตัน ทำตลาดข้าวปั่นป่วน เพราะมีเหลือบใส่สูททำมาหากินบนหลังชาวนา เรียกเก็บหัวคิวตันละ 20 เหรียญสหรัฐฯ แต่เกิดผิดพลาด ไอ้โม่งเสียประโยชน์ เลยมีคำสั่งโละทิ้งบอร์ดพาณิชย์ทั้งยวง

วันนี้ (26 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เริ่มขึ้นเวลา 09.30 น.โดยมี พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งเป็นการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ต่อเป็นวันที่ 3 และเป็นวันสุดท้ายสำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เริ่มที่การอภิปราย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นคนแรก

โดย นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้กล่าวถึงการทำงานด้านแก้ไขปัญหาราคาสินค้าของ นายมิ่งขวัญ รมว.พาณิชย์ ไม่ได้เป็นไปตามกรอบของอำนาจและหน้าที่จนเกิดความผิดพลาดหลายครั้งส่งผลให้ประเทศชาติเสียหาย

ขณะนี้จะเห็นว่าบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ที่รุกเข้ามาในประเทศไทยบางแห่งมาจากประเทศอังกฤษ ประเทศฝรั่งเศส และมีบางแห่งที่ใช้ชื่อฝรั่งแต่จดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งไม่รู้ว่ามีการใช้นอมินีหรือไม่ ซึ่งมีการขนเงินออกประเทศไปอย่างมหาศาล

นายไตรรงค์ ระบุว่า สิ่งที่ นายมิ่งขวัญ ทำหน้าที่แก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพง อาทิ โครงการธงฟ้าต่างๆ ช่วยผู้บริโภคทั่วประเทศได้ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ แต่ความสามารถในการประชาสัมพันธ์ของท่านทำให้ประชาชนรู้สึกว่าท่านเป็นเทวดามาช่วยยามทุกข์เข็ญ

นายไตรรงค์ ยกตัวอย่างปัญหาราคาหมู ราคาหน้าเขียงเพิ่มจาก 85 บาท/กก.ขึ้นเป็น 120 บาท/กก.เมื่อทำหมูธงฟ้าก็ทำให้ตลาดสั่นคลอน โดยแทรกแซงราคาที่ 98 บาท แต่ล้มเหลวอีก เพราะประชาชนทั่วประเทศต้องการซื้อหมูถูก แต่ไม่มีจำหน่าย และต้องซื้อในราคา 120 บาท/กก.เหมือนเดิม ซึ่งท้ายที่สุด ผลที่ออกมาจากการแก้ไขปัญหาราคาสินค้า ทำให้ไทยขาดดุลการค้าสูงสุดในรอบ 12 ปี

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ส่งเสริมให้ภาคเอกชนไปขยายตลาดในต่างประเทศและดูแลการค้าในประเทศให้เป็นธรรม ดังนั้นผู้มาทำหน้าที่ รมว.พาณิชย์ จะต้องรู้ว่าอะไรเป็นปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้นและระยะยาว ไม่เช่นนั้นหากไม่เข้าใจจะทำให้เกิดความสับสนในการบริหารประเทศ

การตัดสินใจบางอย่างของกระทรวงพาณิชย์ เป็นไปในลักษณะแทรกแซงกลไกราคา และกลไกการตลาด ซึ่งอาจเหมาะสำหรับเศรษฐกิจขนาดเล็ก แต่ไม่เหมาะสำหรับการนำมาใช้แทรกแซงระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยเฉพาะปัญหาเงินเฟ้อ หรือราคาสินค้าที่แพงขึ้นโดยรวม เพราะหากใช้การแทรกแซงกับราคาสินค้าที่มีราคาแพงก็จะแก้ปัญหาได้ไม่ยั่งยืน เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อที่แท้จริง เกิดจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ไม่ใช่การกดหรือปั่นราคาของพ่อค้าคนกลางเหมือนกับสินค้าเกษตร

“เราอาจใช้มาตรการในการแก้ปัญหาระยะสั้นไปแก้ปัญหาระยะยาว เราอาจใช้วิธีการแก้ปัญหาระดับเล็กที่เรียกว่า micro problem เอาไปแก้ปัญหา macro problem ที่เป็นปัญหาระดับชาติ มันใช้ไม่ได้” นายไตรรงค์ กล่าว

ปัญหาเรื่องเงินเฟ้อที่ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้นในปัจจุบัน กระทรวงพาณิชย์จะไปใช้มาตรการระยะสั้นไม่ได้ และไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ แต่เป็นเรื่องของกระทรวงการคลังที่จะกำหนดนโยบายการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะกำหนดนโยบายการเงิน

นายไตรรงค์ ยังระบุว่า การตัดสินบางอย่างของกระทรวงพาณิชย์ เป็นไปในลักษณะการแทรกแซงกลไกราคา และกลไกการตลาด ซึ่งอาจเหมาะสมกับเศรษฐกิจขนาดเล็ก เช่น การแทรกแซงสินค้าเกษตรบางประเภท แต่ไม่เหมาะจะนำมาใช้แทรกแซงเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยเฉพาะปัญหาเงินเฟ้อและสินค้าที่แพงขึ้นโดยรวม เพราะหากใช้วิธีแทรกแซงกับราคาสินค้าที่มีราคาแพงก็จะแก้ปัญหาได้ไม่ยั่งยืน เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อที่แท้จริงเกิดจากปัญหาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่การกดหรือปั่นของพ่อค้าคนกลางเหมือนอย่างกับสินค้าการเกษตร

นายไตรรงค์ กล่าวอีกว่า ยังมีปัญหาหลายเรื่องที่ รมว.พาณิชย์ ยังไม่ได้ทำ เช่น การยกเลิกการเรียกเก็บเซอร์ชาร์จอาหารสัตว์เพื่อช่วยเหลือผู้เลี้ยงสัตว์, การควบคุมธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งข้ามชาติที่ทำให้ระบบค้าปลีกในประเทศล่มสลาย แต่สิ่งที่ รมว.พาณิชย์ ได้ทำไปแทนที่จะเกิดประโยชน์กลับกลายเป็นโทษ เช่น ควบคุมราคาขายปลีกเนื้อหมู , ควบคุมราคาปุ๋ย , นำข้าวมาบรรจุถุงขายปลีก

“เมื่อรัฐมนตรีพาณิชย์ประกาศว่าจะนำข้าวในสต๊อก 2.1 ล้านตัน มาทำข้าวราคาถูกทำให้เกิดความคาดหวังในอนาคตทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ต่างชาติชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอให้ราคาต่ำลง”

นอกจากนี้ การที่ รมว.พาณิชย์ ออกมาประกาศว่าราคาข้าวจะขึ้นไปถึงตันละ 30,000 หมื่นบาท ส่งผลให้โรงสีไม่ยอมขายข้าวให้ผู้ส่งออก ผู้ส่งออกหาข้าวไปส่งตามออเดอร์ไม่ได้ทำให้ถูกปรับและเสียตลาด จนเดี๋ยวนี้ตลาดไม่เชื่อถือคำพูดของ รมว.พาณิชย์ แล้ว

“วิธีนั้นมันใช้ได้ถ้าตลาดเป็นของผู้ซื้อ แต่ช่วงนั้นมันเป็นตลาดของผู้ขาย เพราะสินค้าไม่มี ท่านควรจะรู้ว่า ความไม่รู้มันสร้างความเสียหายได้ แสดงถึงความอ่อนด้อยและสติปัญญาในการทำงาน”

นอกจากนี้ นโยบายช่วยเหลือเกษตรกร ในการขอความร่วมมือจากผู้ค้าปุ๋ย 9 บริษัทให้ขายปุ๋ย 3 แสนตันในราคาถูก แต่ไม่ได้มีกระบวนการติดตามดูแลและตรวจสอบจนส่งผลให้มีการแสวงหาผลประโยชน์ แต่ท่านดูแต่เรื่องนโยบายไม่ได้ดูแลโครงสร้างของราคาที่แท้จริง ท่านให้อธิบดีกรมการค้าภายในเรียกบริษัทปุ๋ยมา 9 แห่งเจรจาขอซื้อ 150,000 ตันในราคาตันละ 14,000 บาท ซึ่งหลังจากที่มีการเจรจาเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่า ราคาปุ๋ยเพิ่มราคาสูงขึ้นจากเดิม 15,000 บาทเป็น 25,000 บาท รัฐมนตรีก็ดีใจว่าจะได้ช่วยเหลือเกษตรกร โดยได้กำหนดว่าชาวไร่ชาวนาที่จะซื้อปุ๋ยได้นั้นต้องเป็นสมาชิกสหกรณ์ของกระทรวงเกษตรฯ

“ท่านไม่รู้เลยว่าสหกรณ์หลายแห่งไม่มีเงินสดที่จะมาซื้อปุ๋ย และมีผู้นำสหกรณ์บางคนที่หัวเซ็งลี้ ไปรวบรวมรายชื่อสหกรณ์ที่ไม่มีเงินสดแล้วนำไปเบิกปุ๋ยมา 100,000 ตันแล้วนำไปขายตันละ 25,000 บาทขายได้เกือบพันล้าน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯไม่ได้ติดตามข้างหลังว่าเขาทำอะไรกันบ้าง ต้องฟังหลายๆ ที่ไม่ใช่ฟังแค่เพื่อนที่นุ่งกางเกงขาสั้นของท่านเท่านั้น เพราะมีการนำเงินเกือบพันล้านไปแบ่งกันมีนักการเมืองได้ประโยชน์ และเท่าที่ตนตรวจสอบข่าวไม่พบว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีเอี่ยวในเรื่องนี้ จริงเท็จประการใดให้ท่านปฏิเสธได้ แต่เชื่อได้เลยว่ามีคนอื่นได้ประโยชน์แน่นอน มีการใช้ความลำบากของคนยากจนมาหากิน”

“ท่านรัฐมนตรีพาณิชย์ใช้อำนาจความเป็นรัฐมนตรีไปปล้นทรัพย์บริษัทปุ๋ยแล้วเอาเงินไปแจกให้กับผู้นำเกษตรกร นักการเมือง และข้าราชการ ท่านตั้งใจดี แต่บริหารงานไม่เป็น และไม่ติดตามเลยแค่ประชาสัมพันธ์ไปวันๆ เพื่อสร้างภาพตัวเอง ต้องการเห็นการออกทีวีตอนกลับบ้าน และอิ่มอกอิ่มใจเท่านั้น”

นายไตรรงค์ ยังตำหนิ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ที่ยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เพราะไปพูดกับต่างชาติว่าปัญหาของประเทศไทยคือความไม่สมดุลย์ เพราะไปพึ่งการส่งออกมากถึง 70% ส่วนที่เหลืออีกกว่า 20% เป็นการบริโภคภายในประเทศ

“ที่ท่านพูดไม่ใช่วิชาเศรษฐศาสตร์เลย ไม่น่าเชื่อว่าจะออกจากปากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วันหลังต้องให้เขา (ข้าราชการกระทรวงการคลัง) อ่าน speech ก่อนที่จะไปพูดกับธารกำนัล มันอายเขา คำพูดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังมีความหมายมากในทางเศรษฐกิจ จะมาพูดพล่อยๆ ไม่ได้ รวมถึงรัฐมนตรีพาณิชย์ และผู้ว่าการแบงก์ชาติด้วย” นายไตรรงค์ กล่าว

**วิทยา ชี้ปม "มิ่ง" ขยันแต่โง่ เปิดช่องเหลือบใส่สูททำมาหากิน

โดยเมื่อเวลา 11.00 น.นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายต่อถึงการบริหารงานที่บกพร่อง ของ นายมิ่งขวัญ ซึ่งเห็นว่านอกจากจะไม่ช่วยชาวนาแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมปัญหาของชาวนาให้มากขึ้นไปอีก ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องปลด นายมิ่งขวัญ ออกจากการแก้ปัญหาราคาข้าว พร้อมตั้งคำถามว่า ใครเป็นคนดึงเรื่องที่จะมีการจำหน่ายข้าวให้ประเทศฟิลิปปินส์ออกจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายให้กับชาวนา

นายวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเรื่องสำคัญที่สุดอย่างข้าว ชาวนาทั้งประเทศ 20 ล้านคนปีนี้ควรเป็นปีทองของชาวนา เพราะประการที่ 1.สัญญาณเริ่มส่งออก คือ จากเดิมสต๊อกข้าวในโลกเรามี 100 ล้านตัน แต่เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาลดลงเรื่อยๆ จนเหลือ 74 ล้านตัน ในขณะที่ประชาชนปลูกข้าวเพิ่มทั้งโลกแต่คนบริโภคเพิ่มขึ้นมากกว่าคนที่ปลูกข้าวได้ การเพิ่มสต๊อกข้าวเป็นเรื่องยากมาก เป็นวิกฤตที่1ของโลก ที่บอกตั้งแต่ปีที่แล้วว่าปีนี้ข้าวจะราคาขึ้น ประการที่ 2.เป็นวิกฤตของเพื่อนที่สร้างโอกาสให้เรา เพื่อนบ้านมีวิกฤติธรรมชาติ จีน เวียดนาม ออสเตรเลียปลูกข้าวไม่ได้ และ 3.รัฐบาลไทยในอดีตรับจำนำข้าวไว้ตั้งแต่ปี 2546-2548 เหลือในสต๊อกทั้งหมด 2.1 ล้านตันเพียงแค่นี้ชาวนาต้องได้ประโยชน์เต็มๆ

นายวิทยา กล่าวอีกว่า ยังไม่พอในฐานะนักประชาสัมพันธ์ท่านยังได้เพิ่มวิกฤต คือ คำพูดของตัวเอง รมว.พาณิชย์ ออกโทรทัศน์และประกาศย้ำว่า ออเดอร์ 6.5 แสนตันกำลังรอเราอยู่ ข้าวเปลือกจาก 7 พันบาท เป็น 2 หมื่นบาท ชาวนาอย่าเพิ่งขายข้าว เก็บไว้ 3 เดือนจะเป็น 3 หมื่นบาทต่อตัน จากนั้นข้าวสารหายจากแผงห้างสรรพสินค้า คนแตกตื่นทั้งประเทศ บ่นข้าวแพง ผู้ส่งออกต้องทิ้งสัญญาที่ขายเพราะหาข้าวไม่ได้ ท่านไม่เข้าใจเรื่องบริหารข้าวและชาวนา ชาวนาที่ไหนมีสต๊อกข้าว ชาวนาเกี่ยวข้าวด้วยเครื่องแล้วบรรจุถุงขายกันกลางนาออกจากมือขาวนาไปหมด แต่ที่พ่อค้าหาซื้อไม่ได้ไม่ใช่ความผิดของชาวนาเพราะโรงสีไม่ยอมขาย ใครจะไปขายของถูกรอขายของแพงดีกว่าวิกฤติเกิดทั้งประเทศ จากนั้นไม่นานก็ไปออกรายการกรองสถานการณ์ว่า วันนี้บอกว่าขายได้แล้วแปบเดียวเพราะวิกฤตเกิดทั้งบ้านเมืองชาวบ้านต้องกักตุน

นายวิทยา ยังกล่าวอีกว่า วิกฤตที่ท่านสร้างนักธุรกิจอยากไปทำนามันหอมจนเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติมาซื้อที่ดินเงียบๆ คิดจะขายอาชีพทำนากัน แต่หันกลับไปดูชาวนายิ่งทำยิ่งจนไม่ทันเงินเฟ้อและในชนบทต้องซื้อของแพงกว่าคนในเมืองตลอดโดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ซื้อดีเซลลิตรละ 45 บาท วันที่ท่านประกาศว่าขายข้าวได้ 1.4 หมื่นบาทแต่ความเป็นจริงขายได้ 9.5 พันบาท มันหายไปตรงไหน และส่งออกต่างประเทศอย่างน้อยต้องได้ ตันละ 850เหรียญ โดยผู้ส่งออกต้องมาซื้อที่โรงสี 2.7 หมื่นบาท แต่กลับซื้อเพียง 2.3 หมื่นบาทหายไปได้อย่างไร

“ตอนนี้ บรรดาเพื่อน ส.ส.ทุกคน ต้องช่วยผมเพราะวันนี้ เพราะมีไอ้โม่งที่ใส่สูตร และทำตัวเป็นเหลือบดูดเลือดชาวนา จำได้ไหม คำพูดที่ รมว.พาณิชย์ บอกว่า ออเดอร์ 6.5 แสนตันรออยู่ และมาถึงจริงๆ ประเทศฟิลิปปินส์เปิดประมูลข้าวผู้ส่งออกไทยเดินไปร่วมประมูลและส่งข่าวออกว่าฟิลิปปินส์ต้องการหนังสือรับรองจากรัฐบาลเพราะถ้าไม่มีเขาไม่ให้ประมูล แต่รัฐบาลไทยปฎิเสธหมดออกหนังสือรับรองให้ไม่ได้ ไปผูกพันแทนพ่อค้าไม่ได้พูดก็ถูกถ้าขายไปราคาข้าวในประเทศจะสูงขึ้นแต่เราไปปิดโอกาสให้ด้วยการไม่ออกหนังสือรับรองแถมรมว.พาณิชย์ไม่เคยมีความเอาองค์การคลังสินค้า (อคส.) ไปประมูลข้าว โอกาสหายหมด นอกจากนี้ มีในวงการค้าข้าวมีออเดอร์จากมาเลเซีย 3 แสนตันที่ผู้ส่งออกหาข้าวไม่ได้ มีการบอกว่าพวกใส่สูทไปเรียกเก็บตันละ 20 เหรียญ เพื่อไม่ออกหนังสือให้พ่อค้าข้าวไปประมูลที่ฟิลิปปินส์ เพื่อไม่ให้อคส.ไปประมูลข้าวแข่งกับฟิลิปปินส์เพื่อไม่ให้ข้าวภายในประเทศราคาขึ้น เพื่อให้พ่อค้าส่งออกไปมาเลเซียซื้อข้าวราคาถูกก่อนส่งไปขายในมาเลเซีย” นายวิทยากล่าว

นายวิทยา กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ท่านกระทืบชาวนาครั้งที่ 1 ข้าวราคาไม่ขึ้น ยังไม่พอนายกรัฐมนตรี เดินทางไปฟิลิปปินส์เพื่อลงนามร่วมกันว่าจะขายข้าวให้ เรื่องนี้ตนได้รับเอกสารจากส.ส.ที่ป่วยอยู่ใน รพ.โดยระบุว่า ประเทศฟิลิปปินส์จะเปิดประมูลข้าวในวันที่ 13 มิ.ย.และมี 2 ประเทศที่จะประมูลได้ คือ ไทย กับ เวียดนาม โดยได้มีการทำหนังสือติดต่อมายังสถานฑูตไทยในฟิลิปปินส์และแจ้งกลับมายังรัฐมนตรี

ทั้งนี้ นายวิทยา ระบุว่า ตนเองไม่เชื่อว่ารัฐมนตรีคนนี้จะร่วมทุจริตครั้งนี้ แต่ท่านไร้ความสามารถ เพราะ รมว.พาณิชย์ ได้ทำหนังสือที่ พณ.0307/1585 ถึงเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเสนอรายละเอียดบอกว่ากระทรวงพาณิชย์ขอเรียนกระทรวงเกษตรของฟิลิปปินส์ได้มีหนังสือถึงสถานเอกอัครราชฑูตไทย ณ กรุงมะนิลา แจ้งการเสนอซื้อข้าวภายใต้บันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลฟิลิปปินส์ แบบรัฐต่อรัฐ และเชิญรัฐบาลไทยเข้าร่วมโดยมีนรายละเอียดเงื่อนไข ดังนี้

วันยื่นซอง 13 มิ.ย.2551 ปริมาณ 6.75 แสนตัน ท่านเลยทำหนังสือขอให้เลขาธิการครม.ช่วยเสนอเป็นวาระจรเพื่อขออนุมัติจากครม.ให้ขายข้าวในระบบรัฐต่อรัฐ 6.75 แสนตัน และก็เสนอเข้าที่ประชุมครม. โดยประชุมครม.วันที่ 10 มิ.ย.และโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีก็แถลงว่าไม่มีการเสนอบันทึกในการขอนุมัติขายข้าวให้ฟิลิปปินส์เพราะเลขาธิการครม.ดึงเรื่องออกไป ต่อมานายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมข.พาณิชย์บอกว่าไม่ได้ดึงเรื่องออกเพราะไปต่างประเทศกลับมา เลยเป็นปริศนาตาอยู่ว่าใครดึงเรื่องนี้ จนในที่สุด 13 มิ.ย.เวียดนามขายข้าวได้ในราคา 820 เหรียญสหรัฐต่อตัน เท่ากับว่าโอกาสเป็นวิกฤตไปหมด

“ชีวิตของ รมว.พาณิชย์ แขวนอยู่คนที่ชื่อ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เพราะนายกฯ แถลงแล้วว่าเมื่อวันที่ชี้แจงต่อวุฒิสภา ว่า ไม่ไว้ใจกระทรวงพาณิชย์ไปจับมือฮั้วกับผู้ส่งออก 5 ราย ตั้งทีมประชุมในวันที่ รมว.พาณิชย์ ไปต่างประเทศยกเลิกธงฟ้า ประกาศรับจำนำเองให้ รมว.คลัง มาทำหน้าที่ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ไม่มีส่วนในการขายข้าวเลย ต้องการให้ รมว.พาณิชย์ หรือ รมช.ตอบด้วยว่าใครเป็นมือที่มองไม่เห็นดึงหนังสือที่ลงนามโดย รมว.พาณิชย์เพื่อขออนุมัติ ครม.ขายข้าวออกจากวารการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา

**แฉเส้นทางเซลส์แมน สู่ตำแหน่ง รมต.อ่อนหัด

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา นายมิ่งขวัญ ถือเป็นรัฐมนตรีที่ชิงพื้นที่สื่อได้มากที่สุด เพราะทุกครั้งที่มีการถามถึงราคาสินค้าแพง ก็จะบอกว่าท่านก็จะพูดจนคนทั้งประเทศเคลิ้มและเชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจของท่าน แต่ระยะเวลาที่ผ่านท่านทำได้ทำให้เกิดความเสียหายมากจนไว้วางใจไม่ได้ นายมิ่งขวัญ เข้ามาสู่วงการขายรถยนต์ ก็ถือว่าโดดเด่นที่สุดในการประชาสัมพันธ์องค์กรเช่นเดียวกับการทำงานใน อสมท โดยมีผลงานโดดเด่น คือ การปลดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ จนต้องไปสัญจรและทิ้งท้ายด้วย 19 ก.ย.คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ยึดอำนาจ ท่านปล่อยโอกาสสุดท้ายให้อดีตนายกฯถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์

นายวิทยา กล่าวอีกว่า ท่านได้เข้ามาทำหน้าที่ในทางการเมืองเต็มรูปแบบในตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชาชน ด้วยการออกรายการโทรทัศน์ประกาศ 3 ยุทธศาสตร์ ประชานิยมดั้งเดิม สูตรพิเศษ และหารายได้เข้าประเทศ จากนักสร้างภาพจนเป็นผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจ กระตุ้นการท่องเที่ยว ยิ่งฟังเงินยิ่งเต็มฟ้าทุกคนต่างมีความหวังรวมทั้งตนด้วย พอเป็นรมว.พาณิชย์ก็เป็นรัฐมนตรีที่ออกทีวีมากที่สุด ในภาวะสินค้าราคาแพง ประกาศลดราคา 33 รายการ และเพิ่มเป็น 66 รายการ รวมเอาสินค้าโปรโมชันที่กำลังลดเข้าไปอีก จนปั่นป่วนเพราะประชาชนไม่สามารถหาซื้อสินค้าได้ แต่ท่านก็ไม่หยุดข่าว เรื่องหมูท่านประกาศ 98 บาทก็ล้มเหลวอีก ต่อด้วยการขอร่วมมือให้บริษัทมือถือลดราคาแต่ไม่มีให้ใครให้ความร่วมมือ ตามมาอีกด้วยเบนซินธงฟ้าทั้งหมดเป็นสิ่งที่ล้มเหลว รมว.พาณิชย์ บริหารงานด้วยการประชาสัมพันธ์ ผลที่ออกมา คือ ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาประเทศไทยขาดดุลการค้า 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐทำสถิติขาดดุลที่สุดในรอบ 12 ปี การหาเงินเข้าประเทศเป็นหน้าที่ รมว.พาณิชย์ สุดท้ายก็สะท้อนออกมาในเดือน เม.ย.ว่า ท่านดีแต่พูด

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่า คนที่ดึงเรื่องออก คือ นายกรัฐมนตรี เนื่องจากตนเองเป็นผู้เจรจากับฟิลิปปินส์ แต่ยอมรับว่าความบกพร่องของรัฐมนตรีต้องมีบ้าง แต่จะให้ปลดออกจากตำแหน่งคงไม่ได้ เพราะปัญหาความขัดแย้งเรื่องข้าวที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องของข้าราชการประจำกับรัฐมนตรี อีกทั้งตนเองไม่เห็นด้วยกับข้าราชการประจำที่ดำเนินการมาโดยตลอด ดังนั้นจึงต้องลงมาแก้ปัญหาเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น