พาณิชย์แฉซ้ำมือที่มองไม่เห็นสั่งปรับเอ็มโอยูซื้อขายข้าวกับฟิลิปปินส์ใหม่ หวังปูทางงาบค่าคอมมิชชั่นให้ง่ายขึ้น วัดใจ “มิ่งขวัญ” โดดหรือปล่อย แถมยังดึงลูกตั้งบอร์ด อคส. หวังส่งคนตัวเองเข้ามาเสียบเพื่อคุมเกมเบ็ดเสร็จ ล่าสุด “สมัคร” หวังบี้ “มิ่ง” ให้ตาย ลงนามด่วนตั้งปลัดสำนักนายกฯ เป็นประธาน พร้อมอนุฯ 36 คณะ สอบข้าวหาย 2.1 ล้านตันใหม่อีกรอบ ดัน “เลขานายกฯ เป็นที่ปรึกษาฯ” จับตามีข้าราชการพัวพันข้าวในสต็อกหาย บิ๊ก ธ.ก.ส.ยันเปิดรับจำนำข้าว 3.5 ล้านตัน 35,000 ล้าน 15 มิ.ย.แน่
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังมีความพยายามจากผู้ใหญ่บางคนในรัฐบาลให้ปรับรายละเอียดของบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าว (เอ็มโอเอ) ระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ใหม่ หลังจากที่ได้มีการสั่งให้ถอนเรื่องดังกล่าวออกจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพราะหากเอ็มโอเอเป็นไปตามที่กรมการค้าต่างประเทศเสนอ จะทำให้ไม่สามารถหาประโยชน์หรือค่าคอมมิชชั่นจากการซื้อขายข้าวในรูปรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) ได้
ทั้งนี้ เอ็มโอเอที่กรมการค้าต่างประเทศเสนอเข้าสู่การพิจารณาของครม.นั้น กำหนดไว้ว่ารัฐบาลไทยกับรัฐบาลฟิลิปปินส์จะตกลงซื้อขายข้าวระหว่างกันปีละประมาณ 1 ล้านตัน โดยทำสัญญาเป็นปีต่อปี และให้อำนาจรมว.พาณิชย์เป็นผู้ลงนามในสัญญาซื้อขายข้าวจำนวนดังกล่าว
“ประเด็นอยู่ที่ว่า การให้อำนาจลงนามซื้อขายข้าวเป็นของรมว.พาณิชย์ ทำให้คนที่คิดจะหาประโยชน์จากการซื้อขายข้าว หมดหนทางทำมาหากิน เพราะอำนาจจะตกมาอยู่ในมือของรมว.พาณิชย์ จึงต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลง โดยอาจจะระบุให้เป็นว่าคนที่มีอำนาจในการลงนามซื้อขายเป็นบุคคลที่รัฐบาลให้อำนาจหรือมอบหมาย ”แหล่งข่าวกล่าว
ประเด็นดังกล่าว สอดคล้องกับการแถลงข่าวของนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ที่ระบุว่า การถอนเรื่องดังกล่าวออก น่าจะเป็นเพราะมีข้อความบางส่วนในเอ็มโอเอที่ยังเป็นปัญหา หรือยังไม่ชัดเจน จึงต้องมีการปรับปรุงแก้ไขใหม่
แหล่งข่าวกล่าวว่า น่าจะมีการผลักดันเรื่องนี้ต่อ โดยการปรับปรุงเอ็มโอเอให้เป็นไปตามที่ต้องการ เพราะขณะนี้รัฐบาลกำลังเร่งรัดโครงการรับจำนำ เพื่อดึงข้าวเข้ามาอยู่ในมือมากๆ เพื่อที่จะได้นำไปขายเป็นข้าวจีทูจี เพราะมีความมั่นใจว่า ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ แม้ฟิลิปปินส์จะเปิดให้รัฐบาลต่างประเทศเสนอราคาซื้อขายข้าว ก็คงมีเพียงเวียดนามประเทศเดียวที่เสนอ และคงเสนอได้ไม่เต็มจำนวนที่ฟิลิปปินส์ต้องการ คือ 6.75 แสนตันอย่างแน่นอน และฟิลิปปินส์จะประกาศรับซื้อข้าวครั้งใหม่ในเร็วๆ นี้
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ยังมีความพยายามจากคนบางคนในรัฐบาล ที่ขัดขวางการทำงานขององค์การคลังสินค้า (อคส.) เริ่มจากตัดอคส.ออกจากโครงการรับจำนำ และไปให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำแทน เพราะสามารถควบคุมได้ แต่หากปล่อยให้อคส.ทำ การควบคุมให้เป็นไปตามต้องการทำได้ยาก และล่าสุดยังมีการขัดขวางการแต่งตั้งคณะกรรมการอคส. ทั้งๆ ที่เสนอให้ครม.พิจารณาเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. โดยมีคนบางคนดึงเรื่องออก และพยายามที่จะผลักดันคนของตัวเองเข้ามาเป็นบอร์ด เพื่อให้ควบคุมการทำงานของอคส. ให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการ
แหล่งข่าวกล่าวว่า การที่รัฐบาลให้ธ.ก.ส. เข้ามารับจำนำข้าวแทนอคส. และตั้งราคาสูงถึงตันละ 14,000 บาทนั้น เพราะรัฐบาลต้องการซื้อขาด ไม่ต้องการให้เกษตรกรมาไถ่ถอนคืน เพื่อที่จะได้มีข้าวเข้ามาอยู่ในมือจำนวนมาก และง่ายต่อการนำไปขายจีทูจี ทั้งๆ ที่ปกติการรับจำนำข้าว จะใช้ราคาตลาดย้อนหลังมาคำนวณกับราคาปัจจุบัน แล้วกำหนดราคานำตลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในการรับจำนำล่าสุด แม้รัฐบาลจะมอบให้ธ.ก.ส. เป็นเจ้าภาพในการบริหารจัดการ แต่สุดท้ายก็ได้มอบหมายให้อคส. เข้ามาดำเนินการ ทั้งการออกใบประทวน การคัดเลือกโรงสี การรับฝากข้าว โดยที่ธ.ก.ส. ไม่ได้ทำอะไรเลย
ทั้งนี้ การตรวจสอบข้าวสารในสต๊อกซ้ำอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เพิ่งมีการตรวจสอบไปไม่นานนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า จะพยายามตรวจให้เจอว่าข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลหายไป และโยนให้เป็นความรับผิดชอบของนายมิ่งขวัญ เพื่อใช้เป็นเหตุกดดันนายมิ่งขวัญ หลังจากที่ออกมาขวางการหาประโยชน์ของคนบางคนในรัฐบาล
นายวรารักษ์ ชั้นสามารถ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จากการสรุปรายงานตรวจสอบสต๊อกข้าวของรัฐทั่วประเทศเมื่อ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ข้าวในสต๊อกยังอยู่ครบตามจำนวน 2.1 ล้านตันทั้งปริมาณและคุณภาพ และกระทรวงพาณิชย์ยังได้กำหนดการตรวจสอบซ้ำอย่างต่อเนื่อง โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ-กระทรวงฯ ออกสุ่มตรวจเป็นระยะๆ ส่วนในระดับจังหวัด ได้มอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดออกตรวจสอบ ทั้งนี้ จะมีการประชุมสรุปผลทั้งหมดในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ อีกครั้ง
ส่วนผลการตรวจสต๊อกข้าวครั้งล่าสุด ข้าวในโกดังกลางของรัฐปริมาณ 1.964 ล้านตัน ข้าวในโรงสีที่รัฐฝากเก็บ 1.45 แสนตัน ขาดหาย 1.3 หมื่นตัน คิดเป็น 0.62% ทำให้รัฐมีขาวคงเหลือ 2.096 ล้านตัน โดยจังหวัดที่พบข้าวหายไป ได้แก่ พิจิตร พะเยา ชัยนาทและเชียงราย
“สมัคร”ลงนามด่วนตั้ง สปน. เป็นประธาน
วันเดียวกัน นายจุลยุทธ์ หิรัญยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เปิดเผยว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ลงนามแต่งตั้งตนเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้าวสารในสต๊อก จำนวน 2.1 ล้านตันขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ขณะที่นายธีรพล นพลัมภา เลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการชุดนี้ ทั้งนี้คณะกรรมการชุดดังกล่าวมีอำนาจในการประชุมวางแผนเพื่อดำเนินการตรวจสอบข้าวสารในสต๊อก จำนวน 2.1 ล้านตัน ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) อีกครั้ง ตามที่มีกระแสข่าวว่ามีข้าวสารจำนวนหนึ่งที่หายไป
“กรรมการฯ มีอำนาจตรวจสอบข้าวสารแบบปูพรม ในพื้นที่ 34 จังหวัด หลังจากที่มีข่าวว่าข้าวจำนวนหนึ่งหายไป ก่อนที่จะนำมาบรรจุข้าวถุงธงฟ้าเพื่อจำหน่าย จำนวน 2 แสนถุง ซึ่งเบื้องต้นกระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานมาทั้งหมดแล้วว่ามีข้าวสาร จำนวน 2.1 ล้านตัน ชนิดใด อยู่ที่โรงสีใดบ้าง โดย สปน.จะแถลงข่าวให้ทราบอีกครั้ง” ปลัด สปน.กล่าว
ทั้งนี้ นายกฯ ยังได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้าวสารในสต๊อกฯ จำนวน 36 คณะ เพื่อมาตรวจสอบโรงสีที่เก็บข้าวของ อคส.ใน 34 จังหวัด แบบปูพรม มีองค์ประกอบ ได้แก่ ผู้ตรวจสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ตรวจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ตรวจจากกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนจากกรมการข้าว ผู้แทนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ผู้แทนองค์การคลังสินค้า (อคส.) ผู้แทนกรมทางหลวง ฯลฯ มาเป็นประธานฯ ใน 36 คณะ
นายจุลยุทธ์ ยอมรับว่า ได้มีการซักซ้อมคณะทำงานโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2551 โดยมีการระดมเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ ของ สปน. กว่า 300 คน ที่ตึกสันติไมตรีมา ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรับทราบถึงกรรมวิธีขั้นตอนการปฏิบัติเบื้องต้น รวมทั้งยังได้ระดมเครื่องมือในการรับจำนำ โดยนายกรัฐมนตรีได้เข้ามาให้กำลังใจ และแจ้งว่า ขอให้ตรวจสอบด้วยความถูกต้องเพื่อจะเป็นการสร้างประโยชน์ในการรับจำนำให้แก่ชาวนา
ชี้ข้าวหายต้องมีข้าราชการพัวพัน
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลกล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้าวอีกรอบเพราะไม่มั่นใจข้าวที่เคยหายไปตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบันสูญหายไปเท่าไรกันแน่ เพราะช่วงที่นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ เป็นอธิบดีกรมการค้าภายใน ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบเกิดปัญหาข้าวในสต็อกหายไปและมีการร้องเรียนกันมาก ต่อมาจึงได้แต่งตั้งนายยรรยง พวงราช ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ตรวจราชการ เข้ามารับตำแหน่งประธานการตรวจสอบข้าวหาย และยืนยันว่าไม่มีปัญหาข้าวในหายไป ตามที่มีการร้องเรียน ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งการให้มีการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง และมั่นใจว่าจะต้องมีข้าวในสต็อกหายไปอย่างแน่นอน ซึ่งหากข้าวหายไปจริงก็จะต้องมีข้าราชการในกระทรวงพาณิชย์รู้เห็นหรือพัวพันกับข้าวในสต็อกที่หายไป
“การตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบเพราะต้องการเอาผิดกับข้าราชการที่มีส่วนพัวพันกับข้าวในสต็อกที่หายไป ซึ่งหากตรวจสอบอีกรอบและยังอยู่ปกติก็จะทำให้เกิดความโปร่งใส่แต่ที่ผ่านมีการทุจริตข้าวในโกดังจึงต้องออกมาตรวจสอบอีกรอบ “แหล่งข่าวคนเดียวกัน กล่าว
”สมัคร“ ให้นโยบายเวิร์กช็อปแก้ข้าว
ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 11.30 น. ได้มีการประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแนวทางแก้ไขปัญหาราคาข้าวอย่างเป็นรูปธรรม(เวิร์กช็อป) โดยนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ลงมายังอาคารสันติไมตรี เพื่อให้นโยบายแก้เจ้าหน้าที่ ในการแก้ไขปัญหาราคาข้าวด้วยตัวเอง โดยพล.ต.ท. วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้นายกฯได้ให้ให้นโยบายกับเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้หาข้อมูลอย่างแท้จริงกับทุกฝ่าย และหาข้อยุติที่เป็นธรรม ร่วมทั้งราคาที่เหมาะสม และให้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้มีหลายหน่วยงานทั้งชาวนา ผู้ส่งออก และหน่วยงานอื่นๆ ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด ท่านได้กำชับให้ที่ประชุมเวิร์กช็อปได้นำนโยบายที่มอบไปมาดำเนินการให้เร็วที่สุด และขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันในงานนี้ ส่วนเรื่องกระเทียมที่มีปัญหาอยู่นั้น ท่านจะพูดในรายการสนทนาประสาสมัคร ในวันอาทิตย์ที่ 15 มิ.ย. ซึ่งก็มีมาตรการที่จะแก้ไขปัญหาให้กับผู้ปลูกกระเทียมเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เรื่องปากท้องประชาชน ปัญหาราคาสินค้าแพง รัฐบาลได้ดูข้อมูลทุกวัน และได้มีการเรียกเจ้าหน้าที่มาให้ข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาทุกเรื่อง โดยเน้นที่จะให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์มากที่สุด
บิ๊ก ธ.ก.ส.ยันรับจำนำ 15 มิ.ย.แน่
วานนี้ นายธีรพงษ์ ตั้งธีระสุนันท์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ร่วมกับสมาคมชาวนาไทย สมาคมโรงสี องค์การคลังสินค้า (อคส.)และกรมการข้าว ร่วมแถลงถึงโครงการรับจำนำข้าวตามนโยบายของรัฐบาล ว่า ในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ ธ.ก.ส.จะเปิดรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2551 จากชาวนา จำนวน 3.5 ล้านตัน โดยเตรียมวงเงินไว้ 35,000 ล้านบาท
นายประสิทธิ์ บุญเฉลย นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะมีโครงการรับจำนำเพื่อดูแลปัญหาราคาข้าวตกต่ำของชาวนา แต่ยังมีปัญหาคือ ราคาที่รัฐบาลกำหนดรับจำนำตันละ 14,000 บาทต่อตันนั้นเป็นราคาข้าวหอมมะลิ 100% และมีความชื้น 15% แต่ไม่รวมข้าว 5% ที่ความชื้น 15% ซึ่งจะถูกลดราคาลงมา 200 บาท ดังนั้นจึงเสนอให้ข้าว 5% รัฐบาลรับจำนำที่ราคาเท่ากันคือ 14,000 บาทต่อตันด้วย
ส่วนเงื่อนไขที่รัฐบาลระบุจะรับจำนำจากชาวนาที่ 3.5 แสนบาทต่อรายเท่านั้น ก็อยากเสนอให้เพิ่มเป็น 7 แสนบาทต่อราย เนื่องจากก่อนหน้านี้ในราคาข้าวเปลือกที่ตันละ 5-6 พันบาท จำนวนเงิน 3.5 แสนบาทจะรับซื้อข้าวได้ 50 ตัน แต่ขณะนี้เมื่อราคาข้าวสูงที่ 1.4 หมื่นบาทจะรับจำนำได้เพียง 25 ตันเท่านั้น แล้วข้าวเปลือกที่เหลือชาวนาจะนำไปไว้ที่ใด หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ข้าวในท้องตลาดก็จะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้พ่อค้ากดราคาข้าวชาวนาได้อีก
"ที่สำคัญอยากให้รัฐลดกติกาหรือเงื่อนไขรับจำนำให้น้อยลง อย่าให้รุงรังจนนำไปสู่การคอร์รัปชั่น เพราะอะไรที่ยุ่งยากจะทำให้เกิดการประพฤตินอกลู่นอกทาง แต่ถ้าเงื่อนไขน้อยและชาวนาเข้าใจง่าย รวมถึงราคาตลาดสูงขึ้นตามราคารับจำนำ คาดจะทำให้ชาวนามาจำนำข้าวเพียง 1 ล้านตัน รัฐก็จะใช้เงินแค่ 1.4 หมื่นล้านบาท ไม่ถึง 3 หมื่นล้านตามที่รัฐตั้งไว้"นายประสิทธิ์ กล่าว
ด้าน นางนัดธิรา ลิ่ววรุญพันธ์ รอง ผอ.อคส. กล่าวว่า สำหรับ อคส.ซึ่งทำงานภายใต้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ซึ่งแต่เดิมมีกระทรวงพาณิชย์ดูแล แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นกระทรวงการคลังก็ยินดี และยืนยันว่าการทำงานของ อคส.ที่ผ่านมาได้ดูแลปรับและอุดช่องโหว่ต่างๆที่เป็นสิ่งล่อตาล่อใจให้เกิดการทุจริตได้ ซึ่งหากพบการกระทำเช่นนั้นก็จะสอบสวน ลงโทษมีทั้งที่ไล่ออก และกักตัวไม่ให้ทำงานด้านเดิมอีก
"ที่ผ่านมา อคส.เป็นจำเลยของสังคมมาตลอด แต่อยากให้พิจารณาด้วยว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง หากโรงสีไม่ให้ก็คงไม่มีใครจะรับ และยืนยันการทำงานภายใต้ธงฟ้า ทุกโรงสีที่ อคส.เข้ารับจำนำมีความชัดเจน โปร่งใส ดังนั้นที่สมาคมชาวนาอยากเห็นความโปร่งใสก็ขอให้เชื่อได้ว่าโปร่งใสแน่" นางนัดธิรา กล่าว
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังมีความพยายามจากผู้ใหญ่บางคนในรัฐบาลให้ปรับรายละเอียดของบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าว (เอ็มโอเอ) ระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ใหม่ หลังจากที่ได้มีการสั่งให้ถอนเรื่องดังกล่าวออกจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพราะหากเอ็มโอเอเป็นไปตามที่กรมการค้าต่างประเทศเสนอ จะทำให้ไม่สามารถหาประโยชน์หรือค่าคอมมิชชั่นจากการซื้อขายข้าวในรูปรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) ได้
ทั้งนี้ เอ็มโอเอที่กรมการค้าต่างประเทศเสนอเข้าสู่การพิจารณาของครม.นั้น กำหนดไว้ว่ารัฐบาลไทยกับรัฐบาลฟิลิปปินส์จะตกลงซื้อขายข้าวระหว่างกันปีละประมาณ 1 ล้านตัน โดยทำสัญญาเป็นปีต่อปี และให้อำนาจรมว.พาณิชย์เป็นผู้ลงนามในสัญญาซื้อขายข้าวจำนวนดังกล่าว
“ประเด็นอยู่ที่ว่า การให้อำนาจลงนามซื้อขายข้าวเป็นของรมว.พาณิชย์ ทำให้คนที่คิดจะหาประโยชน์จากการซื้อขายข้าว หมดหนทางทำมาหากิน เพราะอำนาจจะตกมาอยู่ในมือของรมว.พาณิชย์ จึงต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลง โดยอาจจะระบุให้เป็นว่าคนที่มีอำนาจในการลงนามซื้อขายเป็นบุคคลที่รัฐบาลให้อำนาจหรือมอบหมาย ”แหล่งข่าวกล่าว
ประเด็นดังกล่าว สอดคล้องกับการแถลงข่าวของนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ที่ระบุว่า การถอนเรื่องดังกล่าวออก น่าจะเป็นเพราะมีข้อความบางส่วนในเอ็มโอเอที่ยังเป็นปัญหา หรือยังไม่ชัดเจน จึงต้องมีการปรับปรุงแก้ไขใหม่
แหล่งข่าวกล่าวว่า น่าจะมีการผลักดันเรื่องนี้ต่อ โดยการปรับปรุงเอ็มโอเอให้เป็นไปตามที่ต้องการ เพราะขณะนี้รัฐบาลกำลังเร่งรัดโครงการรับจำนำ เพื่อดึงข้าวเข้ามาอยู่ในมือมากๆ เพื่อที่จะได้นำไปขายเป็นข้าวจีทูจี เพราะมีความมั่นใจว่า ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ แม้ฟิลิปปินส์จะเปิดให้รัฐบาลต่างประเทศเสนอราคาซื้อขายข้าว ก็คงมีเพียงเวียดนามประเทศเดียวที่เสนอ และคงเสนอได้ไม่เต็มจำนวนที่ฟิลิปปินส์ต้องการ คือ 6.75 แสนตันอย่างแน่นอน และฟิลิปปินส์จะประกาศรับซื้อข้าวครั้งใหม่ในเร็วๆ นี้
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ยังมีความพยายามจากคนบางคนในรัฐบาล ที่ขัดขวางการทำงานขององค์การคลังสินค้า (อคส.) เริ่มจากตัดอคส.ออกจากโครงการรับจำนำ และไปให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำแทน เพราะสามารถควบคุมได้ แต่หากปล่อยให้อคส.ทำ การควบคุมให้เป็นไปตามต้องการทำได้ยาก และล่าสุดยังมีการขัดขวางการแต่งตั้งคณะกรรมการอคส. ทั้งๆ ที่เสนอให้ครม.พิจารณาเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. โดยมีคนบางคนดึงเรื่องออก และพยายามที่จะผลักดันคนของตัวเองเข้ามาเป็นบอร์ด เพื่อให้ควบคุมการทำงานของอคส. ให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการ
แหล่งข่าวกล่าวว่า การที่รัฐบาลให้ธ.ก.ส. เข้ามารับจำนำข้าวแทนอคส. และตั้งราคาสูงถึงตันละ 14,000 บาทนั้น เพราะรัฐบาลต้องการซื้อขาด ไม่ต้องการให้เกษตรกรมาไถ่ถอนคืน เพื่อที่จะได้มีข้าวเข้ามาอยู่ในมือจำนวนมาก และง่ายต่อการนำไปขายจีทูจี ทั้งๆ ที่ปกติการรับจำนำข้าว จะใช้ราคาตลาดย้อนหลังมาคำนวณกับราคาปัจจุบัน แล้วกำหนดราคานำตลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในการรับจำนำล่าสุด แม้รัฐบาลจะมอบให้ธ.ก.ส. เป็นเจ้าภาพในการบริหารจัดการ แต่สุดท้ายก็ได้มอบหมายให้อคส. เข้ามาดำเนินการ ทั้งการออกใบประทวน การคัดเลือกโรงสี การรับฝากข้าว โดยที่ธ.ก.ส. ไม่ได้ทำอะไรเลย
ทั้งนี้ การตรวจสอบข้าวสารในสต๊อกซ้ำอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เพิ่งมีการตรวจสอบไปไม่นานนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า จะพยายามตรวจให้เจอว่าข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลหายไป และโยนให้เป็นความรับผิดชอบของนายมิ่งขวัญ เพื่อใช้เป็นเหตุกดดันนายมิ่งขวัญ หลังจากที่ออกมาขวางการหาประโยชน์ของคนบางคนในรัฐบาล
นายวรารักษ์ ชั้นสามารถ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จากการสรุปรายงานตรวจสอบสต๊อกข้าวของรัฐทั่วประเทศเมื่อ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ข้าวในสต๊อกยังอยู่ครบตามจำนวน 2.1 ล้านตันทั้งปริมาณและคุณภาพ และกระทรวงพาณิชย์ยังได้กำหนดการตรวจสอบซ้ำอย่างต่อเนื่อง โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ-กระทรวงฯ ออกสุ่มตรวจเป็นระยะๆ ส่วนในระดับจังหวัด ได้มอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดออกตรวจสอบ ทั้งนี้ จะมีการประชุมสรุปผลทั้งหมดในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ อีกครั้ง
ส่วนผลการตรวจสต๊อกข้าวครั้งล่าสุด ข้าวในโกดังกลางของรัฐปริมาณ 1.964 ล้านตัน ข้าวในโรงสีที่รัฐฝากเก็บ 1.45 แสนตัน ขาดหาย 1.3 หมื่นตัน คิดเป็น 0.62% ทำให้รัฐมีขาวคงเหลือ 2.096 ล้านตัน โดยจังหวัดที่พบข้าวหายไป ได้แก่ พิจิตร พะเยา ชัยนาทและเชียงราย
“สมัคร”ลงนามด่วนตั้ง สปน. เป็นประธาน
วันเดียวกัน นายจุลยุทธ์ หิรัญยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เปิดเผยว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ลงนามแต่งตั้งตนเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้าวสารในสต๊อก จำนวน 2.1 ล้านตันขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ขณะที่นายธีรพล นพลัมภา เลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการชุดนี้ ทั้งนี้คณะกรรมการชุดดังกล่าวมีอำนาจในการประชุมวางแผนเพื่อดำเนินการตรวจสอบข้าวสารในสต๊อก จำนวน 2.1 ล้านตัน ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) อีกครั้ง ตามที่มีกระแสข่าวว่ามีข้าวสารจำนวนหนึ่งที่หายไป
“กรรมการฯ มีอำนาจตรวจสอบข้าวสารแบบปูพรม ในพื้นที่ 34 จังหวัด หลังจากที่มีข่าวว่าข้าวจำนวนหนึ่งหายไป ก่อนที่จะนำมาบรรจุข้าวถุงธงฟ้าเพื่อจำหน่าย จำนวน 2 แสนถุง ซึ่งเบื้องต้นกระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานมาทั้งหมดแล้วว่ามีข้าวสาร จำนวน 2.1 ล้านตัน ชนิดใด อยู่ที่โรงสีใดบ้าง โดย สปน.จะแถลงข่าวให้ทราบอีกครั้ง” ปลัด สปน.กล่าว
ทั้งนี้ นายกฯ ยังได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้าวสารในสต๊อกฯ จำนวน 36 คณะ เพื่อมาตรวจสอบโรงสีที่เก็บข้าวของ อคส.ใน 34 จังหวัด แบบปูพรม มีองค์ประกอบ ได้แก่ ผู้ตรวจสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ตรวจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ตรวจจากกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนจากกรมการข้าว ผู้แทนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ผู้แทนองค์การคลังสินค้า (อคส.) ผู้แทนกรมทางหลวง ฯลฯ มาเป็นประธานฯ ใน 36 คณะ
นายจุลยุทธ์ ยอมรับว่า ได้มีการซักซ้อมคณะทำงานโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2551 โดยมีการระดมเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ ของ สปน. กว่า 300 คน ที่ตึกสันติไมตรีมา ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรับทราบถึงกรรมวิธีขั้นตอนการปฏิบัติเบื้องต้น รวมทั้งยังได้ระดมเครื่องมือในการรับจำนำ โดยนายกรัฐมนตรีได้เข้ามาให้กำลังใจ และแจ้งว่า ขอให้ตรวจสอบด้วยความถูกต้องเพื่อจะเป็นการสร้างประโยชน์ในการรับจำนำให้แก่ชาวนา
ชี้ข้าวหายต้องมีข้าราชการพัวพัน
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลกล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้าวอีกรอบเพราะไม่มั่นใจข้าวที่เคยหายไปตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบันสูญหายไปเท่าไรกันแน่ เพราะช่วงที่นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ เป็นอธิบดีกรมการค้าภายใน ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบเกิดปัญหาข้าวในสต็อกหายไปและมีการร้องเรียนกันมาก ต่อมาจึงได้แต่งตั้งนายยรรยง พวงราช ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ตรวจราชการ เข้ามารับตำแหน่งประธานการตรวจสอบข้าวหาย และยืนยันว่าไม่มีปัญหาข้าวในหายไป ตามที่มีการร้องเรียน ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งการให้มีการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง และมั่นใจว่าจะต้องมีข้าวในสต็อกหายไปอย่างแน่นอน ซึ่งหากข้าวหายไปจริงก็จะต้องมีข้าราชการในกระทรวงพาณิชย์รู้เห็นหรือพัวพันกับข้าวในสต็อกที่หายไป
“การตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบเพราะต้องการเอาผิดกับข้าราชการที่มีส่วนพัวพันกับข้าวในสต็อกที่หายไป ซึ่งหากตรวจสอบอีกรอบและยังอยู่ปกติก็จะทำให้เกิดความโปร่งใส่แต่ที่ผ่านมีการทุจริตข้าวในโกดังจึงต้องออกมาตรวจสอบอีกรอบ “แหล่งข่าวคนเดียวกัน กล่าว
”สมัคร“ ให้นโยบายเวิร์กช็อปแก้ข้าว
ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 11.30 น. ได้มีการประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแนวทางแก้ไขปัญหาราคาข้าวอย่างเป็นรูปธรรม(เวิร์กช็อป) โดยนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ลงมายังอาคารสันติไมตรี เพื่อให้นโยบายแก้เจ้าหน้าที่ ในการแก้ไขปัญหาราคาข้าวด้วยตัวเอง โดยพล.ต.ท. วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้นายกฯได้ให้ให้นโยบายกับเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้หาข้อมูลอย่างแท้จริงกับทุกฝ่าย และหาข้อยุติที่เป็นธรรม ร่วมทั้งราคาที่เหมาะสม และให้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้มีหลายหน่วยงานทั้งชาวนา ผู้ส่งออก และหน่วยงานอื่นๆ ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด ท่านได้กำชับให้ที่ประชุมเวิร์กช็อปได้นำนโยบายที่มอบไปมาดำเนินการให้เร็วที่สุด และขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันในงานนี้ ส่วนเรื่องกระเทียมที่มีปัญหาอยู่นั้น ท่านจะพูดในรายการสนทนาประสาสมัคร ในวันอาทิตย์ที่ 15 มิ.ย. ซึ่งก็มีมาตรการที่จะแก้ไขปัญหาให้กับผู้ปลูกกระเทียมเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เรื่องปากท้องประชาชน ปัญหาราคาสินค้าแพง รัฐบาลได้ดูข้อมูลทุกวัน และได้มีการเรียกเจ้าหน้าที่มาให้ข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาทุกเรื่อง โดยเน้นที่จะให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์มากที่สุด
บิ๊ก ธ.ก.ส.ยันรับจำนำ 15 มิ.ย.แน่
วานนี้ นายธีรพงษ์ ตั้งธีระสุนันท์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ร่วมกับสมาคมชาวนาไทย สมาคมโรงสี องค์การคลังสินค้า (อคส.)และกรมการข้าว ร่วมแถลงถึงโครงการรับจำนำข้าวตามนโยบายของรัฐบาล ว่า ในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ ธ.ก.ส.จะเปิดรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2551 จากชาวนา จำนวน 3.5 ล้านตัน โดยเตรียมวงเงินไว้ 35,000 ล้านบาท
นายประสิทธิ์ บุญเฉลย นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะมีโครงการรับจำนำเพื่อดูแลปัญหาราคาข้าวตกต่ำของชาวนา แต่ยังมีปัญหาคือ ราคาที่รัฐบาลกำหนดรับจำนำตันละ 14,000 บาทต่อตันนั้นเป็นราคาข้าวหอมมะลิ 100% และมีความชื้น 15% แต่ไม่รวมข้าว 5% ที่ความชื้น 15% ซึ่งจะถูกลดราคาลงมา 200 บาท ดังนั้นจึงเสนอให้ข้าว 5% รัฐบาลรับจำนำที่ราคาเท่ากันคือ 14,000 บาทต่อตันด้วย
ส่วนเงื่อนไขที่รัฐบาลระบุจะรับจำนำจากชาวนาที่ 3.5 แสนบาทต่อรายเท่านั้น ก็อยากเสนอให้เพิ่มเป็น 7 แสนบาทต่อราย เนื่องจากก่อนหน้านี้ในราคาข้าวเปลือกที่ตันละ 5-6 พันบาท จำนวนเงิน 3.5 แสนบาทจะรับซื้อข้าวได้ 50 ตัน แต่ขณะนี้เมื่อราคาข้าวสูงที่ 1.4 หมื่นบาทจะรับจำนำได้เพียง 25 ตันเท่านั้น แล้วข้าวเปลือกที่เหลือชาวนาจะนำไปไว้ที่ใด หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ข้าวในท้องตลาดก็จะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้พ่อค้ากดราคาข้าวชาวนาได้อีก
"ที่สำคัญอยากให้รัฐลดกติกาหรือเงื่อนไขรับจำนำให้น้อยลง อย่าให้รุงรังจนนำไปสู่การคอร์รัปชั่น เพราะอะไรที่ยุ่งยากจะทำให้เกิดการประพฤตินอกลู่นอกทาง แต่ถ้าเงื่อนไขน้อยและชาวนาเข้าใจง่าย รวมถึงราคาตลาดสูงขึ้นตามราคารับจำนำ คาดจะทำให้ชาวนามาจำนำข้าวเพียง 1 ล้านตัน รัฐก็จะใช้เงินแค่ 1.4 หมื่นล้านบาท ไม่ถึง 3 หมื่นล้านตามที่รัฐตั้งไว้"นายประสิทธิ์ กล่าว
ด้าน นางนัดธิรา ลิ่ววรุญพันธ์ รอง ผอ.อคส. กล่าวว่า สำหรับ อคส.ซึ่งทำงานภายใต้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ซึ่งแต่เดิมมีกระทรวงพาณิชย์ดูแล แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นกระทรวงการคลังก็ยินดี และยืนยันว่าการทำงานของ อคส.ที่ผ่านมาได้ดูแลปรับและอุดช่องโหว่ต่างๆที่เป็นสิ่งล่อตาล่อใจให้เกิดการทุจริตได้ ซึ่งหากพบการกระทำเช่นนั้นก็จะสอบสวน ลงโทษมีทั้งที่ไล่ออก และกักตัวไม่ให้ทำงานด้านเดิมอีก
"ที่ผ่านมา อคส.เป็นจำเลยของสังคมมาตลอด แต่อยากให้พิจารณาด้วยว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง หากโรงสีไม่ให้ก็คงไม่มีใครจะรับ และยืนยันการทำงานภายใต้ธงฟ้า ทุกโรงสีที่ อคส.เข้ารับจำนำมีความชัดเจน โปร่งใส ดังนั้นที่สมาคมชาวนาอยากเห็นความโปร่งใสก็ขอให้เชื่อได้ว่าโปร่งใสแน่" นางนัดธิรา กล่าว