ผู้จัดการรายวัน-อินโดนีเซียเตรียมซื้อข้าว 1 ล้านตัน แย้มซื้อในรูปจีทูจี ผู้ส่งออกจี้รัฐเข้าร่วมประมูล หวั่นเวียดนามซิวออเดอร์ซ้ำรอยข้าวฟิลิปปินส์ เผยหากได้มาแล้ว ส่งออกได้ไม่ให้ ก็แบ่งให้เอกชนก็ได้ วงในแนะให้จับตากระบวนการงาบค่าคอมมิชชั่น
นายสมพงษ์ กิตติเรียงลาภ ประธานกรรมการ บริษัท พงษ์ลาภ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังเปิดให้ประเทศผู้ส่งออกเสนอราคาขายข้าวปริมาณ 1 ล้านตัน โดยต้องการจะซื้อข้าวในรูปรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) ซึ่งผู้ส่งออกต้องการให้รัฐบาลไทยเข้าร่วมการเสนอราคา เพื่อเป็นช่องทางการระบายข้าวไทยอีกทางหนึ่ง เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลมีสต๊อกข้าวอยู่จำนวนมาก หากปล่อยให้มีจำนวนข้าวในสต๊อกมากเกินไปก็จะส่งผลต่อระดับราคาข้าวในประเทศได้
“กำลังดูอยู่ว่าอินโดนีเซียจะใช้ช่องทางใดในการซื้อข้าว ถ้าจะซื้อจีทูจี ก็อยากให้รัฐบาลเข้าไป ถ้าประมูลได้แล้ว จะใช้ข้าวในสต๊อกรัฐบาลส่งก็ได้ แต่ถ้าส่งไม่หมดจะให้เอกชนส่งมอบก็ได้ เพราะเป็นผลดีต่อราคาข้าวในประเทศ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย จะเหมือนกรณีฟิลิปปินส์ ที่เปิดประมูลข้าว 6.7 แสนตัน แล้วไทยไม่เข้าร่วม และเสียออเดอร์ให้เวียดนามไป”นายสมพงษ์กล่าว
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวว่า ยังไม่ทราบกรณีการประกาศซื้อข้าวปริมาณ 1 ล้านตันจากรัฐบาลอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ และจนถึงขณะนี้รัฐบาลไทยก็ยังไม่มีความชัดเจนการซื้อขายข้าวแบบจีทูจีกับประเทศอื่นๆ จึงรู้สึกเป็นห่วงว่าการส่งออกข้าวในช่วงครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลง
“ถ้าอย่างเป็นทางการผมไม่ได้ยินว่าอินโดนีเซียจะซื้อข้าวมากถึง 1 ล้านตัน แต่ได้ยินกระทรวงพาณิชย์ บอกว่าอินโดนีเซียสนใจซื้อข้าวไทยอยู่บ้างในรูปแบบจีทูจี เพราะเป็นการมากบอกกล่าวผ่านหน่วยงานราชการ แต่ถ้าจะซื้อผ่านเอกชนก็พอจะทำได้เพราะไม่มีระเบียบอะไรตายตัว”นายชูเกียรติ กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้การซื้อขายข้าวกับรัฐบาลประเทศหนึ่ง กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องค่าคอมมิชชั่น ซึ่งขอให้จับตาการซื้อขายข้าวของอินโดนีเซีย เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะมีการนำข้าวในสต๊อกรัฐบาลที่มีอยู่ 2.1 ล้านตันบางส่วนออกไปขาย
สำหรับการส่งออกข้าวตั้งแต่ 1 -18 มิ.ย.2551 มีปริมาณ 559,996 ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อน 22.67% การส่งออกม.ค.- 18 มิ.ย. มีปริมาณ 5,580,029 ตัน เพิ่มขึ้น 46.78% คาดว่าการส่งออกข้าวทั้งเดือนมิ.ย. อาจไม่ถึง 1 ล้านตัน เพราะตลาดชะลอการสั่งซื้อ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงหน่วยงานการดูแลเรื่องข้าวทั้งระบบ จากกระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานอื่นๆ ทำให้การติดต่อซื้อ-ขายข้าวของรัฐเกิดความสับสน
นายสมพงษ์ กิตติเรียงลาภ ประธานกรรมการ บริษัท พงษ์ลาภ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังเปิดให้ประเทศผู้ส่งออกเสนอราคาขายข้าวปริมาณ 1 ล้านตัน โดยต้องการจะซื้อข้าวในรูปรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) ซึ่งผู้ส่งออกต้องการให้รัฐบาลไทยเข้าร่วมการเสนอราคา เพื่อเป็นช่องทางการระบายข้าวไทยอีกทางหนึ่ง เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลมีสต๊อกข้าวอยู่จำนวนมาก หากปล่อยให้มีจำนวนข้าวในสต๊อกมากเกินไปก็จะส่งผลต่อระดับราคาข้าวในประเทศได้
“กำลังดูอยู่ว่าอินโดนีเซียจะใช้ช่องทางใดในการซื้อข้าว ถ้าจะซื้อจีทูจี ก็อยากให้รัฐบาลเข้าไป ถ้าประมูลได้แล้ว จะใช้ข้าวในสต๊อกรัฐบาลส่งก็ได้ แต่ถ้าส่งไม่หมดจะให้เอกชนส่งมอบก็ได้ เพราะเป็นผลดีต่อราคาข้าวในประเทศ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย จะเหมือนกรณีฟิลิปปินส์ ที่เปิดประมูลข้าว 6.7 แสนตัน แล้วไทยไม่เข้าร่วม และเสียออเดอร์ให้เวียดนามไป”นายสมพงษ์กล่าว
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวว่า ยังไม่ทราบกรณีการประกาศซื้อข้าวปริมาณ 1 ล้านตันจากรัฐบาลอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ และจนถึงขณะนี้รัฐบาลไทยก็ยังไม่มีความชัดเจนการซื้อขายข้าวแบบจีทูจีกับประเทศอื่นๆ จึงรู้สึกเป็นห่วงว่าการส่งออกข้าวในช่วงครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลง
“ถ้าอย่างเป็นทางการผมไม่ได้ยินว่าอินโดนีเซียจะซื้อข้าวมากถึง 1 ล้านตัน แต่ได้ยินกระทรวงพาณิชย์ บอกว่าอินโดนีเซียสนใจซื้อข้าวไทยอยู่บ้างในรูปแบบจีทูจี เพราะเป็นการมากบอกกล่าวผ่านหน่วยงานราชการ แต่ถ้าจะซื้อผ่านเอกชนก็พอจะทำได้เพราะไม่มีระเบียบอะไรตายตัว”นายชูเกียรติ กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้การซื้อขายข้าวกับรัฐบาลประเทศหนึ่ง กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องค่าคอมมิชชั่น ซึ่งขอให้จับตาการซื้อขายข้าวของอินโดนีเซีย เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะมีการนำข้าวในสต๊อกรัฐบาลที่มีอยู่ 2.1 ล้านตันบางส่วนออกไปขาย
สำหรับการส่งออกข้าวตั้งแต่ 1 -18 มิ.ย.2551 มีปริมาณ 559,996 ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อน 22.67% การส่งออกม.ค.- 18 มิ.ย. มีปริมาณ 5,580,029 ตัน เพิ่มขึ้น 46.78% คาดว่าการส่งออกข้าวทั้งเดือนมิ.ย. อาจไม่ถึง 1 ล้านตัน เพราะตลาดชะลอการสั่งซื้อ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงหน่วยงานการดูแลเรื่องข้าวทั้งระบบ จากกระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานอื่นๆ ทำให้การติดต่อซื้อ-ขายข้าวของรัฐเกิดความสับสน
